ตอนที่ 13 ไม่ใช่มีแบ่งให้เจ้า
ฟางฮั่นเอาเหรียญอีแปะออกมานับจำนวน 100 เหรียญ ซึ่งมันเป็นเงินที่นางได้รับมาจากครอบครัวก่อนหน้านี้ ทั้งหมดถูกใส่ไว้ในกระเป๋าเงินที่ค่อนข้างเก่าและเต็มไปด้วยรอยเย็บ อ้อมแขนเล็ก ๆ ของนางโอบกอดมันไว้อย่างมั่นคงในขณะที่เดินกลับไปที่บ้านหลังใหญ่
แม้ฟางเถียนจะถูกฟางหมิงเจียงเตือนเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่นางก็ยังไม่ละอายใจกับพฤติกรรมของตนเอง
ฟางฮั่นหยิบเหรียญอีแปะจำนวน 70 เหรียญวางไว้บนโต๊ะ ซึ่งนางนับมันตรงหน้าอาวุโสผู้ไร้ยางอายคนนี้อีกครั้ง ฟางเถียนไม่แม้แต่จะหันมองใบหน้านั้น แต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่เหล่ตาดูว่าหลานสาวตัวดีตุกติกหรือไม่
ฟางหมิงเจียงนั่งอยู่ข้างฟางเถียน สายตาของเขายังคงจับจ้องที่ฟางฮั่นราวกับว่าเด็กน้อยคนนี้ยังเป็นดอกไม้ของเขา
แต่ฟางฮั่นไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับเครือญาติเหล่านี้อีกต่อไป เมื่อนางนับเงินเสร็จสิ้น นางลุกขึ้นและเดินออกมาอย่างไร้เยื่อใย
ฟางหมิงเจียงดึงสายตาของตนเองกลับจากนางอย่างระมัดระวัง เขาเอามือแตะที่โต๊ะพร้อมกับคิดไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถามออกมา “ท่านย่าขอรับ… ฟางฮั่น… หลงลืมมารยาทที่ควรมีต่ออาวุโสแล้วงั้นหรือ ? ”
สามพี่น้องนี้ไม่เคยกระทำตัวอย่างนี้มาก่อน เท่าที่เขารู้จักทั้งสามล้วนแต่ขี้ขลาด ขี้ขลาดและขี้ขลาด !
ฟางฮั่นเปลี่ยนแปลงไปมากจนเขาไม่สามารถตั้งรับได้ทัน
มันมากเกินไป
นอกจากนี้เรื่องการนับเลขของนางยังถือว่ายอดเยี่ยม เขากำลังแปลกใจว่าใครสอนหนังสือให้กับนาง…
สายตาของฟางเถียนเย็นชา “ก็ข้าไม่ได้ไล่นางออกไปสักหน่อย เฮอะ เด็กไม่มีมารยาท ไม่ตอบสนองกับไม้เรียว... ตอนนี้มาทำตัวปีกกล้าขาแข็ง อีกทั้งยังพูดจาผิดเพี้ยนไปจากเดิมราวกับเด็กนิสัยต่ำช้า แต่นางกลับกล้าพูดว่าข้าเป็นคนเฉดหัวนางออกไปจากบ้านงั้นเหรอ... หึ” ฟางเถียนเริ่มบ่นขึ้นมาอย่างมีอารมณ์อีกครั้ง
ฟางหมิงเจียงกำลังอ่านหนังสือแห่งปราชญ์อยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำพูดของผู้เป็นย่า เขาคิดว่าการกระทำที่เปลี่ยนไปของฟางฮั่นนั้นมาจากการถูกบีบบังคับจากสภาพแวดล้อม นางถูกขับไล่ออกจากบ้านในค่ำคืนที่โหดร้าย มันอาจจะไปกระตุ้นให้อารมณ์ของนางผิดแปลกไปอย่างไม่อาจกลับคืน…
ฟางฮั่นไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ใหญ่กำลังสงสัยในตัวของนางอย่างมาก แต่นางก็ไม่ได้คิดจะสนใจเขาอยู่แล้ว นางเดินอุ้มเงินส่วนที่เหลืออีก 30 อีแปะไปที่บ้านของคนขายเนื้อ วันนี้นางต้องการที่จะปรุงเนื้อสัตว์เพื่อบำรุงเด็กทั้งสองสักหน่อย
พลันนางถามถึงราคาของเนื้อสัตว์ ความตกตะลึงโหมกระหน่ำสมองของนางในทันที
อันที่จริงแล้วเนื้อสัตว์ไม่ได้แพงเกินไป แต่มันเป็นเพราะนางจนเกินไปต่างหาก สมาชิกในครอบครัวล้วนแต่ขาดสารอาหารทั้งหมด ทุกคนต้องการอาหารเพื่อบำรุงร่างกาย ฟางฮั่นถอนหายใจอย่างหดหู่พร้อมกับกล่าวพึมพำอย่างช่วยไม่ได้ “ลุง… ข้าขอเนื้อสัก 5 อีแปะ… ไม่สิ เอาสัก 10 อีแปะก็แล้วกัน...”
