px

เรื่อง : Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 46 เทพผู้เฝ้าประตู


ตอนที่ 46 เทพผู้เฝ้าประตู

 

ยันต์ปราบปีศาจกลายเป็นแสงสีขาวและโจมตีไปที่มนุษย์กระดาษทั้ง 2 ตัวอย่างรุนแรง เขาเห็นว่าร่างของมนุษย์กระดาษโดนโจมตีอยู่หลายครั้งจนกระเด็นไปแต่พวกมันก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้ บนร่างกายของพวกมันเริ่มมีรอยแผลฉีกขาดให้เห็น

 

เมื่อมองไปที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์อีกครั้งในตอนนี้ นางสามารถจัดการกับมนุษย์กระดาษ 2 ตัวได้อย่างรวดเร็วและมนุษย์กระดาษที่ต่อสู้กับนางอยู่นั้นก็ฉีกขาดจนเกือบจะแยกออกเป็น 2 ส่วนแล้ว

 

ในตอนนี้มนุษย์กระดาษทั้ง 5 ตัวเหลืออยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ต่อสู้กับมู่อี้อยู่ มู่อี้มองไปที่มนุษย์กระดาษตัวสุดท้ายและไม่ได้ลงมือโจมตีต่อ กลับกันเขาถอยหลังกลับไปสองก้าวเพราะในตอนนี้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้พุ่งเข้ามาหามนุษย์กระดาษตัวสุดท้ายแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้ากรงเล็บที่แหลมคมของนางมนุษย์กระดาษก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆอย่างง่ายดาย 

 

"นี่มัน วิถีแห่งยันต์อย่างนั้นหรือ?" เจี่ยเหรินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการลงมือของมู่อี้ เดิมทีเขาคิดว่ามนุษย์กระดาษทั้ง 5 ตัวจะสามารถรับมือกับมู่อี้เพื่อถ่วงเวลาได้สักครู่หนึ่งแต่เขาไม่คาดคิดเลยว่ามนุษย์กระดาษจะถูกทำลายอย่างง่ายดายโดยเฉพาะเมื่อมันต่อสู้กับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ บางทีอาจจะเป็นเพราะความไม่พอใจในใจของเขาทำให้สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้นไปอีก 

 

แต่เจี่ยเหรินก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะสามารถเอาชนะมู่อี้ได้ด้วยมนุษย์กระดาษเพียงแค่ 5 ตัวอยู่แล้ว เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงไม่ต้องวางแผนใช้วิธีต่างๆมากมาย

 

ก้าวที่ 3 นั้นถือเป็นก้าวสุดท้ายสำหรับความยากในการฝึกจิตใจขั้นที่ 1  มีผู้คนมากมายที่ไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้ เหมือนกับมู่อี้เมื่อ 2 เดือนก่อนที่ไม่สามารถก้าวไปต่อได้เลย 

 

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมมู่อี้จึงสามารถก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วนั่นก็เพราะรากฐานที่นักพรตเต๋าเฒ่าวางเอาไว้ให้อย่างยาวนาน มันไม่ใช่แค่ 2 เดือนเท่านั้นแต่มันยาวนานถึง 8 ปี 

 

"ท่านเทพเจ้าผู้เฝ้าประตู ท่านอยู่ที่ใดกัน?" ทันใดนั้นเจี่ยเหรินก็ยื่นมือออกไปทันที

 

"ข้าอยู่นี่แล้ว!" ที่ประตูด้านหลังของเขาก็มีเสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นมา และต่อจากนั้นมู่อี้ก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นชายร่างกำยำที่ก้าวออกมาจากประตูบานนั้น 

 

ถ้าจะพูดให้แม่นยำกว่านั้นเขาก็เป็นกระดาษด้วยเช่นกัน เดิมทีเขาเป็นเพียงกระดาษตัดที่ติดอยู่ข้างประตูเท่านั้นแต่ในตอนนี้กลับสามารถแสดงพลังออกมาได้ 

 

"จงขุย!"

 

"ดวงตาเหมือนกับเส้นผมที่ดำงดงาม ริมฝีปากสีแดงเข้ม มีเคราดกดำทั่วใบหน้า เมื่อภูตผีและวิญญาณชั่วร้ายได้เห็นต่างก็ต้องรู้สึกหวาดกลัว"

 

นี่คือคำอธิบายทั้ง 4 อย่างของจงขุย จงขุยถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้งในตำนานพื้นบ้านเขาเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของลัทธิเต๋า มีหน้าที่ปกปักรักษาที่อยู่อาศัยและขับไล่วิญญาณที่ชั่วร้าย ปกติแล้วคนทั่วไปจะบูชาเทพเจ้าองค์นี้ด้วยการวางอาหารเอาไว้หน้าประตู 

 

