px

เรื่อง : Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 14 เขียนยันต์อีกครั้ง


ตอนที่ 14 เขียนยันต์อีกครั้ง

 

ยันต์สะกดวิญญาณ 2 แผ่น ยันต์ปกป้องที่อยู่อาศัย 1 แผ่น ยันต์คุ้มภัย 2 แผ่น และยันต์ปราบปีศาจอีก 1 แผ่น 

 

นี่คือยันต์ทั้งหมดที่มู่อี้สามารถเขียนออกมาได้ในตอนนี้ แม้ว่าเขาอยากจะเขียนยันต์สายฟ้าออกมาให้สำเร็จแต่ก็ไม่สามารถทำได้เลย เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเลือดของเขาที่ใช้เขียนหรือเปล่ามันจึงไม่เคยสำเร็จสักครั้ง แต่เรื่องนี้มู่อี้ก็ไม่เคยบังคับตนเองให้ฝึกฝน เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างไปตามอารมณ์เท่านั้น กล่าวตามตรงการที่ตอนนี้มู่อี้สามารถเขียนยันต์ออกมาได้ถึง 6 แผ่นมันก็ทำให้เขารู้สึกพอใจมากแล้ว

 

แม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่เลือดของเขาแต่มันก็ยังมีตัวแปรอื่นๆที่เกี่ยวข้องอีกไม่ว่าจะเป็นชาด กระดาษเหลือง พู่กันที่ใช้เขียน และของอื่นๆ พลังของสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าการเขียนด้วยเลือดของเขาเองเลยแต่มันก็ยังไม่สำเร็จ

 

"ถ้าหากเรามีเงินมากกว่านี้บางทีมันอาจจะสำเร็จก็ได้" มู่อี้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยและเก็บพู่กันกลับไป  

 

หลังจากนั้นมู่อี้ก็รวบรวมยันต์ที่เขาเขียนขึ้นมาใหม่ทั้ง 6 แผ่นเอาไว้กับยันต์ที่เขาเขียนขึ้นมาก่อนหน้านี้ ที่มียันต์คุ้มภัย 4 แผ่น ยันต์ปราบปีศาจ 3 แผ่น ยันต์สะกดวิญญาณ 2 แผ่น และยันต์ปกป้องที่อยู่อาศัยกับยันต์สายฟ้าอีกอย่างละ 1 แผ่น 

 

ในความคิดของมู่อี้ไม่ว่าวิญญาณตัวนี้จะร้ายกาจมากเพียงใดแต่ยันต์เหล่านี้ก็น่าจะเพียงพอ ถ้าหากว่ายันต์พวกนี้ไม่ได้ผลต่อให้เขามียันต์อีกมากมายสักกี่แผ่นมันก็คงไม่ได้ผลเช่นเดียวกันและนั่นคงเกินกว่าความสามารถของเขาไปแล้ว

 

เมื่อเห็นยันต์เหล่านี้มู่อี้ก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังได้กำไรจากโสมอายุ 100 ปีที่ตระกูลซูมอบให้เขา 

 

ภายในกล่องผ้าหรูหราที่อยู่บนโต๊ะนั้นมีโสมที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวและดูเก่าแก่อยู่ภายในนั้น แค่ครึ่งเดียวก็มีมูลค่ามากแล้ว เขาใช้เชือกผูกกล่องผ้าชิ้นนี้เอาไว้กับร่างกายของตนเองอย่างแน่นหนา 

 

มู่อี้ค่อยๆตัดโสมส่วนเล็กๆออกมาด้วยความระมัดระวังและกินเข้าไปทันที หลังจากนั้นไม่นานมู่อี้ก็รู้สึกได้ถึงความร้อนในท้องของเขาและความอบอุ่นเริ่มกระจายไปทั่วร่างกาย เขารู้สึกได้ว่าสมองของตนเองฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว 

 

ด้วยเหตุนี้มู่อี้จึงรีบนั่งลงทันที 

 

การฝึกฝนจิตวิญญาณของเขาได้มาถึงขั้นที่ 2 แล้ว

 

