ตอนที่9 พรสวรรค์ของผู้ถูกสาป
หลู่เชียนสุ่ยกลับไปยังเรือนพักของนางและนั่งขัดสมาธิ พร้อมเริ่มฝึกทันที
ไม่มีใครทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด แต่ไม่นานเกินรอหลังจากทีนางเริ่มฝึกปรือก็มีเสียงดังขึ้นจากภายในร่างกายของนาง นางสามารถทำได้แล้วจริงๆ
หลู่เชียนสุ่ยตกใจอย่างมาก
“ข้าแค่มุ่งสมาธิและระดมปราณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้ข้าเลื่อนขั้นสู่อาณาจักรปรับวิญญาณระดับสองแล้วรึ? นี่…นี่พึ่งผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น หากข้าไปบอกเรื่องนี้กับผู้ใด คงไม่มีคนเชื่อข้าเป็นแน่!”
แต่คล้อยหลังครุ่นคิดจนถี่ถ้วนแล้ว นางก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่ขยันเพียรฝึกหนักมานับสิบปีนั้น ในที่สุดก็ได้เห็นผลในวันนี้ ไม่น่าแปลกใจที่นางจะเลื่อนขั้นสู่อาณาจักรปรับวิญญาณระดับสองได้ภายในเวลาแค่หนึ่งชั่วยาม
อย่างไรก็ตามแต่ ถึงนางจะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แต่นี่ก็หาใช่เรื่องใหญ่ที่ควรต้องดีใจไม่
นางทราบว่าเวลานี้หลู่ซิงเฉินนั้นได้เข้าสู่อาณาจักรปรับวิญญาณระดับหกแล้ว หากตนต้องการที่จะเอาชนะงานประลองประจำเมืองในเดือนหน้านี้ อย่างน้อยนางจำต้องทะลวงขึ้นถึงระดับหกให้ได้เสียก่อน!
เมื่อนึกถึงใบหน้าของอีกฝ่าย หลู่เชียนสุ่ยพลันกำหมัดแน่ พร้อมไฟโทสะที่ลุกโชติช่วงไม่มีสิ้นสุด จากนั้นนางจึงเริ่มฝึกปรือเพลงหมัดสะบั้นบรรพตต่อทันที
เพลงหมัดนี้ทั้งแกร่งกร้าวและทรงพลัง ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นักกับผู้ฝึกยุทธ์สตรีเพศ แต่หลู่เชียนสุ่ยมากด้วยพรสวรรค์อันน่าทึ่ง นางกลับเข้าฝึกในห้วงมิติดินแดนธารบรรพต พลางทดลองใช้เพลงหมัดสะบั้นบรรพตอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
เพียงพริบตา ห้าวันผ่านพ้นไป
แต่ในเวลาห้าวันภายในห้วงมิติดินแดนธารบรรพตแห่งนี้ มันเทียบเท่ากับครึ่งวันของโลกภายนอก นั่นหมายความว่านี่เพิ่งผ่านไปแค่ข้ามคืนเดียวของโลกภายนอกเท่านั้น
ณ ปัจจุบัน หลู่เชียนสุ่ยสำเร็จเพลงหมัดสะบั้นบรรพตขอบเขตปฐพีแล้ว หากผู้อาวุโสชูกุยได้เห็นพัฒนาการที่รวดเร็วปานนี้ คงต้องตกใจจนดวงตาแทบถลนออกมาเป็นแน่
ระดับความเชี่ยวชาญของวรยุทธต่อสู้จะแบ่งออกเป็นสามขอบเขตดังนี้
ขอบเขตสามัญ, ขอบเขตปฐพี และขอบเขตฟ้า
ยกตัวอย่างหลู่ซิงเฉินที่เพิ่งจะสำเร็จเพลงดาบธารบรรพตรรูปแบบที่สาม ระดับความเชี่ยวชาญของนางจึงจัดอยู่แค่ขอบเขตสามัญ
ในขณะที่ระดับความเชี่ยวชาญของหลู่เชียงสุ่ยต่อเพลงหมัดสะบั้นบรรพตนั้นเหนือกว่า หรือก็คือสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของเพลงหมัดนี้ได้แล้ว จึงจัดอยู่ในขอบเขตปฐพี
ดังนั้นนางจึงกลายเป็นคนส่วนน้อยภายในตำหนักเจ้าเมืองที่ฝึกเพลงหมัดสะบั้นบรรพตได้สำเร็จถึงขอบเขตนี้
ในเวลาเดียวกัน หลังจากฝึกปรืออย่างหนักภายในห้วงมิติดินแดนธารบรรพตเป็นเวลาห้าวัน นางก็เลื่อนขั้นขึ้นสู่อาณาจักรปรับวิญญาณระดับสามได้เป็นผลสำเร็จ ทว่าหลู่เชียนสุ่ยก็ยังไม่พอใจนัก แม้ว่าจะเป็นการพัฒนาก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างน่าตกใจแล้ว
