ตอนที่ 25 ข้าต้องการแต่งงานกับฟางฮั่น
แม่ของเฉิงเจิ้งไค๋กลับมาจากเอางานเย็บปักไปขาย นางเห็นว่าบุตรชายเพิ่งกลับจากโรงเรียนในหมู่บ้านและตอนนี้เขากำลังนั่งยอง ๆ ที่อ่างซักล้างเพื่อจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเอง
ในฤดูหนาวแม้ว่าจะซักล้างสิ่งใดด้วยน้ำร้อน แต่พวกเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงอาการมือบวมได้ ผู้เป็นแม่ตรงปรี่เข้าไปหาลูกชายอย่างกังวลใจ “แม่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าหากถอดเสื้อผ้าแล้วจงวางมันเอาไว้ แม่สามารถซักให้เจ้าได้ ถ้าหากมือของเจ้าบวมขึ้นมาแล้วจะจับพู่กันเขียนหนังสือได้อย่างไรกัน ? ”
เฉิงเจิ้งไค๋ปล่อยให้แม่ของเขาบ่นเป็นเวลานาน ส่วนตัวเขาเองได้แต่มองใบหน้าของผู้เป็นแม่อย่างมีอะไรจะพูด แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดมันอย่างไรดี
ผู้เป็นแม่เห็นถึงความผิดปกติบนใบหน้าของลูกชาย นางจึงกล่าวออกมาด้วยความกังวลใจ “เจิ้งไค๋ เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ ? ที่โรงเรียนมีผู้ใดกลั่นแกล้งเจ้าหรือไม่ ? ”
เฉิงเจิ้งไค๋พยายามรวบรวมความกล้าพร้อมกับพูดออกมาอย่างติดขัด “ข้า… ข้าได้ยิน… ฟางฮั่นกำลังจะไปเป็นเด็กของตระกูลใหญ่”
คิ้วของผู้เป็นแม่ขมวดเข้าหากันแน่นก่อนจะกล่าวกับลูกชายอย่างช้า ๆ “ดูเหมือนว่านางจะเป็นที่ชื่นชอบของตระกูลใหญ่นะ แต่นั่นคือเรื่องปกติของเด็กผู้หญิง”
ฉับพลันใบหน้าของเฉิงเจิ้งไค๋เต็มไปด้วยความกังวลใจ
เขาได้ยินมาจากเพื่อนในหมู่บ้านว่าถ้านางไปเป็นเด็กในครอบครัวใหญ่ เป็นไปได้ว่านางจะต้องอาศัยอยู่กับเจ้านายและอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน อาจจะอยู่ในสถานะอนุภรรยาอีกคน… อย่างไรก็ตามหลังจากที่นางเข้าสู่ครอบครัวนั้นไปแล้ว อิสรภาพในชีวิตทั้งหมดของนางจะถูกริดรอนไปจนหมดสิ้น
ใบหน้าของเฉิงเจิ้งไค๋ยิ่งย่ำแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขากังวลและจับจ้องผู้เป็นแม่ซึ่งยังไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เฉิงเจิ้งไค๋รวบรวมความกล้าก่อนที่จะพูดว่า “แม่… ข้า… ข้า… ข้าอยากแต่งงานกับฟางฮั่น”
หัวใจของผู้เป็นแม่วูบไหวและรู้สึกตื่นตระหนกทันทีที่ได้ยินลูกของตนกล่าวเช่นนี้
นางรู้สึกได้ว่ารูปลักษณ์ของเด็กหญิงคนนั้นสามารถดึงดูดใจของลูกชายนางได้และนางก็คิดไม่ผิดจริง ๆ ด้วย !
