ตอนที่ 18 ครึ่งผีครึ่งคน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ฟางเถียนที่รู้สึกโกรธจนหายใจไม่สะดวกจำเป็นต้องเก็บงำความเจ็บแค้นทั้งหมดไว้เพียงเพราะหลานชายกล่าวตักเตือนว่าห้ามไปยุ่งกับพวกฟางฮั่นที่เพิ่งแยกตัวออกไปโดยเด็ดขาด นางพยายามและหักห้ามใจอย่างถึงที่สุดที่จะเชื่อฟังคำเตือนของเขา
แต่บางครั้งนางเห็นว่าเด็กผู้หญิงเหม็นสาปคนนั้นวิ่งออกไปที่เขาเทพธิดาและถือหน่อไม้ฝรั่งกลับมาที่บ้าน รสชาติของมันทั้งขมและฝาด มันไม่สามารถกินได้ ความพยายามที่โง่เขลาของเด็กหญิงทำให้หญิงชรารู้สึกไม่สามารถควบคุมความโกรธและความต้องการที่จะดูหมิ่นเอาไว้ได้
ฟางเถียนเริ่มฟุ้งซ่านและคิดหาวิธี
ต่อมาญาติของครอบครัวนางได้มาเยี่ยมเยียนที่บ้านในวันนี้ อีกฝ่ายพูดถึงเรื่องราวแปลกประหลาดในหมู่บ้าน “พี่ใหญ่ พี่จำตาเฒ่าหานที่อาศัยอยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้านได้หรือไม่ ? ”
ฟางเถียนขยับตัวเบา ๆ พร้อมเอ่ยปากอย่างแผ่วเบา “หาน… ตาเฒ่าหานที่เมียตายไปเนิ่นนานหลายสิบปีน่ะเหรอ ? ”
ครอบครัวของฟางเถียนมาจากหมู่บ้านชี่หลี่ฟูซึ่งอยู่ถัดไปจากภูเขา นางแต่งงานกับตระกูลฟางมานานหลายทศวรรษ แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังจำตาเฒ่าหานในหมู่บ้านของตนเองได้
เมื่อครั้งที่ฟางเถียนกำลังจะแต่งงาน ตาเฒ่าหานก็แต่งงานกับภรรยาของเขาด้วยเช่นกัน หลังจากแต่งงานได้ไม่นาน ภรรยาของเขาตายด้วยโรคภัย เขาไม่ยอมรับว่าภรรยาของตนตายไปแล้ว แม้ว่านางจะนอนเป็นศพเหม็นเน่ามานานกว่าสามวัน อีกทั้งยังไม่มีใครได้รับอนุญาตให้แตะต้องร่างกายนั้นอีกด้วย ท้ายที่สุดแม่ของเขาไม่อาจอดทนกับสถานการณ์นี้ต่อไปได้ไหว ชาวบ้านยื้อแย่งพากันเอาร่างกายของเขาออกจากศพและนำศพไปฝัง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฟางเถียนได้ยินเรื่องราวเหล่านี้อยู่บ้างเช่นกันว่าตาเฒ่าหานคนนั้นไม่ยอมแต่งงานใหม่หลังจากที่ภรรยาจากไปแล้วเนิ่นนาน กล่าวกันว่าเขาย้ายกระท่อมของตนเองไปไว้ที่หลุมศพของนางและไม่ยอมห่างไปไหน
ผู้ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้นล้วนแต่ขนานนามว่าเขาคือชายผู้โง่เขลา
ครอบครัวที่ร่ำรวยกลายเป็นไร้ทายาทสืบสกุล พ่อแม่ที่แก่เฒ่าลงทุกวันกลับถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดาย ทั้งหมดมีชีวิตที่น่าสงสารและน่าสังเวช ไร้ทายาทและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับทรัพย์สมบัติที่มีอยู่
ญาติของฟางเถียนตบหน้าขาฉาดใหญ่พร้อมกล่าวว่า “ใช่แล้ว เขานั่นแหละ ! ลองเดาสิว่าปีนี้เขาทำอะไร ! เฮอะ เขาไปคว้าหญิงสาวในป่ากลับมาแต่งงานด้วย ! ”
