ตอนที่ 11 คุกเข่าสำนึกผิด
เพิ่งผ่านพ้นช่วงที่หิมะตกมาได้ไม่นานนัก ถนนทุกสายเต็มไปด้วยหิมะที่เกลื่อนกลาด ความจริงแล้วตอนนี้มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นักที่จะเดินขึ้นไปบนภูเขาแห่งนั้น
แต่ฟางฮั่นคิดวิธีการหาเงินมาสักพักแล้วและคำตอบก็คือนางจำเป็นจะต้องขึ้นไปที่ภูเขาเพื่อลองสักตั้ง ขาสองข้างก้าวเดินไปตามความทรงจำที่หลงเหลือเอาไว้ให้ นางเดินลึกเข้าไปในป่ามากขึ้นเรื่อย ๆ ต้นไม้มากมายโอบล้อมร่างกายเอาไว้พร้อมกับมีหิมะร่วงหล่นบ้างในคราวที่ลมพัดผ่าน
กิ่งไม้ที่หักร่วงลงมาจนทำให้นางตื่นตระหนกและแทบจะได้รับบาดเจ็บนั้นไม่ได้ทำให้นางย่อท้อ หญิงสาวจัดการเอากิ่งไม้ที่แข็งแรงสักหน่อยมาใช้แทนไม้เท้าเพื่อค้ำยันร่างกายให้เดินได้สะดวกยิ่งขึ้น
นางยังคงเดินลัดเลาะต่อไปเรื่อย ๆ พร้อมกับปีนขึ้นผา เดินผ่านถนนมากมายหลายเส้น จนในที่สุดทิวทัศน์ตรงหน้าก็เด่นชัดขึ้นมา
ในอดีตฟางฉางเกิ่งเคยพาฟางฮั่นออกมาเที่ยวเล่นที่ภูเขาแห่งนี้ด้วยเช่นกันเป็นประจำ
ลูกพลัมสีแดงขนาดใหญ่ช่างตระการตาปรากฏอยู่ตรงหน้าของสาวน้อย หิมะขาวโพลนเด่นชัดอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับป่าต้นพลัมสีแดงสด นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรอีกมากมายที่ฟางฮั่นรู้จักเป็นอย่างดี มันถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังปรากฏกิ่งก้านใบสีเขียวสลับแดงออกมาให้เห็นบ้าง
ฟางฮั่นเคยอาศัยอยู่กับปู่ย่าตายายของนางเมื่อครั้งยังเด็ก นางต้องขึ้นภูเขาไปพร้อมกับพวกเขาและนั่นไม่ใช่สิ่งที่นางชอบสักเท่าไหร่นัก แต่หลังจากที่ตามปู่ของตัวเองขึ้นไปที่นั่นทุกวัน นางจึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับสมุนไพรมากมายและพวกมันล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น
ดวงตาของฟางฮั่นกำลังลุกโชนขึ้นมาอย่างเจิดจรัส !
เงิน… เงินและเงิน ตรงหน้านี้คือเงินทั้งนั้นเลย !
ฟางฮั่นแทบจะอดใจไม่ไหวพุ่งตัวเข้าไปเด็ดพวกมันมาให้หมด
ลมหายใจของสาวน้อยหนักหน่วงเมื่อต้องพยายาม แขนขาเล็ก ๆ ของนางนั้นไม่สามารถเก็บลูกพลัมที่อยู่สูงได้เลย นางทำได้เพียงดึงมันจากกิ่งที่เตี้ย ๆ เท่านั้น ไม่ก็เก็บลูกที่ยังพอผิวสวยที่ตกอยู่บนพื้นและจัดวางมันลงในตะกร้าอย่างระมัดระวัง
ลูกพลัมป่านี้ไม่เพียงแต่ดูสวยดีเท่านั้น มันสามารถนำไปชงชาและนำไปอบแห้งเพื่อต่อยอดใช้เป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย
ฟางฮั่นใช้เวลานานพอสมควรในการเก็บลูกพลัมสีแดง สมุนไพรจำนวนมากปรากฏต่อสายตาของนางตามที่นางได้คิดไว้ อุณหภูมิและภูมิประเทศของที่นี่เหมาะกับการเจริญเติบโตของสมุนไพรบางอย่าง
แม้ว่านี่จะเป็นช่วงฤดูหนาว ซึ่งมันไม่เหมาะกับการเก็บเกี่ยวสมุนไพรเท่าไหร่นัก ทว่าสายตาของฟางฮั่นเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างในดงสมุนไพร ปากของนางอ้าขึ้นพร้อมด้วยดวงตาเปิดกว้างอย่างตื่นเต้น มันคือหน่อไม้ฝรั่ง !