นางจำต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่กว่าจะบ่มเพาะพลังให้ถึงอาณาจักรปรับวิญญาณระดับสามได้นั้น บางคนใช้เวลานานถึงห้าปี แต่นางได้สั่งสมความพยายามอย่างหนักตลอดสิบปีที่ผ่านมา และเพิ่งจะมาระเบิดออกเอาในตอนนี้ดังเขื่อนกั้นน้ำที่แตกออก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าไฉนนางจึงสามารถพัฒนาก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้
เฉกเช่นหลู่ซิงเฉิน นางนับเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งที่หาได้ยากภายในเมืองชิงหยุน นางเริ่มฝึกปรือบ่มเพาะพลังตั้งแต่หกขวบ และตอนนี้นางก็ฝึกมานานกว่าสิบสองปีแล้ว การที่นางมาถึงอาณาจักรปรับวิญญาณระดับหกได้นั้น ก็สามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธเยาวชนคนอื่นๆต่างต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความชื่นชม
ในทางตรงข้าม หลู่เชียนสุ่ยสามารถเลื่อนขั้นจากระดับหนึ่งสูระดับสามได้ภายในคืนเดียวเช่นนี้ ความก้าวหน้าที่เร็วถึงเพียงนี้ หากให้ผู้ใดรู้เข้าคงต้องตกใจอย่างที่สุดเป็นแน่
เวลาเดียวกันนั้นเอง หลู่เชียนสุ่ยยังคงบ่มเพาะคัมภีร์หลอมสวรรค์และมุ่งเน้นความสนใจอยู่กับการฝึกนี้อย่างระมัดระวัง
หลู่เชียนสุ่ยค่อนข้างให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะพลังอย่างมาก จนไม่สนใจสภาพแวดล้อมรอบตัวอันใด ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง กระทั่งสุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอกเรือนพัก
“อะไรกัน? ยังมีคนอยู่อีกงั้นรึ”
หลู่เชียนสุ่ยสะดุ้งตื่นขึ้นและเร่งออกจากห้วงมิติดินแดนธารบรรพตโดยเร็ว
ทันใดนั้นเอง!
ปัง!
ประตูเรือนพักของนางกลับถูกใครบางคนถีบจนเปิดออก
“หลู่เชียนสุ่ย!”
ในเวลานั้นเอง เสียงตะวาดไร้เยื่อใยพลันดังลั่นออกมาจากปากของคนผู้หนึ่ง สุ่มเสียงนี้ทั้งไร้ซึ่งมารยาทและหยิ่งยโสยิ่งนัก
หลู่เชียนสุ่ยขมวดคิ้วขึ้นในทันใด พร้อมความเกลียดชังที่ปะทุรุนแรงขึ้นภายในใจของนาง
เสียงนั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบุตรสาวอีกคนของหลู่จิ้งเฟิงซึ่งเกิดจากสนมใหม่ นามว่าหลู่เชียนเย่ว!
หลังจากรู้ว่าเจ้าของเสียงคือผู้ใดแล้ว สีหน้าของหลู่เชียนสุ่ยจึงสงบลงและสุขุมมากขึ้น นางลุกขึ้นยืนพร้อมจ้องมองบุคคลที่อยู่นอกประตูด้วยสายตาที่เยือกเย็น พร้อมเอ่ยถามด้วยสีหน้าท่าทางเฉยเมยว่า
“หลู่เชียนเยว่ ใครอนุญาตให้เจ้ามาเตะประตูห้องข้าแต่เช้า?”
“หึ!”
หลู่เชียนเยว่ชี้ยกมือขึ้นชี้หน้าหลู่เชียนสุ่ยพร้อมจ้องมองด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ ก่อนตะคอกใส่เสียงดัง
“หลู่เชียนสุ่ย! ผู้คนขับไล่เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักไป! เป็นสุนัขไม่รู้ถิ่นหรือกระไร? วันนี้ข้าเองก็อยากจะรู้นักว่า เจ้าจะยอมออกไปจากตำหนักเจ้าเมืองหรือไม่!?”