px

เรื่อง : หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์ I Have Countless Legendary Swords !
ตอนที่ 9 : เยี่ยเฟยฟาน


ตอนที่ 9 : เยี่ยเฟยฟาน

“เจ้าต้องการอะไร? พวกข้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้นะ!” โจวฉวนจีถามเสียงดังในที่ขณะที่จับมือเจียงฉือเอาไว้

เสียงที่ดังลั่นไปทั่วผืนฟ้า ช่วยดึงให้กั๋วไป่หลี่ที่กำลังอยู่ในความภวังค์กลับมาสู่ความเป็นจริง

กั๋วไป่หลี่พยายามยิ้มออกมาและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ใช่จอมยุทธฝ่ายมารอะไรหรอก ฝ่ายมารน่ะมันอีกคนนึงเมื่อก่อนหน้านี้ต่างหาก ข้ามาจากสำนักฝ่ายธรรมะที่มีชื่อเสียง ชื่อสำนักกระบี่เร้นลับ พวกเจ้าเคยได้ยินมาก่อนมั้ย?”

โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยมองไปที่เขาและรู้สึกงุนงง

กั๋วไป่หลี่ส่ายหัวพลางหัวเราะ มันแน่อยู่แล้ว เด็กสองคนจะไปรู้จักสำนักกระบี่เร้นลับได้ยังไงกัน?

กั๋วไป่หลี่ค่อยๆลงจอดช้า ๆ และถามด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วพวกเจ้ามาจากตระกูลหรือสำนักไหนล่ะ เจ้าอยากให้ข้าพาพวกเจ้ากลับไปมั้ย?”

กั๋วไป่หลี่คาดว่าเด็กคนนี้น่าจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา เขาเลยอยากที่จะสร้างสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้

โจวฉวนจีกำดาบคลื่นเหมันต์ไว้แน่นและตอบอย่างเด็ดขาด “ไม่!”

“เขาไม่ได้ปล่อยจิตสังหารออกมาแต่อย่างใด” จิตวิญญาณแห่งดาบแจ้ง จากนั้นโจวฉวนจีก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

การเผชิญหน้าตรง ๆ กับจอมยุทธระดับบัวภายใน เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถชนะได้เลยสักนิด

กั๋วไป่หลี่หยุดลอยอยู่กลางอากาศและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ได้โปรดเชื่อข้าเถอะ ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย นี่ข้าดูเหมือนคนไม่ดีขนาดนั้นเลยหรอ?”

“ถ้าข้าเป็นคนไม่ดีจริง ข้าคงจะลอบโจมตีเจ้าโดยไม่รู้ตัวไปแล้ว แต่ข้าไม่คิดจะทำหรอกนะ”

เขาเก็บดาบคลื่นเหมันต์ก่อนจะพูดขึ้น “ก็ได้ งั้นข้าจะเชื่อเจ้า แต่เจ้าห้ามแตะต้องพวกข้าเด็ดขาด!”

ยังไงโจวฉวนจีก็สู้ไม่ได้อยู่เเล้ว ดังนั้นเขาเลยเลือกที่จะปฏิบัติกับกั๋วไป่หลี่เหมือนกับคนที่มาดีแทน

กั๋วไป่หลี่มองไปยังพวกเขาและหัวเราะ เขาร่อนลงบนหน้าผาก่อนจะโบกมือเรียกพวกเขาและพูดขึ้น “มาทางนี้สิ แล้วก็ระวังอย่าร่วงลงไปล่ะ”

โจวฉวนจีและเจียงฉือน้อยก็เป็นเด็กที่น่ารักน่าชังทั้งคู่ กั๋วไป่หลี่จึงมองพวกเขาด้วยความเอ็นดู

อย่างไรก็ตาม เมื่อปีที่แล้วเด็กคนที่อายุน้อยคนนั้นนั่นสามารถโจมตีได้อย่างโหดเหี้ยม เขาจึงต้องระวังตัวเอาไว้เสมอ

เพราะเขายังไม่อยากตายด้วยน้ำมือของเด็ก 3 ขวบ

โจวฉวนจีก็คอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เขากุมมือเจียงฉือน้อยเอาไว้และเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง มันเลยดูเป็นฉากที่น่าตลกสำหรับกั๋วไป่หลี่

และพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันหลังจากที่มาถึงไหล่เขา

เพื่อที่จะทำให้เด็กทั้งสองรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น กั๋วไป่หลี่จึงเริ่มเล่าจากที่ ๆ เขามา

