ตอนที่ 37 เฆี่ยนตี
ฟางหมิงเจียงหันไปคำนับให้กับหวังเหล่าซิ่วและหันไปพูดกับหวังอี้เฟย “น้องอี้เฟยไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะไปเอาตัวเด็กชั่วออกมาเดี๋ยวนี้ ! ”
หลังจากกล่าวจบ เขาก้าวขายาวเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ทันที
ใบหน้าของผู้อาวุโสฟางทั้งหมดตึงเครียด ส่วนฟางฉางจวงซึ่งเป็นพ่อของหมิงฮ่งนั้นตะลึงงันอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
ตอนนี้ตระกูลฟางกำลังตามหาเด็กชายที่เป็นคนร้ายในเหตุการณ์อย่างบ้าคลั่ง
ส่วนผู้อาวุโสของหวังอี้เฟยไม่ได้กล่าวอะไรออกมาทั้งนั้น
ในขณะที่เหตุการณ์กำลังตึงเครียด ฟางหมิงหวยวิ่งออกไปหาอี้เฟยพร้อมถามอย่างห่วงใย “พี่อี้เฟยดีขึ้นแล้วหรือยัง ? ”
จิตใต้สำนึกของหวังอี้เฟยมองไปยังทิศทางที่หมิงหวยวิ่งมาอย่างไม่รู้ตัว เขาเห็นเด็กหญิงตัวเล็กกำลังมองมาอย่างกังวลใจ หัวใจของเด็กชายพลันอบอุ่นพร้อมกับยิ้มกว้างให้หมิงหวยและตอบกลับ “ข้าไม่เป็นอะไรเลย ไม่ต้องกังวล”
จากนั้นหวังอี้เฟยดึงผ้าที่ผูกแขนของตนเองออกและกระซิบกับหมิงหวยอย่างแผ่วเบา “ข้าไปย้อมผ้าของพี่สาวเจ้าและเพื่อนของนางมาแล้วเมื่อวานนี้ หวยเอ๋อ โปรดเอามันให้นางแทนข้าที และข้าฝากให้พี่สาวของเจ้ามอบมันให้กับเพื่อนนางด้วยนะ”
ฟางหมิงหวยหยิบผ้านั้นพร้อมพยักหน้ารับ เขาหันหลังกลับและวิ่งหาฟางฮั่นและฟางฉือทันที
สิ่งที่หวังอี้เฟยกระทำไปเมื่อครู่นี้ค่อนข้างจะโจ่งแจ้งอย่างมาก คนที่เห็นเหตุการณ์นี้จะไม่คิดได้อย่างไรว่านั่นเป็นการให้แบบส่วนตัวของเขาเอง ? แม้แต่หวังเหล่าซิ่วยังมองท่าทีของหลานชายออกอย่างชัดเจนมาก
ฉับพลันฟางหมิงเจียงแบกเด็กชายตัวอ้วนออกมาจากในบ้าน เสียงตะโกนดังลั่น “พี่ใหญ่ทำอะไรเนี่ย ! ปล่อยข้า ! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ! ”
ฟางหมิงฮ่งถูกหิ้วตัวออกมาอย่างไม่ปราณี
ตอนนี้ฟางหมิงฮ่งอยู่ในชุดนอน เขายังไม่ตื่นจากฝันดีด้วยซ้ำ มันเป็นเพราะพี่ชายใหญ่เข้าไปลากเขาให้ลุกขึ้นมาจากเตียง
ฟางหมิงเจียงโยนฟางหมิงฮ่งลงตรงหน้าของตระกูลหวัง
ฟางเถียนรู้สึกสงสารหลานชายอย่างมาก นางพยายามช่วยให้หลานชายลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวกับฟางหมิงเจียง “พี่ใหญ่เจียง เจ้าให้น้องชายของเจ้าสวมเสื้อผ้าก่อนไม่ได้หรือ”
ฟางหมิงเจียงตะโกนออกมาเสียงดัง “ท่านย่า ! ”
นี่คือสิ่งเดียวที่จะทำให้ตระกูลหวังยอมสงบลง ! แต่เขาเหนื่อยหน่ายที่ผู้เป็นย่าไม่เข้าใจสถานการณ์
ฟางหมิงเจียงคือหลานชายสุดที่รักของฟางเถียน เมื่อฟางเถียนเห็นว่าสิ่งที่ตนเองต้องการจะทำนั้นทำให้หลานชายไม่พอใจอย่างมาก นางลังเลอยู่สักครู่หนึ่งก่อนที่จะยอมสงบปากสงบคำลง
ฟางหมิงฮ่งที่กำลังร้องไห้อยู่บนพื้นพลันเหลือบไปเห็นหวังอี้เฟยที่มีผ้าพันแผลอยู่บนศีรษะกำลังจ้องมองมาที่เขา ใบหน้าเด็กชายพลันขาวซีดและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวทันที มือและเท้าเริ่มขยับพร้อมกับคลานหนีอย่างลนลาน
ร่างกายอ้วนท้วนกำลังสั่นเทา “เจ้า เจ้า… เจ้า…”
มันจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไรถ้าฟางหมิงฮ่งไม่ได้ทำผิด ? ทำไมเขาจะต้องกลัวด้วยล่ะถ้าไม่ผิด ?