แต่ในตอนนี้เทพจงขุยที่อยู่หน้าประตูบ้านของเจี่ยเหรินไม่เพียงแค่ปกปักรักษาที่อยู่อาศัยและขับไล่วิญญาณที่ชั่วร้ายได้เท่านั้น แต่เขายังสามารถปรากฏตัวขึ้นมาได้และยังพูดได้อีกด้วยซึ่งนั่นทำให้มู่อี้รู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมาในใจทันที

 

หลังจากจงขุยก้าวออกมาจากประตู เขาก็ดึงดาบยาวของตนเองออกมาและตรงเข้าไปหาเนี่ยนหนิวเอ้อร์ในทันที

 

ก่อนหน้านี้เนี่ยนหนิวเอ้อร์มีสีหน้าที่ผ่อนคลาย แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่กำลังพุ่งเข้ามาหาในตอนนี้สีหน้าของนางก็ดูตึงเครียดขึ้นมาทันที

 

อาจเป็นเพราะว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์คือวิญญาณดังนั้นจงขุยจึงไม่สนใจมู่อี้และตรงเข้าไปต่อสู้กับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ในทันที

 

เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ยังอายุน้อยเหมือนกับมู่อี้ พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ แต่พลังของนางนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วด้วยตนเองและพลังของจงขุยในตอนนี้ก็ยังไม่อาจเทียบกับนางได้เลย ดังนั้นในช่วงเวลานี้ไม่มีใครสามารถทำอะไรนางได้แน่นอน. .

 

เมื่อเห็นแบบนี้แล้วมู่อี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมากแต่ทันใดนั้นมันก็กลับกลายเป็นความหนักใจขึ้นมาทันที

 

ในตอนนี้เจี่ยเหรินไม่ได้นิ่งเฉยอีกต่อไป มันยากที่จะรับรู้ได้ว่าเขายังมีแผนการในใจอีกมากเท่าไหร่

 

"เอาล่ะ เมื่อคนอื่นๆไปเล่นกันแล้ว ก็ถึงตาพวกเราแล้วล่ะ" เจี่ยเหรินหันมาพูดกับมู่อี้ 

 

"จงรับมือ!"

 

ในขณะที่มู่อี้พูดออกไปนั้นมือขวาของเขาก็สะบัดออกไปทันทีและมีแสงสีขาวที่พุ่งเข้าไปหาเจี่ยเหริน แต่เจี่ยเหรินก็ไม่ได้ดูตื่นตระหนกแต่อย่างใดและยื่นมือของตนเองออกไปคว้าแสงสีขาวเอาไว้

 

มู่อี้รอคอยจังหวะนี้อยู่แล้ว ในตอนที่เจี่ยเหรินยื่นมือออกมารับแสงสีขาวนั้น มืออีกข้างหนึ่งของเขาที่มียันต์สายฟ้าซ่อนเอาไว้อยู่ในแขนเสื้อก็สะบัดออกไปทันที

 

"ตู้ม!"

 

สายฟ้าฟาดลงมาจากท้องฟ้าอย่างรุนแรงและแสงสว่างจ้าที่เกิดขึ้นนั้นทำให้พื้นที่บริเวณนี้สว่างราวกับว่าเป็นตอนกลางวัน

 

มู่อี้หรี่ตาลงเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงแสงสว่างที่รุนแรงและได้ยินเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมา

 

เห็นได้ชัดว่าเจี่ยเหรินไม่อาจหลบหนีการโจมตีที่รุนแรงของมู่อี้ไปได้ แม้ว่านี่จะไม่ใช่การลอบโจมตีแต่ก็เป็นการโจมตีอย่างฉับพลันจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว

 

มู่อี้ใช้ยันต์ปราบปีศาจของเขาออกไปก่อน เพื่อทำให้เจี่ยเหรินคิดว่าเขากำลังใช้ยันต์ปราบปีศาจเพื่อโจมตี และเจี่ยเหรินก็สามารถรับมือกับยันต์ปราบปีศาจของมู่อี้ได้อย่างแม่นยำ

 

ในตอนที่เจี่ยเหรินมั่นใจว่าตนเองรับการโจมตีของมู่อี้ได้นั้น มู่อี้ก็ใช้ยันต์สายฟ้าตามออกไปอย่างกะทันหัน ไม่ว่าเจี่ยเหรินจะระมัดระวังตัวมากแค่ไหนก็คงไม่สามารถป้องกันได้แน่นอน

 

แน่นอนว่ามู่อี้ไม่ได้คิดว่าแค่ยันต์สายฟ้าเพียงอย่างเดียวจะสามารถฆ่าเจี่ยเหรินได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแล้วมันคงง่ายดายจนเกินไป แม้แต่ฉือกุยก็ยังสามารถป้องกันการโจมตีด้วยสายฟ้าได้เจี่ยเหรินก็น่าจะสามารถทำได้ด้วยเช่นเดียวกัน

 