หน่อไม้ฝรั่งนี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมในตำราโบราณของหมอที่มีชื่อเสียง คำจำกัดความของมันก็คือ ‘ทำให้ร้อนเป็นเย็น บำรุงผิวพรรณและเสริมสร้างความแข็งแรง’ วันนี้นางเพียงแค่เดินทางมาที่ภูเขาแห่งนี้เพื่อสำรวจว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้างที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่านางไม่ได้หยิบพลั่วเตรียมมาด้วย ปกติแล้วดินที่ภูเขาแห่งนี้ไม่ได้แข็งอะไรมากนัก แต่เมื่อมันถูกกดทับด้วยหิมะหนา มันจึงไม่ใช่เรื่องที่สามารถใช้เพียงมือขุดขึ้นมาได้ เช่นนี้ร่างกายที่อ่อนแอของนางจึงไม่สามารถขุดรากหน่อไม้ฝรั่งที่จะนำไปแปรรูปเป็นยาได้
ฟางฮั่นตัดใจจากมันพร้อมกับหยิบลูกพลัมสีแดงแล้วจัดการเก็บผักป่าแถว ๆ นั้น ตะกร้าของนางใกล้จะเต็มแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจำเป็นต้องใช้ไม้เท้าเพื่อเดินลงจากภูเขาอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง
ปากทางเข้าของหมู่บ้านมีเด็กชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีน้ำตาลพุ่งเข้ามาหานางอย่างเร่งรีบ
“ฟางฮั่น โอ้ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบ ! ” เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 10 ขวบ เขาสวมหมวกใบเล็กพร้อมกับมีขนปุกปุยสีดำที่ขอบของหมวกทำให้ดูสดใสและอบอุ่น เขาอยู่ในครอบครัวที่ดูแลเขาอย่างดีและสะดวกสบาย
“รีบกลับไปที่บ้านเร็ว ข้าเห็นน้องสาวเจ้ากำลังคุกเข่าสำนักผิดอยู่ วันนี้อากาศค่อนข้างหนาว หากเป็นข้าต้องคุกเข่าอยู่ตรงนั้น คงจะทนไม่ไหวแน่ ! ”
ได้ยินเช่นนั้นฟางฮั่นจึงกังวลทันที นางรีบวิ่งไปที่บ้านของตนเองอย่างลืมตัว เด็กชายคว้าตะกร้าที่หลังของนางพร้อมกล่าวว่า “ข้าจะเก็บมันไว้ให้ก่อน เจ้ารีบกลับบ้านเถอะ”
“อ้อ ขอบคุณนะ” เด็กคนนี้อยู่ในความทรงจำของนาง เขาเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างจะซื่อสัตย์คอยเป็นเพื่อนเล่นกับนางในหมู่บ้าน เขาคือเฉิงเจิ้งไค๋ ตอนนี้ฟางฮั่นไม่มีเวลาที่จะกล่าวไร้สาระอะไรกับเขาต่อ นางเป็นกังวลและห่วงน้องสาวมากกว่า ไม้เท้าถูกเขวี้ยงทิ้งอย่างไม่ใยดีพร้อมกับวิ่งตรงกลับบ้านในทันที
ฟางฮั่นรู้ได้ว่าตับไตไส้พุงของนางกำลังเขย่ารวมกันอยู่ภายในร่างกายเมื่อนางวิ่งอย่างต่อเนื่องเพื่อกลับบ้าน
