ตอนที่ 23 อนาคตอันหอมหวาน
ชีเทียนเหว่ยเหลือบมองผู้พิพากษาอย่างเย็นชาอีกครั้ง “มันชัดเจนมาก ยังไม่รีบตัดสินอีกเหรอ?”
เหงื่อเย็นหลั่งออกมาบนหน้าผากของผู้พิพากษา เขาทุบค้อนด้วยความเร่งรีบพร้อมตะโกนขึ้นว่า “เนื่องจากทุกสิ่งเกิดจากความเข้าใจผิด ทุกคนในนี้ได้รับการปล่อยตัว แต่ผู้อาวุโสฟางเถียนนั้นไร้ความเมตตา ข้าจึงขอสั่งมิให้เจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของหลานทั้งสามคนอีกเด็ดขาด เจ้าจะยอมรับคำสั่งนี้หรือไม่ ? ”
ฟางเถียนราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เนื่องจากความกลัวกำลังเกาะกินหัวใจของนาง หลังจากที่ลังเลสักครู่ นางก็ก้มหน้าลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
ผู้พิพากษายังคงตัดสินต่อไป “ส่วนหมอผีอย่างเจ้าแสร้งทำเป็นร่างทรงหลอกชาวบ้าน จงหยุดการกระทำไว้แต่เพียงเท่านี้ ถ้าหากในอนาคตมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก เจ้าจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง จะยอมรับคำสั่งนี้หรือไม่ ? ”
แม่หมอพยักหน้าอย่างเร่งรีบพร้อมกล่าวอย่างดีใจ “ข้าจะไม่ทำมันอีกแล้ว รับประกันได้เลย ขอขอบคุณใต้เท้าอย่างยิ่ง ! ”
ผู้พิพากษาพยักหน้าอย่างพอใจพร้อมกับหันไปหาฟางฮั่นอีกครั้ง เขาตระหนักได้ว่านางอาจจะเป็นคนของขุนนางที่ไหนสักแห่งจึงพยายามสุภาพกับนางโดยไม่รู้ตัว “เด็กน้อย เจ้าสบายใจแล้วหรือยัง ? ”
ฟางฮั่นไม่ต้องการให้เรื่องราวยุ่งยากไปมากกว่านี้ ถึงอย่างไรฟางเถียนก็ยังเป็นย่าโดยสายเลือดของนางอยู่ ตอนนี้พวกนางทั้งสามได้แยกบ้านออกมาอยู่ด้านนอกแล้วก็จริง แต่ไม่อาจจะตัดสัมพันธ์นี้ออกไปได้ ตอนนี้ความสุขกำลังถาโถมหัวใจของนางและนางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับมันด้วยซ้ำ แน่นอนว่าแรงกดดันจากผู้พิพากษาย่อมทำให้ฟางเถียนเลิกยุ่งกับพวกนางได้อีกนาน นางจึงตอบกลับอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะนึกได้ “เด็กหญิงผู้ต่ำต้อยไม่รู้จะขอบคุณท่านอย่างไร”
ผู้พิพากษายิ้มพร้อมพยักหน้า คดีทั้งหมดจบลงไปแล้ว สายตาของเขาเหลือบมองชีเทียนเหว่ยพร้อมสายตาที่อ่อนลง “ทั้งสองท่านคิดว่า....”