ท้ายที่สุดฟางเถียนก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นหลานชายหนาวสั่น นางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มจาง “มันเป็นเรื่องปกติที่เด็กผู้ชายมักจะเล่นกัน บางทีพวกเขาอาจจะไม่รู้ประสาและขว้างก้อนหินเล็ก ๆ ออกไปจนเกิดบาดแผลนิดหน่อย”
พ่อของหวังอี้เฟยเผยรอยยิ้มเย็นชาก่อนที่จะโยนก้อนหินที่มีคราบเลือดติดอยู่มาตรงหน้าของฟางเถียน “ช่างเป็นก้อนหินก้อนเล็กเสียจริง ! หรือต้องการให้ข้าเอาก้อนหินน้อย ๆ นี่โยนใส่หัวของหลานชายท่านบ้างหรือไม่ แล้วเราจะได้หายกัน ? ”
หินขนาดเท่ากำปั้นของผู้ใหญ่ตกลงตรงหน้าของฟางเถียน ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวและเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีม่วง
เวลานี้ชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ จับกลุ่มพร้อมพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“โอ้ หลานชายของป้าฟางช่างแข็งแรงจริง ๆ ”
“เขากล้าที่จะขว้างก้อนหินขนาดใหญ่นั่นใส่หัวของคนอื่นงั้นหรือนี่ ! ”
“เมื่อวานนี้ข้าอยู่ในเหตุการณ์เช่นกัน หมอลี่มาที่นั่นและเขาบอกว่ามันเป็นโชคดีของเด็กอี้เฟย เพราะหินก้อนใหญ่มาก ถ้าหากมันผิดองศาอีกสักเล็กน้อยคงจะไม่อาจรักษาดวงตาของหลานชายผู้อาวุโสหวังเหล่าซิ่วเอาไว้ได้แน่ ! ”
ฟางหมิงฮ่งกรีดร้องเมื่อเห็นคนมากมายกำลังจับจ้องมาที่เขา “แล้วใครขอให้มันเอาหัวมารับหินก้อนนี้แทนนังหมาตัวเมียนั่นกันล่ะ ! ก็สมควรแล้วที่เขาจะโดนแบบนี้ ! ข้าไม่ได้จะขว้างใส่เขาสักหน่อย ! ”
ทุกคนเงียบสนิทยิ่งกว่าเดิม…
ฟางฮั่นก้าวขาออกมาด้านหน้าพร้อมกับปรบมือเสียงดัง ฟางหมิงฮ่งรู้สึกมึนงงและเขาหันกลับมาตามเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นฟางฮั่น สายตาของเขายิ่งทอประกายความสับสนทันที
ทั่วทั้งลานเงียบสนิท
ทุกคนกำลังตกตะลึงที่จู่ ๆ เด็กหญิงหน้าตาน่ารักอีกทั้งยังดูบอบบางราวกับดอกไม้เดินออกมา ตอนนี้นางกำลังจะทำอะไร ?
เสียงดังฟังชัดของฟางฮั่นเปล่งออกมา “หมาตัวเมียงั้นหรือ ? หมาตัวเมียที่เจ้าพูดถึงคือลูกพี่ลูกน้องอายุ 6 ขวบของเจ้าใช่หรือไม่ ? แล้วใครสั่งสอนให้เจ้าพูดจาแบบนี้งั้นหรือ ? นี่คือถ้อยคำที่เจ้าเอาไว้ใช้เรียกผู้อื่น ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าหมาตัวเมียที่เจ้าพูดออกมามันหมายถึงอะไร ! ? เจ้ามีพี่น้องบ้างไหม มีพ่อแม่สั่งสอนไหม มีปู่ย่าสั่งสอนไหม ? !” ฟางฮั่นหยุดพร้อมเผยรอยยิ้มประชด “สิ่งที่เจ้าจะบอกกับทุกคนคือเจ้าต้องการเอาปาก้อนหินนั่นใส่หัวลูกพี่ลูกน้องของตัวเองใช่หรือไม่ ? ”
ฟางฮั่นกล่าวออกมาอย่างเหลืออด พร้อมกับใช้เท้าถีบเด็กอ้วนจนกลิ้งถอยหลังออกไป
ทุกคน “….”