ร่างกายของนางอ่อนแอมากเกินไปและด้วยสารอาหารที่ไม่เพียงพอทำให้สมรรถภาพทางร่างกายของนางนั้นย่ำแย่
ทันทีที่ฟางฮั่นมาถึงบ้าน นางเห็นฟางฉือกำลังคุกเข่าอยู่กลางลานบนแผ่นหิน ร่างกายของนางสั่นสะท้านจากความหนาวเย็น เห็นได้ชัดว่าร่างกายของนางไม่สามารถแบกรับความเย็นจัดนี้ได้ เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของของหวยเอ๋อดังมาจากห้องโถง “ท่านย่า ท่านย่ากรุณาช่วยพี่สาวด้วย ได้โปรดเถอะ ! ”
“เสี่ยวฉือ ! ” ฟางฮั่นตะโกนออกมาพร้อมกับวิ่งเข้าไปดึงร่างกายของน้องสาวขึ้นจากพื้นและกอดนางไว้แน่น
ฟางฉือที่เห็นพี่สาวของตนกลับมาแล้ว ร่างกายของนางทรุดลงอีกครั้งอย่างอ่อนแรงพร้อมกล่าวด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ “พี่ใหญ่...”
ร่างกายที่อ่อนล้าของฟางฮั่นสั่นสะท้านด้วยความโกรธที่ปะทุแน่นในอก
ใจคอคนพวกนี้จะไม่มีความรักให้กับผู้อื่นเลยงั้นเหรอ ทำไมจึงรังแกเด็กตัวเล็กที่ไร้ทางสู้ได้ถึงขนาดนี้ กะจะเอาให้ตายจากกันไปข้างเลยใช่ไหม ! ?
“โอ้ นังเด็กฟางฮั่นกลับมาแล้วเหรอ” ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงที่เหยียดหยันของฟางเถียนดังขึ้นราวกับอสรพิษร้าย ร่างเล็ก ๆ ตะโกนขึ้นจากข้างใน “พี่ใหญ่ ! ”
ขาคู่เล็กวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เขาคือฟางหมิงหวยซึ่งใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
ฟางเถียนถูมือของตนเองเพื่อให้คลายหนาวพร้อมกับมองดูสามพี่น้องที่ยืนอยู่กลางลานกว้าง นางรีบพูดก่อนที่ฟางฮั่นจะทันได้กล่าวอะไร “อย่าได้คิดว่าย่าของเจ้ากำลังรังแกเด็ก เจ้าต้องถามน้องสาวของตนเองก่อนว่ามันต้องการอะไรถึงทำเช่นนั้น”
ไม่นานเสียงประตูถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เสียงของเสี่ยวเถียนดังขึ้นพร้อมด้วยมือเท้าสะเอว “อ่า ฟางฮั่นจงฟังให้ดีเถอะว่าเด็กคนนั้นมือไม้หนักเกินไปแล้ว ถ้วยชามของบ้านแตกกระจายจนหมดสิ้นเพราะนาง เฮอะ ตอนนี้พวกเราได้ทำความสะอาดครัวใหม่ทั้งหมดและข้าจำเป็นจะต้องสั่งสอนนางสักหน่อยเท่านั้นเอง”
ฟางฮั่นเลิกเสื้อผ้าของน้องสาวขึ้นเพื่อดูร่องรอยที่ถูกฝากเอาไว้แดงแจ๋
“พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ...” หน้าเล็ก ๆ ของฟางฉือเต็มไปด้วยคราบน้ำตาพร้อมกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น “ข้าล้างจานอยู่ที่ริมสระและไม่รู้ว่าใครผลักข้า…”
