ตอนที่ 32 รอข้า 5 ปี
ไม่กี่วันก่อนหน้าที่จะถึงเทศกาลปีใหม่ น้าหกตั้งใจจะมารับเด็ก ๆ เพื่อไปร่วมฉลองด้วยกัน แต่ฟางฮั่นถามความเห็นของน้องทั้งสอง พวกนางตกลงกันว่าในปีนี้พวกเขาสามคนจะอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้ เนื่องจากนี่คือครั้งแรกที่ทั้งสามแยกตัวออกมาจากตระกูลและหวังว่ามันจะเป็นการเริ่มต้นปีที่ดี
ในวันส่งท้ายปีเก่า ฟางฮั่นหยิบป้ายคำอวยพรมากมายที่ซื้อมาจากในเมืองติดรอบบ้าน สีสันมากมายทำให้บ้านดูสดใสและมีชีวิตชีวาอย่างมาก ส่วนฟางฉือและฟางหมิงหวยก็ไม่ได้อยู่เฉยเช่นกัน เด็กตัวเล็กทั้งสองคนใช้ผ้าขี้ริ้วเก่านำไปชุบน้ำและถูบ้านทุกซอกทุกมุมอย่างขยันขันแข็ง
ด้านบนของเสาไฟที่บริเวณรั้วบ้านค่อนข้างที่จะสูง ฟางฮั่นยังเด็กและนางก็ยังไม่ได้สูงขนาดที่จะติดลูกตุ้มบนนั้นได้ มือน้อยลากเก้าอี้มาพร้อมกับขึ้นไปยืนเขย่งบนเก้าอี้อีกทีอย่างทุลักทุเล
ขณะที่นางกำลังจดจ่อกับกิจกรรมตรงหน้า ฟางฮั่นรู้สึกว่าม้านั่งที่นางยืนอยู่ไม่มั่นคงราวกับมีใครบางคนเตะมัน ความตกใจพลันถาโถมพร้อมกับเก้าอี้เริ่มแกว่งไกว ท้ายที่สุดนางก็ล้มลงมาที่พื้น ใบหน้าร้อนผ่าวรู้สึกเขินอายเล็กน้อย โชคดีที่มันไม่ได้สูงมากนักจึงทำให้ข้อเท้าของนางแค่เจ็บนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ปวดอะไรมาก อีกทั้งร่างกายก็ไม่ได้ฟกช้ำอะไรเนื่องจากเสื้อผ้าของนางหนามากเพราะตอนนี้อยู่ในฤดูหนาว
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ~”
จังหวะที่ฟางฮั่นล้มลงบนพื้น ฟางอ้ายที่อยู่ข้างรั้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“นังโง่~” ฟางอ้ายกล่าวออกมาพร้อมกับยังหัวเราะอยู่ จากนั้นนางก็กล่าวต่อหลังจากพักหายใจ “มองอะไร ข้าไม่ได้ผลักเจ้า ! ”
ฟางฮั่นลุกขึ้นและกดเก็บความเจ็บปวดที่ข้อเท้าเอาไว้ นางปัดดินออกจากร่างกายพร้อมกล่าว “เจ้าคิดว่าไม่มีใครเห็นงั้นหรือ ? ”
ฟางอ้ายกล่าวออกมาราวกับได้รับชัยชนะ “ข้ามองดูรอบ ๆ แล้วว่าตรงนี้ไม่มีใคร ฮ่าฮ่า เจ้าล้มเองนี่ ข้าไม่ได้ทำสักหน่อย”
เมื่อเร็ว ๆ นี้นางไม่มีเพื่อนเล่นเลยสักคน เด็กในหมู่บ้านทุกคนที่เคยเล่นกับนางได้หนีหายไปจนหมดสิ้น เพราะหลังจากที่นางผลักฟางฮั่นตกน้ำ ไม่มีพ่อแม่คนไหนอนุญาตให้ลูกสาวเล่นกับนางเลยสักคน ต่อมาฟางอ้ายใช้วิธีหลอกล่อพวกเขาโดยการหยิบยื่นขนมให้กินอยู่นานกว่าที่เด็ก ๆ จะเริ่มใจอ่อนอีกครั้ง แต่บางคนก็ยังลังเลและกล่าวว่าฟางอ้ายเป็นคนโหดร้าย หากวันใดมีคนทำให้นางไม่พอใจ นางก็คงจะผลักพวกเขาตกน้ำเช่นกัน
ความโกรธนี้ยังคงอยู่ในใจของฟางอ้ายเสมอมา นางแค่ผลักเด็กหญิงตัวเหม็นตกน้ำแต่กลับถูกดึงลงไปในน้ำด้วย อีกทั้งยังต้องมาพบเจอกับการไม่มีเพื่อนเล่นอีก มันสมเหตุสมผลสำหรับนางแล้วงั้นหรือ ?
