px

เรื่อง : Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 41 สิ่งผิดปกติ


ตอนที่ 41 สิ่งผิดปกติ

 

มู่อี้ยิ้มเล็กน้อยจากนั้นเขามองที่เซี่ยเหมี่ยวและพูดว่า "จริงๆแล้ว หากท่านต้องการเปิดประตูหรือหน้าต่างที่ลงกลอนจากด้านในโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆมันก็ไม่ยากอย่างที่ท่านคิด มีอย่างน้อยเจ็ดหรือแปดวิธีที่จะทำได้และมีคนที่สามารถทำเช่นนั้นได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดๆเลยด้วยซ้ำ"

 

หลังจากพูดจบมู่อี้ไม่สนใจว่าเซี่ยเหมี่ยวจะเชื่อเขาหรือไม่ เขาหันหลังกลับและเดินสำรวจรอบๆห้องอีกสองรอบจากนั้นก็ออกจากห้องไป

 

ซูจินหลุนและซ่งฉีเดินตามออกไปทันที หลังจากทุกๆคนออกจากห้องไปเซี่ยเจิ้งก็ถอนหายใจออกมาและมองเซี่ยเหมี่ยวด้วยความผิดหวัง

 

"ท่านลุงสาม ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ท่านอับอาย" เซี่ยเหมี่ยวมองเซี่ยเจิ้งและกระซิบเบาๆพร้อมกับถอนหายใจออกมา

 

"ข้าไม่มีอะไรต้องอับอายหรอก ที่ข้าถอนหายใจออกมาเป็นเพราะว่าเจ้ามั่นใจในความสามารถของตนเองมากเกินไป เจ้าคิดว่าตนเองฉลาดเหนือสิ่งอื่นใดบนโลกใบนี้และคนอื่นๆล้วนเป็นคนโง่ใช่ไหม? ตอนนี้เจ้าไม่สามารถเอาชนะท่านนักพรตเต๋าได้ อย่าว่าแต่เจ้าเลยลุงสามของเจ้าก็เช่นกัน" เซี่ยเจิ้งมองเซี่ยเหมี่ยวและพูดด้วยน้ำเสียงปกติโดยไม่มีการใช้อารมณ์แต่อย่างใด คำพูดของเขาทั้งเป็นสิ่งเตือนใจและเป็นบทเรียนให้เซี่ยเหมี่ยว

 

โชคดีที่มู่อี้เป็นคนดี ไม่เช่นนั้นผลจากการกระทำของเซี่ยเหมี่ยวในวันนี้อาจเลวร้ายอย่างมากเพราะคนที่มีอำนาจส่วนใหญ่คงไม่ชอบที่จะได้รับการปฏิบัติราวกับว่าพวกเขาเป็นคนโง่เขลา

 

ท้ายที่สุดเซี่ยเจิ้งก็ส่ายหัวและเดินออกจากห้องไป

 

เซี่ยเหมี่ยวยืนนิ่งและรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเขาทำผิดอะไร แต่เขาเชื่อว่าก่อนหน้านี้เขาได้ทำบางอย่างผิดไปมิฉะนั้นลุงสามจะไม่พูดด้วยน้ำเสียงนี้

 

ประสบการณ์หลายปีทำให้เขาเข้าใจว่าถ้าท่านลุงสามตีและดุเขาไม่ได้หมายความว่าท่านลุงโกรธ แต่เมื่อท่านลุงสามนิ่งเงียบต่อเขาและไม่มีการแสดงออกใดๆบนใบหน้าแสดงว่าท่านลุงรู้สึกโกรธจริงๆ 

 

แม้ว่าเซี่ยเหมี่ยวจะเป็นชายร่างสูงและแข็งแรง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจในเรื่องนี้ จากนั้นเขารีบติดตามลุงสามออกไปอย่างรวดเร็ว

 

ที่ห้องโถงด้านหน้า เผิงซ่งหลายให้คนรับใช้นำชาไปให้มู่อี้ ใบหน้าของเขายังคงดูอ่อนล้าและรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง

 

"ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของท่านนักพรต ท่านพบเบาะแสอะไรหรือไม่?" เผิงซ่งหลายไม่อาจทนรอจนกว่าชาจะมาถึงได้เพราะเขารู้สึกกังวลและอยากรู้ความคืบหน้าของคดีจากมู่อี้