“ไม่ได้” อีกฝ่ายถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าเจ้าต้องการจะแต่งงานกับนาง แน่นอนว่าข้าไม่เห็นด้วยเป็นอันขาด”
เฉิงเจิ้งไค๋ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพร้อมร้องถาม “เหตุใดกัน? ทำไมจึงไม่เห็นด้วยกับข้า ! ”
“ทำไมไม่เห็นด้วยงั้นหรือ ? ! ” แม่ของเจิ้งไค๋เริ่มใส่อารมณ์รุนแรง น้ำเสียงของนางดังขึ้นกว่าเดิม “เช่นนั้นแม่จะถามเจ้ากลับคืนว่าทำไมจะต้องเห็นด้วยกับการให้เจ้าแต่งงานกับผู้หญิงที่อกตัญญูคนนั้น ! จะแต่งนางเข้าบ้านมาให้แม่โมโหทั้งวันหรือไง? เอาล่ะ แม่จะไม่โกรธเจ้าและขอถามอีกครั้ง ทุกวันนี้แม่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูเจ้าอย่างดีที่สุด แต่การแต่งงานครั้งนี้เจ้าต้องแบกรับภาระเด็กอีก 2 คนที่ติดมากับเจ้าสาวของเจ้า ซึ่งมันไม่ควร เจ้ายังจะให้ข้าแบกรับภาระพวกนั้นอีกงั้นหรือ ? ! ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเฉิงเจิ้งไค๋เจ็บปวด เขารู้ว่าแม่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้จิตใจของเขากลับคิดถึงแต่ร่างกายผอมบางของฟางฮั่น เขาไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของแม่เลยสักครั้ง แต่คราวนี้เมื่อเขาได้ยินว่าฟางฮั่นจะถูกดึงไปโดยครอบครัวใหญ่ หัวใจของเขากลับทนไม่ได้ที่จะเห็นนางเป็นของคนอื่น เขาไม่อยากจะแบ่งนางให้กับใครทั้งนั้น
ความอึดอัดเกิดขึ้นในจิตใจของเด็กชาย…
แม่ของเจิ้งไค๋เห็นใบหน้าที่เจ็บปวดของบุตรชาย นางเกรงว่าเขาจะรู้สึกพ่ายแพ้และสูญเสียกำลังใจ จึงรีบปลอบประโลมเขาอย่างอ่อนโยน “วันนี้ข้าเข้าไปที่เขตเมืองด้วยรถม้าคันเดียวกับนาง ข้าไม่เห็นว่าจะมีครอบครัวใหญ่ที่ไหนมาขอให้นางไปอยู่ด้วยเลย ตอนนี้เจ้ายังเด็กและมันเร็วเกินไปที่จะแต่งงาน หลังจากวันนี้จงตั้งใจเรียนและทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว หลังจากผ่านไป 5 ปี ถ้าหากเจ้ามีความสามารถที่จะดูแลนางและน้องได้ วันนั้นข้าจะยินยอมให้เจ้าแต่งงานกับนางแน่นอน”
เมื่อเฉิงเจิ้งไค๋ได้ยินเช่นนั้น เขาราวกับว่าเป็นชายหนุ่มที่กำลังจมลงสู่ใต้น้ำแต่กลับมีขอนไม้โยนลงมาช่วยชีวิต ดวงตาของเขาเบิกกว้างพร้อมกับดึงแขนแม่ของตนอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ ! แม่ไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่ ! ? ”
แม่ของเด็กชายอดไม่ได้ที่จะหยิกแขนของเขาสักที “แม่คนนี้เคยโกหกเจ้างั้นหรือ ! ? ”
แม้เฉิงเจิ้งไค๋จะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแต่ใบหน้าของเขากลับยิ้มแย้ม ห้าปีหลังจากนี้เขาจะอายุ 16 ปีและฟางฮั่นก็จะอายุ 14 ปี ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการแต่งงาน
หลังจากวันนี้เขาจะต้องพัฒนาตัวเองอย่างหนักเพื่อที่จะได้แต่งงานกับนาง…
เฉิงเจิ้งไค๋ตั้งใจเรียนอย่างหนักนั่นเป็นเพราะว่าเขาต้องการบางสิ่งบางอย่างตอบแทน
ส่วนฟางฮั่นนั้นไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย จิตใจของนางกำลังวุ่นวายอยู่กับการหารายได้