ฟางฮั่นดึงร่างเล็กของฟางฉือที่ดวงตาแดงก่ำออกมา นางคำนับให้กับหวังอี้เฟยและตระกูลหวังทั้งหมดพร้อมกล่าว “เมื่อวานนี้ทุกอย่างดูเร่งรีบไปมาก ข้าไม่มีเวลาที่จะขอบคุณพวกท่านอย่างจริงจัง เพียงแต่ข้าอยากจะรอให้เด็ก ๆ กลับมาสู่สภาวะปกติก่อนและจะไปขอบคุณด้วยตนเองอีกครั้ง แต่วันนี้เด็กหนุ่มผู้กล้าหาญยืนตรงนี้แล้ว ข้าขอขอบคุณพวกท่านจริง ๆ ที่เลี้ยงบุตรชายมาได้เป็นอย่างดี เขาปกป้องน้องสาวซึ่งเป็นดวงใจของข้าเอาไว้ ! ”
ฟางฮั่นเน้นย้ำประโยคสุดท้ายอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ทุกคนรู้ดีว่าฟางฮั่นไม่ได้กล่าวเกินจริงอะไรเลย ถ้าหวังอี้เฟยไม่ได้รับก้อนหินนี้แทนฟางฉือ เด็กหญิงอายุ 6 ขวบคงจะลงไปนอนอยู่ในหลุมศพอย่างไม่ยากเย็นนัก
ทุกคนมองดูฟางฉือที่กำลังร่ำไห้ออกมาจนหน้าแดงก่ำ ความสงสารยิ่งทวีคูณขึ้นหลายเท่า
หวังอี้เฟยรู้สึกประหม่าอย่างมาก เขาไม่รู้เลยว่าควรจะทำตัวอย่างไรจึงได้แต่ตอบกลับอย่างจริงใจ “ไม่เป็นไรเลย ไม่เป็นไร…”
ส่วนหวังเหล่าซิ่วเห็นการกระทำทั้งหมดของฟางฮั่นอย่างชัดเจน เขารู้สึกตกใจในความสุภาพและใจกว้างของนางอย่างมาก ชายชราอดไม่ได้ที่จะประทับใจเด็กสาวพร้อมลูบเคราลอบพยักหน้าอย่างพอใจ
ฟางเถียนฟื้นคืนสติของตนเองทันทีเมื่อเห็นว่าหลานที่นางเกลียดชังกล้าลงมือกับหลานชายสุดที่รักของตนเอง ฟางฮั่นกล้าดีอย่างไรที่จะใช้เท้าเตะหมิงฮ่ง ? นางกรีดร้องพร้อมกับวิ่งไปหาหมิงฮ่งอย่างเร่งรีบ
“ถ้าแกจะทำอะไรหมิงฮ่งอีกล่ะก็~ ข้ามศพข้าไปก่อน ! ถ้ามันไม่ใช่เพราะพวกแกทั้งสามคน ทำไมหมิงฮ่งจะต้องกลายเป็นคนผิดในเหตุการณ์นี้ด้วย ? ! ”
จากนั้นนางตะโกนใส่ตระกูลหวังอีกครั้ง “ครอบครัวของเจ้าก็เช่นกัน เด็กชายเลือดร้อนเพราะทะเลาะกับเด็กหญิงตัวเหม็นเท่านั้น แต่หลานชายของเจ้ากลับเข้ามายุ่งย่ามไม่เข้าเรื่องเอง ! ”
ฟางหมิงฮ่งเมื่อได้ยินย่าเข้าข้างตนเอง เขาร่ำไห้พร้อมโผเข้ากอดอีกฝ่ายทันที
ครอบครัวหวังที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านฟางเจียแห่งนี้ไม่รู้เรื่องราวขับข้องใจภายในตระกูลฟางเลย ผู้อาวุโสตระกูลฟางกับหลานสามนั้นมีเรื่องบาดหมางกันมาเนิ่นนาน ผู้คนที่มาใหม่และไม่รู้เรื่องราวล้วนแต่ตกตะลึงกับพฤติกรรมที่เกินเยียวยานี้
หวังอี้เฟยอดไม่ได้ที่จะกระซิบ “นั่นท่านย่าของเจ้าหรือเปล่า ? ”
ฟางฮั่นพยักหน้ารับอย่างอารมณ์เสีย “อืม นั่นคือย่าของข้า”
หวังอี้เฟยตกใจอีกครั้ง
รอยยิ้มสิ้นหวังผุดขึ้นมาบนใบหน้าเด็กหญิง
อย่าว่าแต่คนนอกเลยที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่ผู้เป็นหลานแท้ ๆ ก็ยังแอบสงสัยด้วยเช่นกัน ผู้อาวุโสคนนี้คือย่าของพวกเขาจริง ๆ งั้นหรือ ?