แล้วโจวฉวนจีก็ได้รู้ว่าจอมยุทธปีศาจที่เขาได้สังหารไปเป็นอัจฉริยะจากสำนักอสูรโลกันต์ ที่มีชื่อว่า เยี่ยเฟยฟาน

เยี่ยเฟยฟานนั้นถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 92 จากตารางจัดอันดับยอดฝีมือในมหาจักรวรรดิโจว

ตารางจัดอันดับยอดฝีมือนั้นเป็นการจัดอันดับอัจฉริยะที่มีอายุต่ำกว่า 100 ปี ซึ่งภายในมหาจักรวรรดิโจวนั้นมีจอมยุทธอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน และการที่สามารถอยู่อันดับที่ 92 ท่ามกลางเหล่าจอมยุทธที่อายุต่ำกว่า 100 ปีทั้งหมดได้นั้น เขาต้องเป็นคนที่น่าเกรมขามอย่างแน่นอน

กั๋วไป่หลี่กลายเป็นศัตรูกับเยี่ยเฟยฟานเมื่อ 10 ปีก่อน เป็นตอนที่เยี่ยเฟยฟานกำลังไล่สังหารคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และกั๋วไป่หลี่ที่เดินผ่านไปเห็นการกระทำอันแสนป่าเถื่อนของเยี่ยเฟยฟานเข้า จึงได้เข้าไปช่วยเหลือหมู่บ้านไว้ ซึ่งนั่นเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น

ต่อมา กั๋วไป่หลี่ก็ได้ออกจากสำนักกระบี่เร้นลับ และกำลังเปิดรับสมัครลูกศิษย์จากในเมืองภายใต้นามของสำนักกระบี่เร้นลับ อย่างไรก็ตาม เขาก็เผอิญเจอกับเยี่ยเฟยฟานเข้า จึงต้องเข้าห้ำหั่นกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

ถึงแม้กั๋วไป่หลี่จะไม่ได้แข็งแกร่งเทียบเท่าเยี่ยเฟยฟาน แต่เขาก็ยังสามารถทำให้เยี่ยเฟยฟานบาดเจ็บได้ นั่นจึงทำให้โจวฉวนจีสามารถสังหารเขาลงได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าอีกสาเหตุที่โจวฉวนจีสามารถจัดการเยี่ยเฟยฟานได้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นเด็ก 2 ขวบนั่นเอง

อัจฉริยะที่สำนักอสูรแสนจะภาคภูมิใจนั่นก็ดันตายด้วยน้ำมือเด็ก 2 ขวบ ใครจะไปเชื่อกันล่ะ?

กั๋วไป่หลี่ถอนหายใจ “เหตุผลที่ข้าตามหาพวกเจ้าก็เพื่อที่จะกล่าวขอบคุณที่เจ้าได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ และเท่าที่ดูเจ้าทั้งสองก็อยู่อย่างโดดเดี่ยวและไม่ได้รับการดูแลที่ดี อีกทั้งการเดินออกไปข้างนอกก็ยังอันตรายมากๆ ทำไมพวกเจ้าไม่ให้ข้าพากลับไปล่ะ ข้าไม่ได้อยากให้พวกเจ้าทำอะไรเพื่อตอบแทนข้าหรอกนะ”

เขามองไปยังโจวฉวนจีด้วยสายตาที่จริงใจ

เด็กน้อยวัย 3 ขวบที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นช่างแสนวิเศษ ดังนั้นแล้วเขาจะทำกับโจวฉวนจีเป็นเหมือนเด็กธรรมดาไม่ได้

แถมเขายังสงสัยอีกว่าร่างกายของเด็กน้อยคนนี้นั้น โดนวิญญาณของจอมยุทธรุ่นเก๋าสิงอยู่หรือเปล่า นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมวิญญาณของเขาถึงเป็นผู้ใหญ่นัก

ถึงกั๋วไป่หลี่จะรู้เพียงเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็ถูกครึ่งหนึ่ง

อีกอย่าง กั๋วไป่หลี่ยังเคยได้ยินบางตำนานเกี่ยวกับตระกูลที่มีสายเลือดทรงพลังที่คอยให้กำเนิดเหล่าอัจฉริยะที่คนธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีทางเทียบเทียมได้มาก่อนด้วย

แต่โจวฉวนจีโบกมือปัดแล้วพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องส่งพวกข้ากลับบ้านหรอก แต่ถ้าเจ้ามีวิชาปราณ ยา หรือวัตถุวิเศษล่ะก็ เอามาให้ได้มากเท่าที่ต้องการเลย”

โจวฉวนจีไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่เขาและเจียงฉือน้อยนั้นไม่มีใครดูแล เพื่อป้องกันการที่กั๋วไป่หลี่อาจจะมีเจตนาร้ายได้

เมื่อกั๋วไป่หลี่ได้ยินคำขอเช่นนั้นก็รีบนำของจากกระเป๋าเก็บของที่อยู่ที่เอวของเขาออกมาทันที ซึ่งมีทั้งตำรา 2 เล่ม มีดสั้น และขวดเล็ก ๆ 3 ขวดที่ทำมาจากหยกขาวนำมาวางไว้ข้างโจวฉวนจีและเจียงฉือน้อย

“พวกเจ้าจะเลือกตำราวิชาปราณเล่มไหนก็ได้จาก 2 เล่มนี้ ข้าจะเป็นคนสอนให้เอง และเพราะว่าข้ายังไม่หายบาดเจ็บดี ดังนั้นข้าจะอยู่ที่นี่สัก 2 ปี หลังจากนั้นข้าจะไปทันที”

“และเจ้าไม่ต้องห่วง ถ้าข้ามีเจตนาร้ายจริง ๆ ล่ะก็ ข้าก็มีเป็นพันวิธีที่จะใช้จับตัวพวกเจ้าได้แน่นอน” กั๋วไป่หลี่อธิบายพลางถอนหายใจในใจ เด็ก 3 ขวบจะระวังตัวอะไรขนาดนี้?

นี่เขาไม่เคยได้รับความรักความใส่ใจตั้งแต่เกิดเลยหรือไง?

เจียงฉือน้อยดูดนิ้วและถามอย่างเขินอาย “คุณปู่ ท่านพูดจริงหรอ? พวกข้านั้นต้อยต่ำมาก ไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เกิด มาตอนนี้ท่านยายก็ไม่ต้องการข้าอีกแล้ว ส่วนครอบครัวของฉวนจีก็โดนปีศาจกินไปอีก เพราะงั้นแล้วอย่าโกหกพวกข้าเลยนะ...”

โจวฉวนจีแทบจะเป็นลม นี่เขาเล่าอดีตไปแบบนั้นหรอ?

แต่โชคดีที่นั่นไม่ใช่อดีตที่แท้จริงของเขา

และหลังจากที่กั๋วไป่หลี่ได้ยินประวัติเช่นนั้น เขาก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมาทันที ก่อนที่เขาจะแนะนำว่า “งั้นถ้าเป็นแบบนี้ล่ะ ข้าจะเป็นปู่ให้กับพวกเจ้า และข้าจะพาพวกเจ้ากลับไปยังสำนักกระบี่เร้นลับด้วยกัน จากนั้นพวกเจ้าก็จะกลายเป็นหลานสาวและหลานชายของข้ายังไงล่ะ”

ถ้าทิ้งความเห็นอกเห็นใจนั่นไป ความสามารถที่เด็กชายมีก็ดึงดูดเขามากเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์นั่นก็อาจจะนำมาซึ่งปัญหาได้

เมื่อเจียงฉือน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า “จริงหรอ?”

โจวฉวนจีกลอกตามองเธอก่อนจะพูดว่า “พวกข้าจะไม่ไปสำนักกระบี่เร้นลับ พวกข้าจะอยู่ที่นี่”

ถ้าพวกเขาไปยังสำนักกระบี่เร้นลับล่ะก็ โจวฉวนจีอาจจะถูกจับได้เพราะที่นั่นมีคนอยู่มาก

อีกทั้งสำนักกระบี่เร้นลับก็ยังอยู่ที่มหาจักรวรรดิโจวด้วย

เจียงฉือน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ฉวนจีไปที่ไหนข้าก็จะไปที่นั่น”

หลังจากวันที่มีพายุฝนกระหน่ำนั่น เธอจะไม่เรียกเขาว่าน้องชายอีกเลย

กั๋วไป่หลี่ส่ายหัวและหัวเราะให้กับเด็กน้อยเหล่านี้

“ก็ได้ งั้นข้าจะอยู่กับพวกเจ้าด้วยในสองปีแรกเอง แล้วพวกเจ้าทั้งสองอยากฝึกวิชาปราณอะไรกันล่ะ?” กั๋วไป่หลี่ถาม

เจียงฉือน้อยมองไปยังโจวฉวนจี เธอรอจนกระทั่งเขาพยักหน้าให้ก่อน จึงจะหยิบหนังสือทั้งสองเล่มนั้นมา