เมื่อแสงสว่างจ้าหายไปมู่อี้ก็ได้เห็นสภาพของเจี่ยเหรินในตอนนี้ ร่างกายท่อนบนของเขาไหม้เกรียม ผมของเขาชี้ฟูราวกับรังนก และมีควันสีดำลอยออกมาจากศีรษะของเขาอยู่ตลอดเวลา

 

จงขุยและเนี่ยนหนิวเอ้อร์อยู่ไกลออกไปจึงไม่ได้รับผลกระทบจากยันต์สายฟ้านี้

 

มู่อี้จ้องมองไปที่เจี่ยเหรินด้วยสายตาที่ไม่ได้ดูผ่อนคลายเลยแต่กลับดูระวังตัวมากขึ้นไปอีก ในตอนนั้นฉือกุยสามารถป้องกันการโจมตีของยันต์สายฟ้าได้ด้วยการเสียสละอาวุธวิญญาณของเขา แต่ในตอนนี้เจี่ยเหรินทำได้อย่างไรนั้นมู่อี้ก็ไม่อาจทราบได้แน่ชัด  

 

ในตอนนี้มู่อี้ไม่ให้เวลาเจี่ยเหรินได้พักหายใจอีกต่อไป ยันต์อีกใบหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขาและเขาก็โยนออกไปในทันที 

 

"เกราะ!"

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเจี่ยเหรินก็ตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด 

 

จากนั้นร่างกายของเขาก็มีแสงส่องออกมาและเริ่มมีรูปร่างของชุดเกราะปรากฏขึ้น ซึ่งชุดเกราะนี้เห็นได้ชัดว่ามาจากกระดาษที่ถูกตัดอย่างงดงาม มันดูสวยงามและยิ่งใหญ่ราวกับชุดเกราะของแม่ทัพในสงคราม แต่แน่นอนว่ามันช่างตัดกับใบหน้าที่ดำไหม้เกรียมเหลือเกิน 

 

ยันต์ปราบปีศาจโจมตีลงไปบนชุดเกราะของเขาแต่เขาก็แค่ถอยหลังกลับไปเท่านั้นโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

 

เมื่อได้เห็นชุดเกราะนี้มู่อี้ก็รู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายขึ้นมาทันที โชคดีที่ยันต์สายฟ้าดูเหมือนจะทำให้เจี่ยเหรินอ่อนแอลงไปมากไม่อย่างนั้นแล้วด้วยชุดเกราะนี้เขาคงไม่มีทางเอาชนะอีกฝ่ายได้ง่ายๆแน่นอน 

 

และแน่นอนว่าความโกรธของเจี่ยเหรินในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะดูถูกได้เลย 

 

"ง้าวมังกรเขียว จงมา" จากนั้นเจี่ยเหรินก็ตะโกนออกมาอีกครั้งและง้าวเล่มใหญ่ที่มีรูปของมังกรสีเขียวอยู่บนนั้นก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาทันที 

 

หลังจากที่นำง้าวมังกรเขียวออกมาแล้วเจี่ยเหรินก็ใช้ง้าวมังกรเขียวที่อยู่ในมือฟาดฟันออกไป

 

เมื่อเห็นแบบนี้แล้วมู่อี้ก็รีบถอยกลับมาและไม่ได้รีบร้อนใช้ยันต์สายฟ้าอีกแผ่นหนึ่งที่อยู่ในมือของเขา เพราะก่อนหน้านี้แม้ว่ายันต์สายฟ้าของเขาจะได้ผลแต่ถ้าเขาใช้อีกแผ่นนึงออกไปตอนนี้มันคงไม่ได้ผลเหมือนก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน

 

นอกจากนี้เจี่ยเหรินยังสวมชุดเกราะเอาไว้และยันต์สายฟ้าของเขาคงแสดงผลได้อย่างไม่เต็มที่เว้นแต่ว่าเขาจะถอดชุดเกราะของอีกฝ่ายออกมาก่อน 

 

หลังจากคิดได้แบบนี้มู่อี้ก็นำตะเกียงทองแดงของเขาออกมาทันที

 

ตะเกียงทองแดงไม่ได้แสดงพลังใดๆออกมาในตอนนี้และเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตะเกียงทองแดงอันนี้เป็นสมบัติในระดับไหนแต่เมื่อคิดถึงท่านปู่ของตนเอง ตะเกียงนี้จะต้องเป็นสมบัติที่ล้ำค่าอย่างแน่นอนเพราะมันสามารถทำให้การฝึกฝนจิตใจของมู่อี้นั้นก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว มันคงไม่ใช่สมบัติระดับต่ำอย่างแน่นอน

 

ตราบใดที่มู่อี้ยังมีกระแสจิตหลงเหลืออยู่เขาก็สามารถกระตุ้นพลังของตะเกียงทองแดงในมือขึ้นมาได้ อย่างน้อยที่สุดในตอนที่เขาต่อสู้กับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ตะเกียงทองแดงก็ได้แสดงพลังของมันออกมาแล้ว 

รีวิวผู้อ่าน