px

เรื่อง : เทพอสูรปราบเซียน
ตอนที่ 2 – จะรับเป็นศิษย์ดี ๆ หรือจะให้มีน้ำตา?


ตอนที่ 2 – จะรับเป็นศิษย์ดี ๆ หรือจะให้มีน้ำตา?

คนทั่วไปมักกล่าวว่าถ้าโชคเข้าข้างใครแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดก็จะไม่สามารถหยุดยั้งมันได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าฉีหวนไม่ใช่หนึ่งในคนประเภทนั้น เพราะเมื่อใดก็ตามที่เธอได้พบเจอใครสักคน เธอก็มักจะพบแต่ชายชราเหี่ยวเฉา และไม่มีหนไหนที่เธอจะได้พบชายหนุ่มรูปงามสักครั้ง

 

   นักพรตยืนจ้องมองฉีหวนอยู่ไม่ไกลจากบ่อนัก ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังอึ้ง และตกใจชั่วครู่

 

        จากนั้นซูกงจือกระตุกมุมปากเล็กน้อยและสาปแช่งตระกูลซ้งด้วยถ้อยคำเลวร้ายที่สุดเท่าที่จะคิดได้ เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้มีผู้โง่เขลาตนหนึ่งกล่าวว่าตระกูลซ้งกำลังเผชิญกับภูตผีร้ายกาจ… หารู้ไม่ว่าร่างและเงานั้นเป็นเพียงมนุษย์ของหญิงสาวนางหนึ่งที่แต่งองค์ทรงเครื่องไม่สุภาพ

 

   โธ่เอ้ย! จบกัน! ช่างเป็นเรื่องโง่เง่านัก ถ้าหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ซูกงจือจะแบกหน้าไปยังพิภพแห่งเทพอมตะได้อย่างไร? อั้ยย๊า! หมดสิ้นแล้วเกียรติบริสุทธิ์ที่สั่งสมมา!

 

 

   ฉีหวนจ้องมองชายชราอยู่นาน จนในที่สุดเธอก็ได้สติและก้มลงมองผ้าสีขาวบางที่พันรอบตัว พร้อมกับความรู้สึกอยากกรีดร้องตะโกนกับเรื่องอนาถที่ได้พบเจอ ฉีหวนไม่ทราบว่าชายชราผู้นั้นเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเห็นอะไรไปแล้วบ้าง…

 

   ทันใดนั้นฉีหวนจึงหายใจเข้าเต็มปอด ในขณะที่เธอกำลังจะกรีดร้อง ชายชราก็เร่งใช้วิชาอาคมเหาะเหินเดินอากาศเข้าปิดริมฝีปากทั้งสองของฉีหวนอย่างแรง

 

   “อื้อ–อื้ม*(&&%^*(@&)*!” ฉีหวนจ้องมองชายชราด้วยสายตาเกรี้ยวกราดราวกับจะสื่อว่าให้หยุดกระทำเช่นนี้กับเธอ ไม่เช่นนั้นไม่ใครสักคนต้องตายกันไปข้างหนึ่ง

 

        “ชู่!… เจ้าอย่าเพิ่งกระโตกกระตากไป ข้ามิเห็นสิ่งใดทั้งสิ้น…” เมื่อชายชราเห็นดวงตาดุร้ายของเธอกำลังแผ่รังสีอำมหิต เขาจึงรีบกล่าวอย่างห่วงใยและยิ้มแทนคำขอโทษ

 

   “ฮะ! ” ฉีหวนโดนปิดปากจึงไม่สามารถกล่าวอันใดได้ นอกเสียจากอุทานออกมาเสียงดัง

 

   “เจ้าไม่ควรกล่าวโทษข้าเสียด้วยซ้ำ… เจ้าออกจากเรือนมากลางดึกด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ ผู้ใดพบเห็นเข้าก็ต้องเข้าใจผิดเป็นธรรมดา“

 

   ฉีหวนได้ยินเช่นนั้น จึงหันหน้ามองไปโดยรอบ และประท้วงในใจด้วยความเงียบ เธอทราบดีว่าชายชรากำลังกล่าวถึงสิ่งใด ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ตั้งใจแสร้งทำเป็นผีเพื่อให้ผู้คนหวาดกลัว แต่ตระกูลซ้งหาใช่เป็นคนดีไม่? ฉีหวนจึงไม่รู้สึกผิด ในทางกลับกันเธอเห็นสมควรเสียด้วยซ้ำ

 

   ฉีหวนไม่คิดว่าชายชราจะทราบว่าเธอไม่ใช่ผีโดยการมองเพียงแวบเดียว ทั้งยังร่ายวิชาใส่เธอ  จนพูดสิ่งใดไม่ได้อีกด้วย

 

   ก่อนที่ฉีหวนจะเดินทางข้ามเวลา เธอเป็นแฟนคลับนวนิยายแทบทุกเรื่อง ทุกแนว แล้วนวนิยายแนวบ่มเพาะพลังวิชาอาคม เธอก็อ่านมามากเช่นกัน แต่ใครจะไปคาดคิดว่าวันหนึ่งจะได้เจอผู้ฝึกบ่มเพาะวิชาในตำนานตัวจริงครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้?