คนขายเนื้อได้ยินเรื่องราวของฟางฮั่นมาบ้าง แววตาของเขามองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ตรงหน้าสลับกับเนื้อหมูบนเขียง ใบหน้าเผยถึงความเห็นอกเห็นใจเด็กหญิง หลังจากที่เขาหั่นเนื้อหมูชิ้นบางราคา 10 อีแปะเสร็จสิ้นแล้ว มือตวัดไปที่หมูอีกชิ้นพร้อมกับตัดเอามันสีขาวออกมาเป็นแถบยาวยัดใส่ถุงให้นางเสร็จสรรพ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก มันถูกส่งต่อให้ฟางฮั่นทันที
ดวงตาของฟางฮั่นเบิกโพลง “ลุง เอ่อ… ข้ามีเงินแค่ 10 อีแปะ…”
คนขายหมูยัดเนื้อใส่มือของฟางฮั่นพร้อมกล่าวแบบเร่งรีบ “ใช่ ราคาของมันคือ 10 อีแปะ จ่ายเงินมา ! ”
ฟางฮั่นยังคงอารมณ์เสียเนื่องจากครอบครัวที่ชั่วช้าของนางก่อนหน้านี้ คนขายเนื้อจับจ้องใบหน้าของนางอย่างไม่เข้าใจพร้อมกล่าวออกไปว่า “ทำไมหรือ… เนื้อของลุงไม่ดีเหรอ ? ”
คนขายเนื้อนั้นฆ่าหมูมาแทบจะตลอดครึ่งชีวิตของเขา บรรยากาศที่บ้านล้วนแต่เต็มไปด้วยเลือดของสัตว์ เด็ก ๆ ในหมู่บ้านทุกคนล้วนเกรงกลัวเขามาก เมื่อไหร่ที่ได้พบ พวกเขาจะวิ่งหนีหายไปคนละทิศละทางและบ่อยครั้งที่เด็ก ๆ จะร้ายกาจและคิดต่อสู้กับเขาด้วยเช่นกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาสนใจอะไรมากนัก คราวนี้เขาก็ไม่ได้คาดหวังเช่นกันว่าเด็กหญิงตรงหน้าจะพึงพอใจกับการกระทำของตน ทว่านอกจากเด็กหญิงคนนี้จะไม่หวาดกลัวเขาดั่งเช่นเด็กคนอื่น ๆ นางยังเผยรอยยิ้มอ่อนหวานพร้อมดวงตาสดใสและกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณท่านลุงมาก เนื้อของลุงยอดเยี่ยมที่สุดเลย ! ”
เนื้อเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยประโยชน์
ขณะที่ฟางฮั่นกำลังจะหันหลังออกไป สายตานางพลันเหลือบไปเห็นกระดูกชิ้นใหญ่ที่ขาวสะอาดตั้งเรียงรายอยู่บนแคร่ขนาดใหญ่
ดวงตาของนางพลันสว่างสดใสยิ่งกว่าที่เคย “ลุง ! ข้าขอซื้อกระดูกนั่นอีก 10 อีแปะ ! ”
กระดูกใหญ่นั่นไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์ ส่วนใหญ่คนในหมู่บ้านจะซื้อมันเพื่อเอาไปเลี้ยงสุนัข คนขายเนื้อโบกมืออย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับต้องการให้มันกับนางโดยไม่คิดเงิน แต่ฟางฮั่นกลับไม่ยอมแพ้ นางไม่ต้องการจะเอาเปรียบเขาอีกต่อไป ใบหน้าของเด็กหญิงเต็มไปด้วยความหนักแน่นจนคนขายเนื้อรู้สึกรำคาญและต้องยินยอมขายกระดูกใหญ่ 2 ชิ้นให้กับนางในราคา 10 อีแปะ
ฟางฮั่นกำลังมีความสุขอย่างมาก นางกล่าวลาคนขายเนื้อและเดินกลับบ้านพร้อมด้วยกระดูกใหญ่สองชิ้นในมือ