หลังจากที่ผู้อาวุโสตระกูลฟางถูกปรามจากผู้พิพากษา ฟางเถียนไม่เคยมายุ่งกับนางอีกเลย ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนโผล่ออกมาหลังบ้านแม้แต่คนเดียว มีแค่ฟางเซียงหยูเท่านั้นที่แอบลอบออกประตูหลังบ้านไปอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ ซึ่งฟางฮั่นไม่สามารถหยุดการกระทำของนางได้
หลังจากนี้จะไม่มีใครมาก่อกวนแผนการสร้างรายได้กองโตของนางอีกแล้ว
สมุนไพรในเขาเทพธิดาเป็นสิ่งเดียวที่สามารถขุดได้ในฤดูหนาว ฤดูกาลนี้คือหน่อไม้ฝรั่งและสมุนไพรอื่น ๆ แต่ตอนนี้พวกมันเหลือเพียงน้อยนิดยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ ส่วนลูกพลัมป่าสีแดงนั้นถูกรวบรวมโดยฟางฮั่นอยู่แล้ว มันยังมีเหลืออยู่บ้างและนางก็ยังเก็บมันต่อไป แถมตอนนี้ยังมีการขายบ๊วยตากแห้งอีกด้วยที่นางต้องการจะทำ
ฟางฮั่นหาเงินได้มากโขจนนางคิดถึงการสร้างเรือนกระจกขึ้นมาเพื่อปลูกผัก นางรู้ทฤษฎีทุกอย่างชัดเจน แต่มันกลับเป็นเรื่องยากมากที่จะสร้างให้ได้ ในยุคสมัยนี้การจะหาแผ่นพลาสติกสังเคราะห์แสงดี ๆ นั้นเป็นเรื่องยากมาก
ในหัวเริ่มคิดถึงความเชี่ยวชาญระดับมืออาชีพในโลกใบเก่า การทำเครื่องจักรนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายดายมาก
อย่างไรก็ตามนางกำลังออกแบบและวัดขนาดสิ่งต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง แต่ตอนนี้นางเป็นเพียงเด็ก 9 ขวบที่กำลังพยายามทำเรื่องใหญ่โตโดยไม่ได้มีทุนหนา
ฟางฮั่นหมกตัวอยู่กับความคิดนั้นจนรู้สึกว่าสมองของตัวเองกำลังจะระเบิดออก
เช้าวันหนึ่งนางกำลังล้างหน้าอยู่ ฟางฮั่นรู้สึกถึงกลิ่นแปลกประหลาดในมือและมันกำลังขัดหน้าของนางอย่างหยาบ ๆ สายตานางจับจ้องไปที่กลิ่นฉุนตรงหน้า… มันคือสบู่ที่นางซื้อมาจากงานแสดงสินค้าในเมืองหลายวันก่อน พลันจิตวิญญาณนางกลับตระหนักถึงอะไรบางอย่าง… นางมีความสามารถในการทำสบู่น้ำมันหอมระเหยได้ ! มันจะต้องช่วยสร้างรายได้ให้กับนางแน่ !
ฟางฮั่นตื่นเต้นกับความคิดของตัวเองมากจนแทบจะคว่ำอ่างล้างหน้าด้วยความดีใจ
สบู่ทำมือ ! ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ !
มันทั้งง่ายและเต็มไปด้วยประโยชน์ !
ฟางฮั่นเดินวนรอบบ้านอยู่สามรอบ จากนั้นนางตัดสินใจที่จะทำมันในทันที
ในยุคโบราณนี้การจะสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ย่อมทำได้ยากยิ่ง ฟางฮั่นจึงคิดที่จะใช้มือของตนเองทำสบู่ง่าย ๆ ขึ้นมา หลักการวิทยาศาสตร์และเครื่องมือต่าง ๆ อาจจะต้องลดความสำคัญลง มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีเครื่องไม้เครื่องมือสะดวกครบครันเหมือนศตวรรษที่ 21
ถึงอย่างไรถ้าเปรียบเทียบสบู่ของนางกับสิ่งที่ใช้กันในยุคนี้ เรียกได้ว่าพวกมันต่างกันราวฟ้ากับเหว
ในหมู่บ้านฟางเจียที่ล้าหลังแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะใช้ได้เลยแม้แต่น้อย ฟางฮั่นรู้สึกแทบจะรอไม่ได้อีกแล้ว นางต้องการจะออกไปซื้อวัสดุต่าง ๆ เพื่อลงมือทำสิ่งที่มุ่งหวังไว้ให้สำเร็จเร็วที่สุด