ฟางเถียนเริ่มเอียงคอเล็กน้อยอย่างสนใจ “ในที่สุดคนโง่นั่นก็เริ่มที่จะเปิดใจดูบ้างสินะ”
ญาติของนางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อฟางเถียนให้ความสนใจที่จะซุบซิบด้วยกัน นางขยับเข้ามาใกล้พร้อมกล่าวอย่างลึกลับ “มันก็ไม่แปลกหรอกถ้าเขาอยากจะแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่มันแปลกนะถ้าเขาจะแต่งงานกับผี…”
ฟางเถียนตื่นตระหนกพร้อมหลังที่เหยียดตรง นางตะโกนออกมา “ไอ้หย๋า ! กลางวันแสก ๆ อย่าได้พูดจาเพ้อเจ้อ ! ”
อีกฝ่ายรู้สึกอารมณ์เสียทันทีที่ถูกขัดจังหวะ นางรู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบสวนหาความจริง “พี่ใหญ่ ! ข้าไม่ได้พูดมันด้วยตนเอง นี่คือสิ่งที่ตาเฒ่าหานพูดออกมาต่างหาก ทุกครั้งเขามักจะพูดเสมอว่าหญิงสาวคนนั้นคือภรรยาของเขาที่ตายจากไปนานแล้ว นอกจากนี้เขายังพาหญิงสาวคนนั้นกลับไปที่บ้านเกิดของแม่คนที่ตายไป แต่กลับถูกพี่เขยใช้ไม้กวาดไล่ฟาดจนต้องวิ่งออกจากบ้าน ! ”
ฟางเถียนรู้สึกหมดความอดทนพร้อมโบกมืออย่างไม่สนใจ “เขาคงจะป่วยทางจิตจนกลายเป็นบ้าไปแล้วที่เผลอไผลคิดว่าหญิงสาวคนนั้นคือภรรยาที่ตายจากไป”
ญาติของฟางเถียนยังคงกล่าวต่ออย่างไม่ลดละความพยายาม “พี่ใหญ่ฟังข้าก่อน หลังจากที่ถูกขับไล่ออกมา ลุงของนางได้ออกมาเห็นและอุทานอย่างตื่นตระหนกว่านางคล้ายคลึงกับภรรยาของเขาที่ตายจากไปจริง ๆ อีกทั้งเขายังได้ยินตาเฒ่าหานบอกว่ามีนิสัยบางอย่างของนางที่คล้ายหญิงที่ตายจากไป มันจะต้องเป็นภรรยาของเขาอย่างแน่นอน นางคงทนไม่ไหวที่เห็นเขาบอบช้ำอย่างหนักจึงต้องวิ่งกลับมาจากนรก ! ”
ฟางเถียนขนลุกชูชันพร้อมกล่าวต่อ “เจ้ากำลังหมายถึง.... ครึ่งคนครึ่งผีงั้นหรือ ? ”
เมื่อเห็นว่าฟางเถียนเริ่มสนใจ อีกฝ่ายเริ่มหันมาเล่าต่ออย่างออกรส “แล้วมันไม่ใช่หรือ ? ถ้านางไม่ได้กลับชาติมาเกิดอีกครั้งก็คงจะไม่มีวันจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตก่อนหน้าได้หรอก นี่ต้องเป็นภรรยาของเขาอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นตาเฒ่าหานจะยอมรับนางได้อย่างไรกันล่ะ ? แม้ว่าร่างกายจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าจิตใจและวิญญาณของนางกลับเป็นของภรรยาเก่า ! ”
ความวูบไหวเคลื่อนผ่านแววตาของฟางเถียนอย่างอ้ำอึ้ง นางรู้สึกว่าเรื่องราวที่ได้ยินนั้นไม่น่าเชื่ออย่างมาก สมองหยุดนิ่งพร้อมกับปากที่แข็งทื่อจนพูดไม่ออก
เมื่ออีกฝ่ายเห็นท่าทีของนาง ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะเล่า