คนขายเนื้อเช็ดมือของตนกับผ้ากันเปื้อนพร้อมกับจับจ้องเด็กหญิงที่กำลังเดินจากไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ขณะนั้นเด็กหญิงตัวอ้วนวิ่งออกมาจากด้านใน นางมองออกไปด้านนอกอย่างค้นหาอะไรบางอย่างพร้อมกับหันมากล่าวกับพ่อของตน “พ่อ… ดูเหมือนเมื่อกี้ข้าจะได้ยินเสียงเด็กหญิงตระกูลฟางที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นไปทั่วหมู่บ้าน”
คนขายเนื้อมองหน้าของบุตรสาวตัวเองที่กลมเนียนอย่างอ่อนโยนพร้อมกล่าวออกไป “นางเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เอง...นี่ ต้ายา เจ้าไม่อยากจะเล่นกับนางบ้างเหรอ พ่ออนุญาตนะ”
เด็กหญิงตัวน้อยราวกับถูกราดด้วยเปลวไฟ นางโพลงออกมาอย่างดุเดือด “เฮอะ เด็กผู้หญิงน่ากลัวคนนั้นน่ะเหรอ! ข้าจะไม่มีวันเล่นกับนาง ! ”
นางพลันนึกภาพเวลาที่เฉิงเจิ้งไค๋เห็นหน้าของฟางฮั่น ดวงตาของเขาจับจ้องที่นางตลอดเวลาอย่างไม่สามารถละทิ้งได้แม้สักวินาที เช่นนี้นางจึงไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวกับมารหัวใจของตน !
ต้ายาเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้งอย่างไม่สนใจ
……
ฟางฮั่นกลับมาถึงบ้านพร้อมด้วยเนื้อและกระดูก ส่วนเด็กทั้งสองยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างเงียบเชียบ นางจึงเดินไปหยิบผักป่าที่เก็บมาจากภูเขาพร้อมกับมุ่งสู่ห้องครัว
ตระกูลฟางมักจะทำอาหารดี ๆ เมื่อฟางหมิงเจียงกลับมาที่บ้าน เสี่ยวเถียนขอหยิบยืมสิ่งของจากเพื่อนบ้านมากมายเพื่อนำมาประกอบอาหาร นางกำลังง่วนอยู่ในครัวอย่างขะมักเขม้น ฉับพลันฟางฮั่นเดินเข้ามาทำให้ร่างกายของนางแข็งทื่อและนึกขึ้นได้ว่าเด็กหญิงก็ใช้ครัวนี้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามฟางฮั่นไม่ได้สนใจนางเลยแม้แต่น้อย นางเพียงกล่าวทักทายแล้วเดินไปที่เตาซึ่งไม่มีคนใช้งาน พร้อมหยิบหม้อเหล็กตั้งวางบนนั้นอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเถียนรู้สึกละอายใจอย่างมากจึงรีบถามไถ่ออกไปพร้อมกับสีหน้าที่กังวล “ฟางฮั่น เจ้าจะทำอะไรงั้นหรือ ? ”
ฉับพลันดวงตาของนางก็เหลือบไปเห็นผักป่าและกระดูกชิ้นใหญ่
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วหันกลับมามองหม้อของตนเองที่กำลังตุ๋นเนื้อกระต่ายชิ้นใหญ่ก็ทำให้นางรู้สึกอยู่เหนือกว่าทันที
ผักป่านั้นเอาไว้เลี้ยงหมู ส่วนกระดูกนั้นเอาไว้เลี้ยงสุนัข