ปกตินางก็ไม่ได้ชื่นชอบฟางฮั่นอยู่แล้ว ยิ่งมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้น ไฟที่สุมอยู่ในอกพลันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
นางโทษว่าฟางฮั่นทำให้นางจมน้ำ ฟางฮั่นทำให้เด็ก ๆ ไม่เล่นกับนาง อีกทั้งยังก่นด่าฟางฮั่นให้กับคนอื่นฟังว่านางนั้นเป็นเด็กนิสัยไม่ดีทำให้ท่านย่าต้องหนักใจตลอดเวลา เสียงก่นด่าของท่านย่าในแต่ละวันทำให้นางหนวกหูและบรรยากาศในบ้านย่ำแย่เพราะผู้หญิงคนนั้น
ตระกูลฟางไม่ยอมให้ฟางอ้ายเข้าใกล้ฟางฮั่นอีก เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องแย่ ๆ ออกไปสู่ภายนอกและไม่ต้องการให้เด็กสองคนมีปัญหากันในภายหลัง
ฟางอ้ายได้ยินท่านย่าเล่าเรื่องที่ทหารจับกุมตัวอาสามและท่านย่าไปที่ศาล หลังจากวันนั้นนางค่อนข้างกลัวฟางฮั่นอย่างมาก และหลังจากนั้นสามวันที่แล้ว ฟางฮั่นใช้อาวุธทุบตีอาสามอย่างทารุณ เช่นนั้นแล้วนางจึงคิดได้ว่าฟางฮั่นคงจะเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ
วันนี้ฟางเถียนสั่งให้นางไปที่บ้านหลังใหญ่ ความเบื่อหน่ายทำให้นางอยากจะใช้หลังบ้านเพื่อหลบออกจากความวุ่นวาย นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสม ทุกคนในบ้านวุ่นอยู่กับการจัดงานปีใหม่ นางเดินหลบออกมาและพบว่าฟางฮั่นกำลังง่วนอยู่กับการแต่งบ้านในวันตรุษจีนด้วยเช่นกัน พระเจ้าคงจะเข้าข้างนางอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครสักคนอยู่ในบริเวณนี้เลย !
ฟางอ้ายใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีในการเตะม้านั่งที่ฟางฮั่นยืนอยู่
ฟางฮั่นล้มลงก้นจ้ำเบ้า ความน่าอายนั้นทำให้ฟางอ้ายหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข นางรู้สึกว่าความแค้นภายในใจได้ลดน้อยลงไปบ้างเล็กน้อย
ฟางฮั่นบุ้ยปากอย่างไม่สบอารมณ์ “โอ้ ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยงั้นหรือ”
ฟางอ้ายไม่ได้ตระหนักถึงความแปลกประหลาดของน้ำเสียงนั้น ฟางฮั่นขยับตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับผลักฟางอ้ายอย่างสุดแรงเช่นกัน !
ฟางอ้ายไม่ทันตั้งตัวและนางหงายหลังก้นจ้ำเบ้าลงบนหินก้อนใหญ่ !