 

"เถ้าแก่เผิงไม่ต้องกังวล ฆาตกรไม่ใช่วิญญาณแต่เป็นมนุษย์" มู่อี้พูดออกไปโดยไม่ได้ปิดบังเพราะเขามั่นใจในเรื่องนี้

 

“ฆาตกรเป็นมนุษย์?” ใบหน้าของเผิงซ่งหลายแสดงความโกรธออกมาอย่างชัดเจน แต่ความกังวลในสายตาของเขาก็หายไปเช่นกัน สิ่งที่ไม่รู้จักมักเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด หากเป็นวิญญาณเผิงซ่งหลายจะไม่สามารถช่วยมู่อี้ได้เลย แต่ถ้าฆาตกรเป็นมนุษย์ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งเพียงใดเขาก็ต้องเอาชนะได้อย่างแน่นอนและตระกูลเผิงก็ไม่ได้อ่อนแอ หากเขายังไม่สามารถหาทางจัดการได้ก็สามารถส่งจดหมายไปหาลูกเขยคนโตของตระกูลเผิงและเขาจะต้องส่งยอดฝีมือมาช่วยเหลืออย่างแน่นอน

 

เขาเชื่อว่าฆาตกรไม่อาจหนีไปไหนได้อย่างแน่นอน

 

มู่อี้มองเผิงซ่งหลายและไม่ได้พูดคำที่เหลือออกมาเพราะมันไม่จำเป็นและจะทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ

 

"ใช่ขอรับ ตระกูลของท่านเคยทำให้ใครขุ่นเคืองบ้างหรือไม่? ลูกเขยของท่านมาจากตระกูลใด? ภายในตระกูลมีสมาชิกกี่คน? เขามีนิสัยใจคอเป็นอย่างไรบ้าง?" มู่อี้ถามติดต่อกันในครั้งเดียวและคำถามแต่ละข้อมีความสำคัญอย่างยิ่ง

 

เมื่อเขาเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของอีกฝ่าย เขาก็อาจจะพบเบาะแสบางอย่างในนั้น แต่ถ้าเขาตามหาตัวฆาตกรโดยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเหยื่อเลยก็ไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร

 

"แม้ว่าข้าจะไม่กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าเขาเป็นคนดี แต่ข้ามักจะนำอาหารออกไปแจกจ่ายเพื่อช่วยคนที่ยากจนในทุกๆปีและการซ่อมแซมถนนในเมืองตลอดทั้งปีก็เป็นความดีความชอบของข้า อาจมีบางครั้งที่เกิดผิดใจกับผู้อื่นแต่ก็เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น พวกเขาไม่น่ามีแรงจูงใจมากพอในการลงมือฆ่าคนในครอบครัวของข้า" เผิงซ่งหลายดูเหมือนจะมั่นใจในเรื่องนี้มาก

 

มู่อี้เชื่อในสิ่งที่เขาพูด ในความเป็นจริงคำถามแรกเป็นเพียงคำถามเพื่อเปิดทางและประเด็นสำคัญของเขาอยู่ที่คำถามถัดไป

 

"ส่วนลูกเขยของข้า เอ่อ เขาไม่ใช่คนของเมืองนี้ เขาอยู่ตัวคนเดียวและไม่มีญาติคนอื่นไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ยอมย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลเผิงและเป็นลูกเขยของข้าได้ งานอดิเรกเพียงอย่างเดียวของเขาคือการอ่านหนังสือ เขาเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยออกไปข้างนอกและไม่มีเพื่อน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะมีศัตรู" เผิงซ่งหลายเน้นย้ำประโยคสุดท้ายอย่างมาก

 

เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักลูกเขยตนเองเป็นอย่างดี

 

มู่อี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย อาศัยอยู่นอกเมือง ไม่มีสมาชิกในครอบครัว หน้าตาดี แต่ไม่ค่อยออกไปไหนและไม่มีเพื่อน สิ่งต่างๆเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อเชื่อมโยงกันแล้วมันค่อนข้างแปลก

 