เด็กหญิงที่หยิ่งทนงและเดินออกจากตระกูลไปสามารถหากินได้เพียงเท่านี้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว
เสี่ยวเถียนรู้สึกโล่งอกอย่างมากพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ฟางฮั่นไม่รู้ว่าเสี่ยวเถียนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ถึงแม้ว่านางจะรู้… นางก็คงจะไม่ได้สนใจกับคนเช่นนี้
ผักป่าและกระดูกเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยโภชนาการ
โดยเฉพาะผักป่าเหล่านี้นั้นถูกขุดขึ้นมาจากธรรมชาติ มันไร้สารพิษใด ๆ และมีราคาแพงมากในโลกก่อนหน้านี้ของนาง !
ฟางฮั่นรวบรวมชิ้นส่วนของมันที่คนขายเนื้อแถมให้ นางจัดการเจียวน้ำมันหมูขึ้นมาเพื่อให้อาหารมีกลิ่นหอม
นางจับมีดอย่างรวดเร็วพร้อมกับสับผักป่าและเนื้อให้คลุกเคล้ากัน จากนั้นใส่เนื้อที่ติดมันลงไปนิดหน่อยแล้วเติมเกลือ
ในยุคนี้ยังไม่มีวัตถุอย่างเช่นหอมใหญ่ พริกไทยหรืออบเชย แต่นางก็ไม่ได้สนใจอะไรนักพร้อมกับเติมน้ำลงในหม้อเหล็กและเริ่มเคี่ยวกระดูกทันที
เสี่ยวเถียนมองไปที่ฟางฮั่นซึ่งยืนอยู่เตาถัดไป จากนั้นนางเปิดหม้อเนื้อกระต่ายตุ๋นขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับทำท่าสูดลมหายใจลึก ๆ “โอ้ ฟางฮั่นกลิ่นของมันยอดเยี่ยมเลยนะว่าไหม… เจ้าไม่อยากจะลองชิมสักหน่อยหรือ ? ”
ฟางฮั่นเหลือบมองไปที่หม้อใบนั้นพร้อมกับรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก ความหิวกำลังเล่นงานนาง
หึ เนื้อกระต่ายคืออะไรกัน ! เมื่อนางสามารถหาเงินได้ นางจะซื้อมันเพื่อเลี้ยงมันไว้ดูเล่นด้วย !
กระต่ายน่ารักมากในสายตาของนาง การกินเนื้อกระต่ายคือเรื่องที่แปลกประหลาดเกินไป
ฟางฮั่นจงใจที่จะมองเนื้อตุ๋นในหม้อนั้นด้วยอคติ นางไม่ต้องการจะตกเป็นเหยื่อของกลิ่นหอมนั่นจนเสียอาการ
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะทำอะไรฟางฮั่นได้ เสี่ยวเถียนกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “อ่า นี่เป็นสิ่งที่ท่านย่าของเจ้าซื้อมันมาเพื่อพี่ชายใหญ่โดยเฉพาะ… น้าคนนี้ก็สงสารเจ้าอยู่เช่นกันที่ต้องกินแต่ผักป่าเช่นนั้น ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถจะแบ่งปันมันให้ได้ ได้โปรดอย่าได้ตำหนิน้าเลยนะ”
หลังจากกล่าวจบ เสี่ยวเถียนถือหม้อกระต่ายตุ๋นขนาดใหญ่ออกไปพร้อมรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
ฟางฮั่นอดไม่ได้ที่จะเบะปากอย่างรู้สึกไม่พอใจ