 

   แต่ช้าก่อน ถ้าหากการเดินทางข้ามเวลาไปมายังทำได้ การได้พบเหล่าเซียนเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอีกต่อไป เธอครุ่นคิดภาพมโนตอนที่เธอกลายร่างเป็นเซียน และกำลังฝึกฝนวิชาอยู่…

 

   ฉีหวนจิกตามองนักพรต แต่ในใจนั้นแอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

 

   ซูกงจือเห็นสายตาไร้ปรานีของฉีหวน เขาจึงก้าวถอยหลังออกมาสองก้าวด้วยความรู้สึกกลัว ราวกับกำลังถูกสัตว์ร้ายจ้องจะกินเนื้ออย่างไรอย่างนั้น เพียงชั่วครู่ฝั่งชายชราก็เริ่มตระหนักว่าฉีหวนไม่มีสิทธิ์มาขู่เขาเช่นนี้

 

 

   ทันใดนั้นฉีหวนกลับรีบเปลี่ยนท่าทางของเธอภายในชั่วพริบตา เธอพยายามเบิกตากว้างและบังคับตนเองให้หลั่งน้ำตา พร้อมกับหันมองไปทางชายชราด้วยสีหน้าน่าสงสารเวทนาเป็นที่สุด ใบหน้าเธอเปลี่ยนอาการได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ชายชราที่เห็นเหตุการณ์ทุกสิ่งแทบจะปรบมือและส่งเสียงให้กำลังใจเธอ

 

   “โอ้โห้!… เอาล่ะฮะฮ่า!…หากข้าถอนคาถาออก เจ้าต้องรับปากว่าจะไม่โหวกเหวกโวยวายเสียงดังอีก!” ชายชรากล่าวอย่างลังเล เมื่อเห็นฉีหวนแสดงท่าทางเร่งให้เอาคาถาออก

 

   ฉีหวนพยักหน้าซ้ำไปมา ทำให้ท่าทางของชายชราเริ่มอ่อนลง

 

   นักพรตร่ายคาถา พร้อมกับใช้สองนิ้ววาดอากาศ หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ปากของฉีหวนก็เริ่มขยับได้

 

   ฉีหวนแอบหัวเราะในใจ เนื่องจากชายชราคารมดีที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เป็นนักพรตบ่มเพาะพลังท่านแรก ที่เธอได้เห็นนับตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในโลกนี้ ดังนั้นฉีหวนจึงตัดสินใจมอบเกียรติให้เขา เป็นอาจารย์ฝึกสอนให้เธอ

 

   ฉีหวนนั่งยองกับพื้น และใช้ทักษะของชมรมละครที่เคยฝึกสมัยเรียนหาวิทยาลัยถึงสามปีนำมาเปลี่ยนสีหน้าอาการตามที่ใจเธอต้องการ

 

   เมื่อเขาเห็นหญิงสาวกำลังนั่งร้องไห้เสียงดังลั่น โลกทั้งใบของซูกงจือก็เริ่มแปรปรวนจนส่งผลกระทบให้เขาทำตัวไม่ถูก เพราะสิ่งที่ซูกงจือกลัวมากที่สุดในชีวิตก็คือการเห็นหญิงสาวหลั่งน้ำตา… ตัวชายชราจึงพยายามคิดสงสัยว่าตัวเขากระทำสิ่งใดงั้นหรือ? เหตุใดหญิงสาวผู้นี้ถึงร่ำไห้…

 

   ฉีหวนเช็ดน้ำตาเล็กน้อย และแอบเหลือบเห็นชายชราเริ่มแสดงท่าทางวิตกกังวล แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่กล่าวอันใด เธอจึงพยายามเพิ่มเสียงร้องไห้ให้ดังมากขึ้นกว่าเดิม

 

   “เจ้าหนู! หยุดร้องไห้เถิด! รู้หรือไม่ว่าการร้องไห้มันช่างล้าสมัยยิ่งนัก! ถือเสียว่าเรื่องทั้งหมดข้าผิดเอง… หากเจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใดเพื่อชดใช้ความผิด เจ้าจงบอกข้า ข้ายินดีทำ” ซูกงจือขยับตัวนั่งข้างฉีหวนด้วยท่าทางเศร้าโศกราวกับกำลังจะร้องไห้เป็นเพื่อนเธอ

 

   เมื่อฉีหวนเห็นว่าสิ่งที่คาดไว้กำลังใกล้ถึงเป้าหมาย เธอจึงสูดน้ำมูกพร้อมกับน้ำตาที่ยังคงร่วงหล่น “ขะ–ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว…”

 