ต้องยอมรับว่าถึงแม้คุณยายของเจียงฉือน้อยจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี แต่อย่างน้อยนางก็ยังสอนให้เธออ่านหนังสือเป็นเมื่อตอน 3 ขวบ

และจำนวนคนในหมู่บ้านที่รู้หนังสือนั้นก็มีเพียงแค่หยิบมือ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเจียงฉือน้อยนั่นเอง

ถ้าเจียงฉือน้อยอยู่ในโลกก่อนล่ะก็ เธอคงจะเป็นอัจฉริยะที่รอบรู้ตั้งแต่ 3 ขวบ

กั๋วไปหลี่เห็นเจียงฉือน้อยดูลังเลเล็กน้อยจึงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้หญิง ถ้างั้นไม่ลองวิชาวสันตเหมันต์ดูล่ะ? หากเจ้าบรรลุวิชานี้สำเร็จ เจ้าจะสามารถรวมปราณของเจ้าและก้าวขึ้นสู่ระดับบัวภายในได้ รูปลักษณ์ของเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนไปและยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 500 ปีเลยทีเดียว”

เจียงฉือน้อยเมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบทันที “แล้วระดับบัวภายในนี่คืออะไรหรอ?” เธอถามพลางกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความอยากรู้

กั๋วไป่หลี่อธิบายให้เจียงฉือน้อยฟังอย่างอดทน และสอนให้เธอรู้เกี่ยวกับวรยุทธอย่างง่ายที่สุดเพื่อให้เธอเข้าใจได้

โจวฉวนจีไม่เคยบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเ เพราะกลัวว่าเธอจะไม่เข้าใจ และมันก็ดูไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ และจะดีกว่าถ้าให้เธอฝึกดาบแทน

หลังจากที่เจียงฉือน้อยเข้าใจ กั๋วไป่หลี่ก็หันกลับมาทางโจวฉวนจีและถาม “แล้วเจ้าต้องการตำราอีกเล่มมั้ย?”

เขาดูตำราวิชาปราณอีกเล่มแล้ว และดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยเหมาะกับวิชากระบี่ที่เขาฝึกอยู่นัก เขาจึงส่ายหัวก่อนจะตอบกลับไป “ไม่เป็นไร ข้ามีวิชาปราณที่ส่งต่อมาในครอบครัวของข้าอยู่แล้ว”

กั๋วไป่หลี่พยักหน้า ยังไงเสียเด็กน้อยคนนี้ก็มาถึงระดับรักษาปราณขั้นที่ 5 อยู่แล้ว

และแล้วกั๋วไป่หลี่ก็ตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ด้วย

แต่โจวฉวนจีไม่อนุญาตให้กั๋วไป่หลี่อาศัยอยู่ห้องเดียวกับพวกเขา อีกทั้งยังไม่มีที่อื่นให้อยู่อาศัยได้อีก กั๋วไป่หลี่จึงสร้างกระท่อนไม้ของเขาขึ้นมาแทน

และตลอดเดือนถัดมา โจวฉวนจีก็คอยระมัดระวังตัวอยู่เสมอ

ส่วนกั๋วไป่หลี่นั้น ส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่กับการพักฟื้น และออกมาสอนเจียงฉือน้อยบ้างเป็นบางครั้ง

ในตอนแรกเขาสนใจในวิชาดาบกระเรียนขาวที่เจียงฉือน้อยกำลังฝึกอยู่ แต่หลังจากที่เฝ้าสังเกตอยู่นาน เขาก็ไม่พบอะไรมากนัก เพราะเจียงฉือน้อยยังอ่อนด้อยในวิชาอยู่

และแล้วเวลาก็ผ่านไปตามปกติ

3 เดือนต่อมา

มันเป็นวันที่มีหิมะตกครั้งใหญ่ โจวฉวนจีได้ทลายกำแพงก้าวเข้าสู่ระดับรักษาปราณขั้นที่ 6 ส่วนเจียงฉือน้อยก็เริ่มก้าวเข้าสู่ระดับรักษาปราณขั้นแรกแล้วด้วยเช่นกัน

ในขณะที่กั๋วไป่หลี่กำลังนั่งอยู่บนยอดเขาและมองไปยังเส้นขอบฟ้า ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายเต็มท้องนภา ภาพของภูเขาก็เรือนลางอย่างเห็นได้ชัด

“นั่นมันอะไรน่ะ?”

เขาบ่นพึมพำกับตัวเองพลางขมวดคิ้วด้วยความตื่นตูม

รีวิวผู้อ่าน