ด้วยสัญชาตญาณ ฟางฮั่นรีบสำรวจมือของเด็กหญิงตรงหน้าและพบว่ามันเต็มไปด้วยเลือดซิบ ๆ จากรอยขีดข่วนมากมาย
ฟางฮั่นลุกขึ้นยืนพร้อมกับความโกรธที่แสดงออกผ่านดวงตาอย่างเกรี้ยวกราด
“มีปัญหาอะไรงั้นหรือ ? การที่เด็กน้อยทำข้าวของเสียหายนั้นผู้เป็นย่าไม่สามารถจะสั่งสอนนางได้งั้นหรือ? พวกเราทั้งหมดล้วนแต่ทำงานอย่างหนักและประหยัดกันอย่างมาก แต่ฉือเหนียงกลับสร้างปัญหาให้กับครอบครัว” ฟางเถียนกล่าวออกมาพร้อมกับสายตาเย้ยหยันส่งถึงพี่น้องทั้งสาม
“พวกเจ้ายังไม่รู้วิธีทำข้าว น้ำมันและเกลือให้มีราคาด้วยซ้ำ เฮอะ แต่กลับทำตัวฟุ่มเฟือยและคนอื่นต้องเดือดร้อนตามไปด้วย” เสี่ยวเถียนกล่าวออกมาพร้อมกับจับจ้องใบหน้าที่กำลังโกรธของฟางฮั่น
“แล้วมันเท่าไหร่ ! ” ฟางฮั่นยืนตัวแข็งทื่อเผชิญหน้ากับอาวุโสทั้งสอง “ข้าจะจ่ายมันเอง ! ”
ฟางเถียนจับที่มุมปากของตนพร้อมกับไคร่ครวญอย่างเจ้าเล่ห์ “ถ้วยชามมากมายแตกหักและข้าไม่มีใช้อีกแล้ว หลังจากนี้ข้าต้องไปที่โรงตีเพื่อซื้อมัน เฮ้อ คิดค่าถ้วยชามและค่าเสียเวลาของข้าก็น่าจะสักหนึ่งถึงสองตำลึง”
ฟางฮั่นโกรธจัดพร้อมกับจับจ้องทั้งสองอย่างไม่พอใจ รอยยิ้มที่หลบซ่อนไว้ได้ถูกเปิดเผยออกมาจากใบหน้าของอาวุโสทั้งสองอย่างน่ารังเกียจ นางเก็บงำความโกรธของตนเองเช่นกันพร้อมกล่าวออกไป “หนึ่งถึงสองตำลึงงั้นหรือ ? ฝันไปเถอะ ! ”
ใบหน้าของฟางเถียนและเสี่ยวเถียนเปลี่ยนไปทันที
ฟางฮั่นกอดน้องสาวและน้องชายของตนเองเอาไว้พร้อมกับสายตาจับจ้องญาติที่ห่างออกไปไม่กี่ฟุต “แค่ถ้วยชามธรรมดา ราคาของมันไม่มากเกินกว่า 5 อีแปะด้วยซ้ำ เฮอะ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้าทั้งหมดรวมกันแล้วก็ยังไม่มีเงินพอใช้จ่ายงั้นหรือ ? ทั้งหมิงเจียง ทั้งเสี่ยวอ้าย หมิงฮ่ง… ไม่มีใครอีกแล้วงั้นหรือ ? เอาล่ะถ้าหากคิดง่าย ข้าจะบอกให้ว่าราคาของมันไม่น่าจะเกิน 45 อีแปะด้วยซ้ำ บวกกับค่าแรงงานและค่าเสียเวลารวมแล้วควรจะเป็นเงินเพียง 70 อีแปะ เฮอะ แต่ย่าของข้าต้องการเงินจำนวน 2 ตำลึงงั้นเหรอ? ต้องการจะเอามันไปฝังศพตัวเองหรือไง ! ”
ฟางเถียนและเสี่ยวเถียนนั้นไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่หรือพวกเขาควรจะเรียกร้องเงินเท่าไหร่ในสถานการณ์ครั้งนี้ด้วยซ้ำ แต่เด็กหญิงตรงหน้ากลับคิดคำนวณมันออกมาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้เชียวหรือ ? การกระทำของนางกำลังตบหน้าอาวุโสใช่หรือไม่ !