ก่อนที่จะทันรู้ตัว ความเจ็บปวดได้ถาโถมเข้าสู่ร่างกายแล้ว ฟางอ้ายตั้งสติได้พร้อมจับจ้องฟางฮั่นด้วยความประหลาดใจและตกใจ “เจ้ากล้าที่จะผลักข้าเชียวหรือ ? ”
ฟางฮั่นปัดมือของตนเองเบา ๆ พร้อมสายตาชั่วร้ายมองที่ฟางอ้ายอย่างเอาเรื่อง “ไม่มีใครอยู่แถวนี้นี่ ใครบอกว่าข้าผลักเจ้างั้นหรือ เจ้าล้มลงไปเองต่างหาก ! ”
ฟางฮั่นใช้ถ้อยคำเดียวกันเพื่อตอบโต้อีกฝ่ายอย่างเจ็บแสบ
ฟางอ้ายตกตะลึงอยู่สักครู่หนึ่งก่อนที่จะโกรธจัด “เจ้า เจ้า… นังบ้า ! ”
ก่อนที่ฟางอ้ายจะทันได้สาปแช่ง ฟางฮั่นปัดดินบนร่างกายพร้อมกับหยิบม้านั่งและเดินจากไปอย่างไม่แยแส
ฟางอ้ายลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมพุ่งเข้าไปในลานและเริ่มตะโกน “วันนี้เจ้าเล่นสกปรกมากเกินไปแล้ว ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกต่อไป”
ฟางฮั่นหันหลังกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา “ข้าเคยบอกแล้วนี่ว่าอย่ามายุ่งกับข้า… เพราะข้าจะไม่ไว้หน้าใครอีกแล้ว”
ฟางอ้ายเริ่มกลัวและขาสั่น ภาพแผลทางยาวที่ถูกสร้างขึ้นโดยฟางฮั่นบนร่างกายของอาสามยังคงชัดเจน นางรู้สึกเสียใจเข้าแล้วสิที่เข้ามาวุ่นวายกับคนบ้าเช่นนี้
ฟางฮั่นบ้าไปแล้ว !
ฟางอ้ายปัดดินออกจากตัวพร้อมกับแบกความเจ็บปวดเดินกลับบ้านทันที
ฟางฮั่นยืนอยู่ในสนามหญ้าพร้อมกับสาปแช่งในใจ แม้ว่าวิญญาณข้าจะเป็นผู้ใหญ่อายุ 20 ปีที่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับเด็กอายุ 11 ปีคนนี้ เฮอะ ต่อให้ใครไม่เข้าใจ ข้าก็จะไม่สนใจหรอก ฟางอ้ายเริ่มก่อน ข้าไม่สนใจว่านางจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ใครรังแกข้า… ข้าก็จะไม่ปล่อยไปแน่ !
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นางคือเด็ก มันสมเหตุสมผลแล้วที่นางจะตอบโต้อีกฝ่ายบ้าง
ฟางฮั่นปลอบตัวเองอย่างพอใจ
ขณะที่นางกำลังยืนจัดการกับป้ายกลอนคู่ชิ้นใหม่อยู่ที่รั้ว มีเสียงที่สดใสเสียงหนึ่งดังขึ้นจากริมรั้วด้านนอก “ฟางฮั่น~”
ฟางฮั่นมองออกไปเพื่อที่จะดูว่าใครยืนอยู่ที่ประตู
เด็กชายคนหนึ่งอยู่ในเสื้อผ้าชุดใหม่และเขาดูค่อนข้างประหม่าเล็กน้อย “ข้า ข้าหายแล้ว วันนี้ข้ามาหาเจ้าเพื่อขอบคุณที่ไปเยี่ยมข้าวันนั้นน่ะ…”
เฉิงเจิ้งไค๋ไม่เห็นฟางฮั่นมาสักพัก วันนี้เขารู้สึกว่านางดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นมันกลับมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าทุกครั้งที่เขาได้เห็นมัน