นางกล่าวต่อไป “ตาเฒ่าหานมีความสุขมากที่ภรรยาของเขากลับมาจากนรก เขาพานางเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้านทุกวันและทักทายกับผู้อื่นที่ได้พบเจอ ลองคิดดูสิว่าหญิงสาวครึ่งคนครึ่งผีมายืนอยู่ตรงหน้าน่ะจะทำให้รู้สึกขนลุกมากแค่ไหน ผู้คนในหมู่บ้านเริ่มรำคาญและมีการประท้วงขับไล่จนหัวหน้าหมู่บ้านต้องออกมาทำอะไรสักอย่าง”
อีกฝ่ายหยุดเล่าเพื่อดึงความสนใจของฟางเถียนให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น นางก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับหันมาพร้อมกับรอยยิ้มลึกลับ “เดาสิว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรต่อ... หัวหน้าหมู่บ้านเชิญแม่หมอจากในเมืองมา จากนั้นเขาเรียกชาวบ้านมาจับหญิงคนนั้นแยกออกจากตาเฒ่าหานและมัดเขาไว้ แม่หมอใช้เลือดสุนัขสีดำหม้อหนึ่งเทรดศีรษะของหญิงสาวอย่างโจ่งแจ้ง หญิงสาวคนนั้นกรีดร้องจนพูดไม่ได้ศัพท์เลยล่ะ”
อีกฝ่ายเริ่มลดเสียงลงพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “มันกรีดร้องอยู่สักพักใหญ่อาจจะเป็นเพราะเลือดสุนัขเป็นสิ่งสกปรกละมั้ง แต่หลังจากนั้นหญิงสาวคนนั้นกลับมาพูดจาปกติและบอกกล่าวกับทุกคนว่านางไม่เคยรู้จักกับตาเฒ่าหานมาก่อนและขอให้พวกเขาปล่อยนางไปซะ”
ฟางเถียนได้ยินเช่นนั้นรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงอย่างสูบฉีดพร้อมกับริมฝีปากแห้งผาก “เจ้ากำลังจะบอกว่าผีร้ายถูกขับไล่ออกไปเพราะเลือดสุนัขสีดำงั้นหรือ ? ”
ฉับพลันนางนึกถึงความรู้สึกแปลก ๆ นี้ขึ้นมา !
นางก็เคยรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน มันมาจากพวกฟางฮั่นนั่นเอง !
ครั้งนั้นฟางฮั่นถูกขับไล่ออกจากบ้านและหลังจากที่นางกลับมา อุปนิสัยทุกสิ่งได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ก่อนหน้านั้นนางทั้งขี้ขลาดและอ่อนแอ นางไม่มีทางที่จะลุกขึ้นมายืนหยัดได้ด้วยมือและเท้าของตนอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้นางกลับกล้าที่จะยืนประจันหน้ากับผู้อาวุโสได้อย่างไร้ความเกรงกลัว อีกทั้งการพูดจาประชดประชันและกล้าที่จะเอาอนาคตของพี่ใหญ่เจียงมาข่มขู่คนในบ้าน ท้ายที่สุดนางก็ได้สิ่งที่สมดั่งใจคือการแยกตัวออกไปอยู่ด้วยตนเองอย่างอิสระ เด็กหญิงที่อ่อนแอและไม่มีความรู้จะกล้าหาญเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ?
ลูกหลานของนางยังถามว่าฟางฮั่นเคยกระทำตัวก้าวร้าวแบบนี้มาก่อนหรือไม่ !
นางจะต้องถูกครอบงำโดยผีสางแน่นอน เพราะทุกสิ่งอย่างนั้นเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ !
เมื่อคิดเช่นนั้นฟางเถียนรู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจแทบจะระเบิดออกมาจากอก
ในหูของนางยังคงก้องกังวาลไปด้วยเสียงของอีกฝ่ายอย่างแจ่มชัด “วิญญาณชั่วร้ายนั้นสกปรกอย่างมาก มันเกรงกลัวเลือดสุนัขสีดำ ตราบใดที่แม่หมอยังคงยินยอมช่วยเหลือ เพียงแค่เลือดหนึ่งหยดก็สามารถขับไล่วิญญาณร้ายนั้นได้แล้ว”
……
ฟางเถียนส่งญาติของนางกลับไปพร้อมกับนึกคิดเรื่องเหล่านั้นวนเวียนอยู่ภายในใจตลอดเวลา ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าฟางฮั่นนั้นเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง ทั้งคำพูดและการกระทำต่าง ๆ นางไม่คล้ายกับเด็กหญิงที่อ่อนแอคนเก่าเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากผีร้ายตัวนั้นออกจากร่างบางนั้นไป นางจะสามารถดุด่ามันได้ตามใจชอบเช่นเดิมและมันจะไม่มีทางที่จะมาขวางกั้นอนาคตอันสดใสของหลานชายสุดที่รักได้ !
ขณะที่นางกำลังคิดเรื่องนี้อย่างหนักหน่วง ความตื่นเต้นทำให้นางต้องการระบายมันออกไปจึงเรียกลูกชายคนที่สามมาหาพร้อมกับเล่าให้เขาฟังอย่างใจร้อน แต่ด้วยความที่ฟางฉางอิงนั้นเป็นคนไม่สนใจเรื่องเช่นนี้ เขากล่าวโต้อย่างไม่ใส่ใจ “ผีสางที่ไหนกันจะมาอยู่ในร่างของผู้หญิงเหม็นสาบคนนั้น ? ข้าว่าแม่คิดมากเกินไปแล้วล่ะ”
ฟางเถียนตบลงที่หลังของลูกชายอย่างรู้สึกรำคาญ “ข้าไม่ได้ต้องการจะขอความเห็นจากเจ้าว่ามันไร้สาระหรือไม่ ข้าจะให้เจ้าไปตามแม่หมอมา ! ”
หลังจากพูดจบนางยื่นเงินให้เขา ฟางฉางอิงเผยรอยยิ้มกว้างพร้อมกับเดินออกไปเพื่อที่จะเข้าเมืองไปพบแม่หมอ
เมื่อลูกชายของเขากลับมาพร้อมกับแม่หมอ ฟางเถียนเดินนำบุตรชายพร้อมกับแม่หมอไปที่บ้านของฟางฮั่น แต่นางกลับพบว่าที่บ้านมีเพียงเด็กน้อย 2 คนอยู่ในนั้น ทั้งฟางฉือและฟางหมิงหวยซึ่งกำลังช่วยกันเลี้ยงไก่อยู่ในเล้า ส่วนฟางฮั่นไม่ได้อยู่บ้านในเวลานี้
ความว่างเปล่าทำให้ฟางเถียนหงุดหงิดอย่างมาก นางตบรั้วเสียงดังพร้อมตะโกนเข้าไปด้านใน “มันตายไปแล้วหรือไง ? ”
ฟางฉือตื่นตระหนกกับเสียงตะคอกนั้น นางออกมายืนบังฟางหมิงหวยเอาไว้อย่างปกป้องพร้อมกับพยายามยืนหยัดให้ดีที่สุดให้เหมือนกับที่พี่ใหญ่เคยทำให้ดูเป็นแบบอย่าง ปากเล็ก ๆ เปล่งเสียงโต้ตอบฟางเถียนอย่างติดขัด “ท่านย่า… ข้าไม่รู้ว่า… ท่านย่ากำลังพูดถึงใคร”
ฟางเถียนคำราม “พี่สาวของแกไง ! ”
ฟางฉือตอบสั้น ๆ “วันนี้พี่ใหญ่เข้าไปในเมือง”
“นังสารเลวนั่นจะไปทำอะไรในเมือง!” ฟางเถียนรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า ยิ่งนางคิดถึงเรื่องของพวกฟางฮั่นมากเท่าไหร่ ความปรองดองใด ๆ ยิ่งลดน้อยลง พวกเขาไม่มีวันที่จะคืนดีกันได้อีกต่อไป ยิ่งคิดยิ่งโมโห นางตะโกนออกมาเสียงดัง “ไปกัน ไปตามหามันในเมือง ! ”