บางทีพ่อของนางอาจจะถูกเก็บมาเลี้ยง เขาอาจจะเป็นลูกของศัตรูเพื่อเอามาล้างแค้นชำระความอะไรกันสักอย่างแน่…
แต่ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะอาหกที่ยืนยันว่าพ่อของนางคือสายเลือดที่แท้จริงล่ะก็… นางคงจะคิดแบบนั้นไปแล้ว
“แค่ก ๆ ” หวังเหล่าซิ่วเริ่มกล่าวบ้าง “แต่ถึงอย่างไรหลานชายของเจ้าก็ทำร้ายหลานชายของข้าซะแล้ว เราควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดีล่ะ”
หวังเหล่าซิ่วกล่าวออกมาอย่างมีนัยนะสำคัญพร้อมเหล่มองฟางหมิงเจียงอย่างเงียบ ๆ
ฟางหมิงเจียงรู้สึกกดดันอย่างมาก เขารีบตัดสินใจในทันที
เขาหยิบแส้ขึ้นมาพร้อมกับให้พ่อและแม่ดึงร่างของฟางเถียนออกจากหมิงฮ่ง ตอนนี้เด็กชายตัวอ้วนจะต้องรับความผิดที่ตนเองก่อเอาไว้
เนื่องจากมันเป็นการข่มขู่จากพี่ชายใหญ่ ฟางหมิงฮ่งจำเป็นต้องคุกเข่าลงและรับสารภาพอย่างไม่เต็มใจนัก
ท้ายที่สุดแม้เขาจะยอมทำทุกอย่างตามที่พี่ชายใหญ่บอก แต่พี่ชายของเขากลับไม่ปล่อยให้เขาออกไปโดยง่าย
ฟางหมิงเจียงยืนอยู่ตรงหน้าทุกคน เขาใช้แส้ฟาดบนร่างอ้วนของน้องชายจำนวน 20 ครั้ง เสียงกรีดร้องของเด็กชายโหยหวนไปทั่วบริเวณ เขากลิ้งไปมาบนพื้นอย่างน่าสมเพช
ฟางฮั่นรีบกอดน้องทั้งสองของตนเองเอาไว้เพื่อไม่ให้ดูฉากที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ แต่ทว่าเสียงกรีดร้องของอีกฝ่ายยังคงดังมาถึงหูของพวกเขาอยู่ดี ร่างกายของทั้งสองสั่นเทาด้วยอาการหวาดกลัว
หลังจากที่ฟาดแส้ลงบนร่างกายของหมิงฮ่งแล้ว 20 ครั้ง เลือดของหมิงฮ่งสาดกระเซ็นไปบนพื้นจนทั่วบริเวณ เขาร้องไห้ปานจะขาดใจและหายใจสะดุดหลายครั้งจากความเจ็บปวด
แม่ของหมิงฮ่งร้องไห้จนหมดสติในอ้อมแขนของฟางฉางจวงผู้เป็นพ่อ ฟางอ้ายซ่อนตัวอยู่ในบ้านไม่กล้าออกมาด้านนอก ส่วนฟางจงโยว่รีบหยิบผ้ามาคลุมร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของฟางหมิงฮ่งอย่างเร่งรีบ ส่วนฟางเถียนนั้นร้องไห้จนพูดไม่ได้ภาษา ‘หลานรักของย่า’ นางพร่ำคำนี้อยู่นานจนหมดสติล้มพับไป
ตระกูลฟางทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหล
ตอนนี้ตระกูลหวังรู้สึกพอใจกับความยุติธรรมนี้แล้ว พวกเขาจึงตั้งใจที่จะกลับ
ก่อนที่พวกเขาจะได้ออกไป ฟางหมิงเจียงโค้งคำนับให้กับหวังเหล่าซิ่วอีกครั้งอย่างเคารพ “ศิษย์ได้สร้างความลำบากให้กับอาจารย์อีกแล้ว ต้องขออภัยท่านจากใจจริง”
หวังเหล่าซิ่วไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาตบบ่าของฟางหมิงเจียงเบา ๆ อย่างมีนัยนะสำคัญ “น้องชายของเจ้าช่างมีจิตใจบิดเบี้ยวยิ่งนัก อารมณ์ของเขาเลวร้ายเกินไป เจ้าจะต้องลงมือกับเขาหนักหน่อยเพื่อที่จะดึงเขากลับมาเป็นผู้เป็นคน”
ฟางหมิงเจียงตกใจกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความหมายนั้น หวังเหล่าซิ่วไม่เพียงแต่พูดถึงฟางหมิงฮ่งแต่ยังพูดถึงเขาด้วยเช่นกัน
ขณะที่เขากำลังจะถามบางอย่าง หวังเหล่าซิ่วก็หันหลังจากไปพร้อมกับไม้เท้าของเขาแล้ว
หลังจากการแสดงครั้งใหญ่จบลง ชาวบ้านเริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันอีกครั้ง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่วิ่งไปตามหมอลี่มาดูอาการคนเจ็บ
หมอลี่บ่นออกมาอย่างหงุดหงิด “ตระกูลฟางนี่เป็นอะไรนักหนา ทำไมถึงได้ขยันสร้างเรื่องราวน่ารำคาญนักล่ะ? พวกเขาไม่ต้องการใช้ชีวิตดี ๆ ในช่วงตรุษจีนรึไง ! ” แม้ปากจะบ่นแต่เขาก็ยังคงหยิบชุดเครื่องมือออกไปจากบ้าน
เมื่อหมอลี่มาถึงที่บ้านของตระกูลฟาง เขาเริ่มตรวจดูอาการและฟางเถียนเห็นว่าหมอมาแล้ว นางคว้ามือของหมอลี่พร้อมกล่าว “หลานชายของข้า หลานชายของข้า ! ”
หมอลี่จับข้อมือของนางไว้พร้อมถาม “มีอีกงั้นเหรอ ? อยู่ไหนล่ะ ? ”
ในเวลานั้นฟางหมิงฮ่งซึ่งถูกห่ออยู่ในผ่าห่ม เขาอยู่ในอ้อมแขนของฟางฉางจวง หมอลี่เปิดผ้าห่มออกพร้อมอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก “ใครกันที่กระทำการโหดร้ายเช่นนี้ ! ”
เสี่ยวเถียนซึ่งเป็นแม่อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นสภาพของลูกชาย
ฟางฉางจวงกล่าวออกมาเบา ๆ “พวกคนเลว…”
หมอลี่จับชีพจรของเด็กชายพร้อมขมวดคิ้ว “อ่า เป็นเพียงอาการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น เขาไม่ได้รับผลกระทบอะไรในปอดหรอก เดี๋ยวข้าจะจัดยาสำหรับทำแผลให้ ก็เช็ดตัวให้เขาสักสามวันก็จะหายเป็นปกติ”
ขณะที่เขากำลังจัดยา เขาก็พึมพำ “เขาคล้ายกับบาดเจ็บสาหัสแต่กลับไม่ได้มีอะไรแทรกซ้อนเลย”
เสี่ยวเถียนได้ยินเช่นนั้นรีบถามไถ่ออกมาอย่างเร่งรีบ “ลูกชายของข้ายังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ ! ? ”
หมอลี่โกรธอีกครั้ง เขารู้สึกว่าตระกูลฟางนี้เป็นบ้าอะไรกันทำไมจึงชอบคว้ามือของเขาอย่างถือวิสาสะ ! ถ้าหากเป็นหญิงสาวสักหน่อย เขาจะอนุญาตให้จับ แต่ทุกคนในนี้ล้วนชราภาพแล้ว จะมาอยากจับอะไรกัน ? !
“ข้าบอกแล้วว่าชีพจรของเขายังปกติดี ! ถ้าไม่เชื่อก็เรื่องของพวกเจ้า” เขาโกรธจัดพร้อมกับเหวี่ยงแขนและเดินออกไปพร้อมกับยาที่เพิ่งจัด
ฟางฉางจวงเห็นดังนั้นรีบวิ่งตามหมอลี่ออกไปอย่างเร่งรีบ เขาจ่ายค่ารักษาพร้อมกับรับยามา ก่อนที่หมอลี่จะเดินจากไป