ฟางฮั่นเผยรอยยิ้มกว้างพร้อมกล่าวทักทาย “ไม่เป็นไรเลย เจิ้งไค๋ ดีแล้วที่เจ้าดีขึ้น เจ้ารอข้าสักครู่ เดี๋ยวข้าขอติดกลอนคู่ตรงนี้ก่อน”
ทันทีที่เจิ้งไค๋เห็นว่าฟางฮั่นเดินกะเผลก เขาร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก “ข้อเท้าของเจ้าเป็นอะไร ? เกิดอะไรขึ้น ? ”
ฟางฮั่นโบกมืออย่างไม่ได้สนใจมากนัก “มันพลิกนิดหน่อยน่ะ ไม่เป็นอะไรมากหรอก เอ๊ะ เจ้าจะทำอะไรน่ะ ? ”
เฉิงเจิ้งไค๋หยิบเอากลอนคู่ที่นางต้องการจะทำในมือของฟางฮั่นพร้อมตอบกลับ “ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
จากนั้นเขาเดินออกไปที่สนามอย่างไม่ฟังอะไรอีก เพียงเอื้อมมือไป เขาก็สามารถแขวนมันได้อย่างง่ายดาย เขาหันมาถามฟางฮั่นพร้อมร่างกายที่ยังคงยืดยาวเพราะเขย่งอยู่ “แบบนี้ใช่ไหม ? ”
ฟางฮั่นคิดว่าขาของนางไม่ควรจะปีนป่ายม้านั่งอีกแล้ว นางขอบคุณเขาและเริ่มชี้นิ้ว “ซ้ายนิด… ซ้ายอีกหน่อย...”
ทั้งสองวุ่นวายกันอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ในที่สุดพวกเขาก็จัดการตกแต่งรอบบ้านเสร็จสิ้นเสียที ทั้งประตูลานและกระท่อมล้วนแต่มีตุ้มสีแดงคล้องไว้อย่างสดใส ให้บรรยากาศเทศกาลรื่นเริงอย่างยิ่ง
ตอนนี้บ้านน้อยหลังนี้ดูเข้ากับเทศกาลที่จะมาถึงอย่างเต็มที่แล้ว
“ขอบคุณมากนะ” ฟางฮั่นกล่าวพร้อมกับถือผลไม้ที่ล้างแล้วยัดใส่มือของเจิ้งไค๋โดยไม่ได้กล่าวอะไร
ส่วนเฉิงเจิ้งไค๋นั้นตกใจเล็กน้อยและรู้สึกว่ามือของเขากลับร้อนผ่าวขึ้นมา เด็กชายกลั้นหายใจชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวอย่างติดขัด “เจ้า… เจ้ารอข้า… รอข้า 5 ปีนะ”
หลังจากที่กล่าวจบ ราวกับว่ามีลมกรรโชกแรงผ่านหลังของนางไป บรรยากาศเงียบสงัดวังเวงทันที เขาหายตัวไปอย่างรวดเร็ว…
รอเขาเป็นเวลา 5 ปีงั้นเหรอ? อีก 5 ปีเขาจะทำอะไร ?
แม้ฟางฮั่นจะฉลาดสักแค่ไหน แต่นางก็ไม่สามารถรู้ว่าเจิ้งไค๋ตกลงอะไรกับแม่ของเขาไว้หลังจากผ่านไป 5 ปี แม่ของเขาอนุญาตให้เขาแต่งงานกับนาง… แต่นางไม่รู้
หลังจากนี้อีก 5 ปี นางจะมีอายุ 14 ปีเท่านั้น ในความคิดของนางนั้นเด็กวัย 14 ปียังไม่ควรแต่งงานและมันก็ไม่มีอยู่ในหัวสมองของนางด้วย
ตอนนี้นางกำลังคิดว่าคำพูดของเฉิงเจิ้งไค๋แปลกประหลาดมาก
แต่เมื่อลองคิดถึงแม่ที่น่ากลัวของเขาแล้ว ฟางฮั่นรู้สึกเข้าใจบางอย่างขึ้นนิดหน่อย อาจเพราะแม่ของเขาสั่งว่าไม่ให้มายุ่งกับนางในขณะที่ยังเรียนอยู่ก็ย่อมได้
ฟางฮั่นละทิ้งเรื่องนี้ไปอย่างไม่ใส่ใจ นางเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อทำสิ่งอื่นต่อราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรก่อนจากไป