ชีเทียนเหว่ยพยักหน้าให้ผู้พิพากษาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เด็กน้อยเดินเข้าไปจับมือของฟางฮั่นเอาไว้พร้อมกล่าวอย่างหนักแน่น “เสี่ยวฮั่น… พรุ่งนี้ข้าต้องกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว แต่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะรังแกเจ้าได้อีก ถ้าหากต้องเผชิญกับเรื่องราวเหล่านี้ เจ้าสามารถวิ่งมาบอกกล่าวกับผู้พิพากษาได้โดยตรง ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องดูแลเจ้าอย่างเป็นธรรมแน่นอน”
ผู้พิพากษาเมื่อได้ยินเช่นนั้นกลับพยักหน้ารับอย่างประหลาด เหงื่อเย็นหลั่งออกมาเต็มแผ่นหลังอย่างช่วยไม่ได้ หัวใจเขาสั่นสะท้านเมื่อได้ยินเด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวว่าจะกลับไปที่เมืองหลวง
ฟางฮั่นหลุบสายตาลงมองมือเรียวของนางกำลังถูกกุมไว้โดยพลการ
เด็กหนุ่มคนนี้สามารถเรียนรู้ที่จะปกป้องหญิงสาวทั้งที่ตัวเองยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่…
ช่างมันเถอะ ข้ายอมให้เขาจับสักพักก็ได้ ถือว่าตอบแทนที่เขาช่วยข้าไว้
ส่วนชีเทียนเหว่ยนั้นรู้สึกผูกพันธ์กับเด็กหญิงตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เขาเม้มปากอย่างไม่เต็มใจกับสถานการณ์มากนัก ทุกครั้งที่เขาได้พบกับเด็กหญิงคนนี้ ความรู้สึกแปลกประหลาดมักจะเกาะกุมหัวใจเขาอยู่เสมอ หรือมันเป็นเพราะว่านางดูดีในสายตาของเขากันนะ ?
ชีเทียนเหว่ยมองที่ฟางฮั่นเป็นเวลานานและฟางฮั่นก็จับจ้องที่เขาด้วยเช่นกัน
นางมองชีเทียนเหว่ยอย่างพิจารณาและพบว่าเขาก็คงจะอายุไล่เลี่ยกันกับนาง แม้จะไม่ได้รู้สึกชื่นชอบอะไรแต่ก็ต้องบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดูดีพอสมควร
ดวงตาของเด็กหนุ่มสั่นไหวเล็กน้อย…
ท้ายที่สุดมันก็คงเป็นเพียงอารมณ์ของเด็กที่ต้องการจะจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ตามที่เขาพอใจ ผู้มีศักดิ์เป็นอาของชีเทียนเหว่ยโบกมือราวกับกำลังจะบอกเขาว่ามันถึงเวลาแล้ว เขาต้องยอมรับความจริงว่ามันถึงเวลากลับบ้านเสียที
ผู้พิพากษาลังเลก่อนที่จะกล่าวออกมาสั้น ๆ “ท่านทั้งสอง…”
หลังจากจัดการปัญหาทั้งหมดเสร็จสิ้น เขามีความคิดที่จะผูกสัมพันธ์กับทั้งสองเอาไว้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเรียกชื่อของพวกเขาอย่างไรดี… เพราะเขาไม่รู้จักสองคนนี้เลย !
ชายหนุ่มสูงโปร่งผู้ไม่แยแสกับสิ่งใดเดินตามชีเทียนเหว่ยออกไปอย่างเย็นชา ทหารอารักขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับส่งสายตาไปที่ผู้พิพากษาอย่างมาดหมาย อีกฝ่ายขาอ่อนและคุกเข่าลงกับพื้นทันที ลำคอของเขาตีบตันราวกับต้องการจะกรีดร้องบางอย่างออกมา ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่นเทาและเขาคุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างอ่อนแรง
ฟางฮั่นแอบคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นอาจจะเป็นผู้มีอิทธิพลหรือเป็นเพียงลูกหลานของคนรวยเท่านั้น แต่เมื่อมองท่าทีของผู้พิพากษาแล้ว ดูเหมือนว่าสถานะของเขาจะยิ่งใหญ่มากกว่านั้นหลายเท่า…
ฟางฮั่นหยุดความคิดเอาไว้และไม่กล้าที่จะคิดเรื่องนี้อีกต่อไปเพราะกลัวว่ามันจะเกินเหตุไปมากกว่านี้
ฟางฮั่นเตือนสติตัวเองภายในใจ เรามันแค่เด็กหญิงชาวนาไม่มีอะไรเลยที่จะเกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูงพวกนั้น ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ! อยู่เฉย ๆ ไว้เถอะ ! อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ! อย่าคาดหวังว่าจะวิ่งกอดต้นขาของใครเพื่อเอาชีวิตรอด ! ในสักวันก็คงจะโดนเขี่ยทิ้งไปอยู่ดี !