จริงหรือที่อีกฝ่ายเป็นบุคคลประเภทที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก? เพราะเขาชอบที่จะอ่านหนังสือทำไมไม่เข้าร่วมในการสอบของราชสำนักหรือลองสอบเพื่อเป็นขุนนาง? เขาเป็นชายที่ยังอายุน้อยและหน้าตาดีเป็นไปไม่ได้เลยที่ความกระหายชัยชนะในหัวใจของเขาจะหายไปตั้งแต่อายุยังน้อยและไม่หลงเหลือจิตวิญญาณในการต่อสู้อีกเลย

 

แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นบุคคลเช่นนี้จริงๆ ลูกสาวของเผิงซ่งหลายจะตกหลุมรักเขาได้อย่างไร? รูปลักษณ์ที่ดีอาจมีข้อได้เปรียบแต่มันก็ไม่ใช่ทุกอย่างเสมอไป ไม่มีหญิงสาวคนไหนที่อยากจะใช้ชีวิตกับผู้ที่ไม่มีความทะเยอทะยานอย่างแน่นอน

 

ยิ่งกว่านั้นลูกเขยคนโตของเผิงซ่งหลายเป็นผู้พิพากษาของมณฑลแห่งนี้ ถ้าลูกเขยคนเล็กไม่มีดีอะไรเลยเขาคงไม่ยอมให้ลูกสาวของตนเองแต่งกับชายคนนี้อย่างแน่นอน

 

"หากเขาชอบอ่านหนังสือ เขามีความรู้ความสามารถในด้านใดบ้างขอรับ?” มู่อี้ถามอย่างต่อเนื่อง

 

"เอ่อ ความสามารถทางวรรณกรรม" ชายชราถอนหายใจ "เขาและลูกสาวของข้าก็ยังรักใครกันเป็นอย่างดี เห้อ ช่างน่าสงสาร ... "  เผิงซ่งหลายถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำอีก

 

จากน้ำเสียงของเขา เขารู้สึกพึงพอใจลูกเขยคนนี้อย่างยิ่งและไม่คิดว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้จะเกิดขึ้น

 

หลังจากฟังเผิงซ่งหลาย แล้วมู่อี้ก็รู้สึกสงสัยมากขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน มู่อี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความผันผวนที่เขารู้สึกได้ในตอนแรก ความผันผวนนั้นไม่เหมือนพลังหยิน และดูเหมือนจะไม่ได้ข้องเกี่ยวกับพลังแห่งจิตใจ อาจเป็นพลังปราณภายในร่างกายหรืออะไรแบบนั้น?

 

ช่างน่าเสียดายที่อีกฝ่ายตายแล้วและไม่สามารถตอบคำถามเขาได้

 

มู่อี้ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ขอให้เผิงซ่งหลายพาไปพบลูกสาวของเขา

 

เผิงซ่งหลายไม่ลังเลและนำทางมู่อี้ไปยังที่พักของลูกสาวคนเล็กในทันที แม้ว่าเวลาผ่านมากว่าหนึ่งวันแล้วแต่ลูกสาวคนเล็กของเผิงซ่งหลายยังคงอยู่ในสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ นางขดตัวอยู่ที่มุมเตียง มือของนางจับผ้าห่มที่ปกคลุมร่างกาย ร่างกายของนางยังคงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่งและนางไม่สนใจการมาถึงของมู่อี้แม้แต่น้อย

 

ข้างๆนางมีผู้หญิงวัยกลางคนที่เฝ้ามองนางด้วยความห่วงใยซึ่งก็คือมารดาของนาง

 

เมื่อมู่อี้เห็นสภาพที่ย่ำแย่ของนางก็รู้ในทันทีว่าคงไม่สามารถสอบถามข้อมูลอะไรจากนางได้ หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่เขาก็หยิบยันต์สะกดวิญญาณออกมา ด้วยพลังแห่งจิตใจของเขาทันใดนั้นแสงสีขาวก็สว่างวาบบนปลายนิ้วของมู่อี้และค่อยๆบินไปตกที่ร่างของนาง

 

แสงสีขาวยังคงส่องสว่าง ทันใดนั้นมีควันสีดำลอยออกมาจากร่างของนางและจากนั้นก็แตกสลายหายไปในอากาศ

รีวิวผู้อ่าน