        ฉีหวนกล่าวเพียงประโยคเดียว แต่ทำให้ชายชราที่ได้ยินถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “เจ้าไม่ควรกล่าวเช่นนั้น ข้าเป็นผู้ถือศีลและกล่าววาจาสัตย์จริงทุกประการ เมื่อครู่นี้ข้าไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น… บัดนี้เจ้ายังเด็กยิ่งนัก ยังมีอะไรตื่นเต้นรอเจ้าในอนาคตอีกมาก เชื่อข้าเถิดเจ้าหนู…” ชายชราใช้วาจาอย่างระมัดระวังพร้อมกับหัวเราะเล็กน้อย ราวกับเกรงว่าฉีหวนจะตกใจตายถ้าหากเขากล่าวเสียงดัง

 

        “อะ–ฮึ้ก อะ–ฮึ้ก ฮื้อ… ข้าไม่มีพ่อแม่ และที่ข้าแอบมาอาศัยอยู่ในตำหนักของเหล่าตระกูลซ้งก็เพียงเพราะข้ายังไม่อยากอดตาย หากท่านอาจารย์ซ้งทราบเรื่องว่าข้าแสร้งเป็นผี มีหวังท่านอาจารย์ต้องลงทัณฑ์สังหารข้าเป็นแน่ ฮื้อ…” ฉีหวนสูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อชายชรามาสั่งน้ำมูกโดยไม่แสดงอาการเขินอายแม้แต่น้อย

 

 

   “นี่ นี่เจ้าหนู…” ซูกงจือฝึกบ่มเพาะพลังบนยอดบรรพตเป็นเวลาหลายทศวรรษ ทำให้เขามีสติสัมปชัญญะเฉียบแหลม ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยทราบมาก่อนว่ายังมีคนที่น่าสังเวชเช่นนี้หลงเหลืออยู่บนโลกมนุษย์ เรื่องราวที่ฉีหวนสร้างขึ้นทำให้ซูกงจือเห็นอกเห็นใจเธอยิ่งนัก

 

   “…ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าสนใจเดินทางกลับไปยังบรรพตกับข้าหรือไม่เล่า? ถึงแม้ว่าข้าจะไม่อาจฟื้นคืนชีพพ่อแม่เจ้าได้ แต่ข้าก็ยังพอให้อาหารเจ้ากินแบบไม่อดยากเช่นนี้“

 

   “ข้าเกรงว่านักพรตท่านอื่นจะทราบเข้า แล้วท่านจะโดนติฉินนินทา ถ้าหากเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีแน่” ฉีหวนพยายามบังคับริมฝีปากไม่ให้ยิ้มพร้อมกับเช็ดน้ำตา

 

   “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะนับถือข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าได้หรือไม่?” ซูกงจือถามอย่างใจเย็น

 

   “เอ่อ… คือ” ฉีหวนแสร้งลังเล แต่หารู้ไม่ว่าภายในใจนั้นเธอมีความสุขและตื่นเต้นจนแทบกลั้นท่าทางไม่ไหว

 

        “ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ แต่ต้นเหตุที่เจ้าไม่สามารถอาศัยอยู่ในตำหนักตระกูลซ้งต่อไปได้ ก็เป็นเพราะข้า ข้าจึงควรรับผิดชอบ แม้ว่าข้าอาจจะเป็นอาจารย์ให้เจ้าได้ไม่ดีมากนัก แต่ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าให้อยู่ลำพังด้วยความรู้สึกคับแค้นใจเป็นแน่” ซูกงจือกล่าวด้วยความสัตย์จริง แต่ถ้าหากสาวกจากเขาชิงหยุนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาจะสับฉีหวนเป็นชิ้น ๆ หรือไม่?

 

          ไม่มีมนุษย์ตนใดทราบว่าในพิภพแห่งเทพอมตะ ท่านซูกงจือเป็นอาจารย์ท่านแรกที่บรรลุวิชาลัทธิมหายาน และชื่อเสียงของท่านนับได้ว่าดังที่สุดในพิภพแห่งเทพอมตะเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้การได้เป็นศิษย์ของท่าน จะเรียกอีกนัยหนึ่งว่าได้พรจากสรวงสวรรค์ก็หาผิดไม่… ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าท่านจะมานั่งร้องขอมนุษย์ให้มาเป็นลูกศิษย์ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจนัก

 

   ฉีหวนได้ยินคำพูดของซูกงจือ ก็เกิดอาการหน้าแดงเล็กน้อย เธอไม่คิดว่านักพรตชราที่ปรากฏกายตรงหน้าจะมีจิตใจงดงามถึงเพียงนี้ มิใช่สิ! บัดนี้เธอควรเรียกเขาว่าท่านอาจารย์

 

   เหตุการณ์ครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องราวน่าภิรมย์ใจของพิภพแห่งเทพอมตะในรอบหลายทศวรรษ ซูกงจือ นักพรตลัทธิเต๋ารับหญิงสาวนางแรกเป็นศิษย์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาพิภพแห่งเทพอมตะก็ไม่สามารถหาความสงบร่มเย็นแบบที่เคยมีได้อีก…

รีวิวผู้อ่าน