ขณะฟางฮั่นกำลังจะออกจากบ้าน ทั้งฟางฉือและหมิงหวยต่างก็พากันเดินตามนางอย่างใกล้ชิดด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า ดวงตาเล็ก ๆ กำลังร่ำร้องเพื่อที่จะบอกพี่สาวของพวกเขาว่า “พาข้าไปด้วย พาข้าไปเถอะนะ”
ฟางฮั่นกำลังถูกกดดันจากดวงตาน้อย ๆ พวกนั้นอย่างคร่ำเครียด นางพยายามคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้… ตอนนี้กำลังจะเข้าสู่เทศกาลปีใหม่แล้ว นอกเหนือจากวัสดุ วัตถุดิบต่าง ๆ ที่นางต้องซื้อเพื่อนำกลับมาทำสบู่ ยังมีสิ่งของอีกหลายอย่างสำหรับปีใหม่ด้วยเช่นกัน มันไม่สะดวกเลยที่จะซื้อของมากมายและพาเด็กเล็กทั้งสองคนไปด้วย เพราะในเขตเมืองมีคนจำนวนมากออกมาซื้อของ มันย่อมไม่ดีแน่ถ้าหากเด็ก ๆ พลัดหลงกับนาง
ฟางฮั่นค่อย ๆ นึกหาวิธี ฉับพลันนางหยิบเสื้อผ้าเก่าออกมาและใช้กรรไกรตัดมันให้เป็นเส้นยาว ๆ รูปลักษณ์ของมันคล้ายกับเชือกกันเด็กหายในยุคสมัยใหม่ มันถูกเย็บขึ้นอย่างง่าย ๆ และหมิงหวยนั้นมีผ้าโพกหัวนิดหน่อยพร้อมด้วยกระเป๋าใบเล็ก ๆ จากนั้นผ้าทั้งหมดถูกเย็บเข้าด้วยกัน มันเชื่อมโยงทั้งสามคนเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ส่วนกระเป๋านั้นเอาไว้เพื่อให้พวกเขาใส่ของกินและสามารถหยิบจับได้อย่างสะดวกสบายขณะที่เดินอยู่บนท้องถนน
ฟางหมิงหวยและฟางฉือเชื่อฟังพี่สาวของตนอย่างมาก ทุกสิ่งถูกทำขึ้นอย่างรัดกุมและฟางฮั่นก็จับมือพวกเขาไว้แน่น
ใบหน้าของฟางฉือแดงเรื่อขึ้นมาพร้อมกล่าวอย่างเขินอาย “พี่ใหญ่… ข้ารู้สึกอายนิดหน่อย”
ฟางฮั่นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่เลย ไม่ต้องอายเลย เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีผู้คนพยายามลักพาตัวเด็กมากมาย ยิ่งเด็กผู้หญิงอย่างพวกเราแล้ว ยิ่งสุ่มเสี่ยงอย่างมาก การใส่ชุดนี้ไว้มันจะช่วยป้องกันการพลัดหลงและพวกเจ้าจะไม่ถูกจับตัวไป”
ฟางฉือนั้นเป็นเด็กหญิงที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีโดยฟางฮั่น ทุกวันนี้ร่างกายของนางเริ่มดูดีขึ้นและในไม่ช้านางจะน่ารักอย่างมาก ดวงตากลมโตของนางนั้นดึงดูดใครหลายคนได้อย่างไม่ยากเย็นด้วย ริมฝีปากเล็กเรียวสีชมพูอ่อนทำให้ฟางฮั่นอดไม่ได้ที่จะเอ็นดูในความน่ารักของน้องสาวตนเอง
ส่วนฟางหมิงหวยนั้นก็เป็นเด็กชายที่คอยชื่นชมพี่สาวทั้งสองอยู่เสมอ
บางครั้งฟางฮั่นนั้นคิดว่าตนเองอาจจะรักน้องทั้งสองมากเกินไปด้วยซ้ำ…
ฟางฉือหัวเราะอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่จะจับมือฟางหมิงหวยเอาไว้ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะยอมเชื่อฟังพี่ใหญ่ น้องชายของข้าก็น่ารักมากเช่นกัน ข้าคงไม่ยอมให้เขาถูกใครพาตัวไปได้แน่”
ฟางหมิงหวยที่กำลังถูกจับจ้องโดยพี่สาวทั้งสองคน เขารู้สึกฮึกเหิมและกล่าวออกมาอย่างกล้าหาญว่า “แม้ว่าข้าจะตัวเล็ก แต่ข้าก็จะปกป้องพี่สาวทั้งสองคนให้ได้ ! ”
ฟางฮั่นหัวเราะก่อนที่จะกอดทั้งสองคนไว้อย่างอบอุ่น ก่อนออกเดินทางนางกินยาแก้เมารถอีกครั้ง จากนั้นก็คว้าเอาเชือกกันเด็กหายและพาน้องทั้งสองออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถม้า !