ฟางฮั่นที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาอย่างยินดี หลังจากที่ผู้พิพากษาฟื้นคืนสติกลับมาได้แล้ว นางจึงลุกขึ้นยืน สวมใส่เสื้อคลุมเก่า ๆ พร้อมกับหยิบข้าวของที่กระจายอยู่บนพื้นอย่างเร่งรีบ
เจ้าหน้าที่ปลดกุญแจมือจากอาวุโสทั้งสาม ฟางเถียนแก่มากแล้ว การลุกยืนหลังจากคุกเข่ามานานเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับนางอย่างยิ่ง ส่วนฟางฉางอิงนั้นต้องใช้เวลาสักครู่หนึ่งเช่นกัน ขาของเขาสั่นเทาเล็กน้อยพร้อมกับสายตาที่ต้องการจะฉีกฟางฮั่นออกเป็นชิ้น ๆ แต่ความกลัวไม่อนุญาตให้เขาได้กระทำตัวดั่งใจนึกได้
ผู้พิพากษายิ้มอย่างอบอุ่นให้กับฟางฮั่น “ข้ามีลูกชายอยู่ 3 คน แต่ภรรยาของข้าอยากที่จะมีลูกสาวเสมอ เป็นเรื่องที่ยากเย็นนักที่ข้าได้พบเจอกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เช่นเจ้าในวันนี้ รู้สึกว่าโชคชะตาของเราคงจะสมพงษ์กัน ในอนาคตเจ้าจะต้องมีอนาคตที่ยอดเยี่ยมแน่นอน อีกอย่างเจ้าสามารถไปเยี่ยมเยียนข้าที่บ้านได้ ถ้าหากติดปัญหาเรื่องการเรียนหรือปัญหาใด ๆ ข้าและภรรยาอาจจะช่วยเหลือเจ้าได้ไม่มากก็น้อย อ้อ มายืมหนังสือที่บ้านข้าก็ได้นะ ถ้าเจ้าอยากอ่าน”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้พิพากษาซึ่งมาส่งนางถึงประตูเช่นนี้ ทำให้ฟางฮั่นรู้สึกลังเลขึ้นมา
นางรู้ถึงสถานะของตนเองดี ในยุคปัจจุบันที่นางจากมา ความสัมพันธ์เช่นนี้นั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีผลประโยชน์ต่อกัน บางทีในสายตาของผู้พิพากษาคนนี้ นางอาจจะดูคล้ายกับเพื่อนสนิทของเด็กชายคนนั้น เขาหวังว่าสักวันหนึ่งคงจะได้ประโยชน์จากการผูกมิตรกับฟางฮั่น ดังนั้นเขาจึงยอมที่จะให้ฟางฮั่นยืมหนังสือ ถ้าหากนางรับไว้ นั่นเท่ากับว่านางยินยอมให้เขาตักตวงผลประโยชน์จากนาง
สำหรับฟางฮั่นแล้ว นางไม่สามารถจะให้ประโยชน์อะไรกับเขาได้เลย บุคคลนี้ไม่ควรจะมีความสัมพันธ์ใดด้วย สุดท้ายแล้วนางก็คงจะไม่ใช่คนที่เด็กชายโปรดปราณอีกต่อไปในสักวัน…
ผู้พิพากษาถึงกับสับสนเมื่อเห็นเด็กหญิงตัวเล็กคิดไตร่ตรองนานเหลือเกินกับข้อเสนอนี้ เขาคิดว่านางคงจะมีอะไรอยู่ภายในใจ หัวใจนั้นคงแข็งแกร่งมากกว่าที่จะถูกเอาชนะได้โดยง่ายดาย ใบหน้าของนางสงบและไม่ได้ต้องการชื่อเสียงหรือโชคลาภแต่อย่างใด เช่นนี้เขาจึงหัวเราะออกมาพร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันทีเพื่อแก้เขิน
ฟางฮั่นถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ฟางฮั่นกลับมาที่หมู่บ้านของตนเองด้วยรถม้าของทางการ ถ้าหากว่านางปฏิเสธน้ำใจของผู้พิพากษาซ้ำ ๆ นั้นมันก็คงจะดูท้าทายเกินไป นางจำเป็นต้องรับความหวังดีของเขาเอาไว้บ้าง ฟางฮั่นขอบคุณเขาซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบและยอมรับในความใจดีของเขาอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับรถม้าที่นางนั่งก่อนหน้านี้นั้น รถม้านี้ดีกว่าหลายเท่านัก มันไม่ค่อยโยกไปมาและนางค่อนข้างสบายตัวกว่า อีกทั้งก่อนหน้านี้นางได้กินยาแก้อาการเมารถไปแล้ว จึงไม่มีอาการเวียนหัวมากวนใจอีกต่อไป
รถม้าที่หรูหราและเต็มไปด้วยความสะดวกสบายถูกพบเห็นโดยคนในหมู่บ้านอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ค่อยมีใครได้เห็นมันมากนัก เมื่อมันมาสู่หมู่บ้านเก่าแก่ฟางเจียแห่งนี้จึงดึงดูดสายตาของชาวบ้านจำนวนมาก
รถม้าหยุดลงที่หน้าบ้านของตระกูลฟาง การคาดเดาของชาวบ้านแทบจะล่มสลายทันที !
ม่านประตูถูกเปิดออก ฟางฮั่นซึ่งอยู่ในรถหอบของพะรุงพะรังออกมาพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กับคนขับรถม้า “ขอบคุณพี่ชายมากที่มาส่งข้า”
ชายหนุ่มขับรถม้านั้นมีความอ่อนโยนต่อเด็กหญิงอยู่เป็นทุนเดิม เขาเอื้อมมือไปลูบหัวของฟางฮั่นอย่างเอ็นดูพร้อมตวัดแส้เพื่อบังคับให้ม้าเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ชาวบ้านเห็นว่าคนที่ออกจากรถม้ามานั้นมีอาและย่าของฟางฮั่น พวกเขาเริ่มจับกลุ่มนินทาอย่างออกรส มีบางคนที่ทนไม่ได้ถึงกับเดินมาถามฟางฮั่นโดยตรง “เสี่ยวฮั่น… เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
ฟางฮั่นไม่ต้องการที่จะพูดอะไรมากนัก นางกล่าวตอบ “ไม่มีอะไรหรอก เรื่องมันจบแล้วน่ะ”
หลังจากนั้นนางเดินเข้าประตูลาน
นางรู้ดีถ้าหากว่าบอกเล่าออกไป เรื่องเหล่านี้จะแพร่กระจายไปทุกหนแห่งราวกับไฟลามทุ่ง
ฟางฉือเป็นคนบอกตำแหน่งของพี่สาวตนให้กับฟางเถียนรู้ นางกังวลใจอย่างมากและนั่งรอให้ฟางฮั่นกลับมาปลอดภัย
เมื่อเห็นพี่สาวกลับมาถึงบ้าน นางจึงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว “พี่ใหญ่ ท่านย่าเข้าเมืองเพื่อไปตามหาท่าน ! ”
ฟางหมิงหวยวิ่งตามมาติด ๆ จนเกือบจะสะดุดขาของตัวเองล้ม
“เฮ้ ช้าลงหน่อย ข้าไม่เป็นอะไรเลย” ฟางฮั่นปล่อยมือที่จับฟางหมิงหวยและฟางฉือเอาไว้พร้อมหยิบลูกอม 2 ชิ้นออกจากห่อน้ำตาล จากนั้นนางยัดมันใส่ปากของทั้งสองอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของสองพี่น้องเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก แต่มือจับขนมเอาไว้อย่างเหนียวแน่น เสียงของพี่สาวดังขึ้น “กินดี ๆ ล่ะ”
ฟางฮั่นหยิบมันใส่ปากของนางด้วยเช่นกัน อืม… ช่างหวานเหลือเกิน
อีกไม่นาน ชีวิตของทั้งสามจะต้องกลายเป็นเหมือนขนมที่แสนจะหอมหวานแน่นอน และมันจะต้องหวานมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นแน่ !