การตื่นรู้ในตอนเช้าไม่เพียงแต่ทำให้เขาสามารถก้าวมาถึงขั้นที่ 2 แต่ยังสามารถทำให้เขาเขียนยันต์สายฟ้าออกมาได้สำเร็จ ในตอนนี้มู่อี้ต้องทำให้สภาวะนี้มั่นคงมากยิ่งขึ้น จนกว่าสภาพจิตใจของเขาจะสงบนิ่งอย่างมั่นคงเขาถึงจะถือว่าได้เข้าสู่ขั้นที่ 2 อย่างแท้จริง

 

และหลักจากฝึกฝนอย่างหนักจิตใจของมู่อี้ก็จะแข็งแกร่งขึ้น ความรู้สึกต่างๆที่รบกวนจิตใจของเขาได้หายไปแล้ว มันให้ความรู้สึกที่หนักแน่นเหมือนกับเหล็กกล้าที่ได้รับการชุบแข็งมานับร้อยครั้ง การฝึกฝนจิตวิญญาณจะไม่ใช่สิ่งที่สำเร็จได้ภายในวันเดียวแต่มันคือการก้าวเดินไปทีละก้าวอย่างมั่นคง

 

ช่วงเวลาตอนเย็นได้มาถึงซูจงซานก็ได้เข้ามาที่นี่อีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกันแต่ดูเหมือนว่ามู่อี้จะยังไม่ออกจากการทำสมาธิ เขาจึงกลับออกไปเงียบๆและสั่งห้ามไม่ให้คนอื่นเข้ามารบกวนมู่อี้ภายในนี้

 

ในสายตาของซูจงซาน มันก็สมเหตุสมผลที่นักพรตเต๋าอย่างมู่อี้จะมีท่าทีเช่นนี้ 

 

แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือเมื่อมู่อี้ลืมตาตื่นขึ้นมาจากการทำสมาธินั้นเด็กหนุ่มรู้สึกหิวมาก แม้ว่าโสมอายุ 100 ปีจะทำให้ร่างกายของเขาอบอุ่นขึ้นและช่วยเพิ่มพลังแห่งจิตใจให้กับเขาแต่เขาไม่สามารถกินมันเป็นอาหารได้ มู่อี้ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งแม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์มากมายแต่เขาก็ต้องทานอาหารอยู่ดี 

 

"ทำไมท่านถึงยังอยู่ที่นี่?" มู่อี้เปิดประตูออกมาและเห็นซูหยิงหยิงที่ยืนรออยู่หน้าประตู

 

ในตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้วและในสวนหลังบ้านที่มู่อี้อยู่นั้นก็มีคบเพลิงถูกจุดขึ้นมามากมาย จนสามารถย้อมท้องฟ้าในตอนนี้ให้กลายเป็นสีแดง

 

"ตอนที่ท่านนักพรตเต๋ายังไม่ลืมตาตื่นขึ้นมา ข้ารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยจึงรอคอยอยู่ที่นี่ ส่วนหญิงสาวคนอื่นในตระกูลพวกนางต่างก็ออกไปจากที่นี่หมดแล้ว" ซูหยิงหยิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม แม้ว่าจะเป็นการสนทนาเพียงสั้นๆแต่มู่อี้ก็สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ภายนอกดูอ่อนนุ่มแต่ภายในกลับแข็งแกร่งเกินกว่าที่เห็น

 

"เช่นนั้นท่านหยิงหยิงก็ควรจะออกจากที่นี่ได้แล้ว บ้านตระกูลซูไม่เหมาะสมสำหรับหญิงสาวในคืนนี้ขอรับ" มู่อี้พยักหน้า

 

"ท่านนักพรตเต๋า หยิงหยิงอยากจะคอยช่วยเหลือท่านอยู่ที่นี่ได้หรือไม่?" ซูหยิงหยิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่มู่อี้ด้วยสายตาที่จริงจัง

 

"ท่านจะอยู่ที่นี่จริงๆหรอ?" มู่อี้ตกตะลึงไปครู่หนึ่งและจ้องมองไปที่นางด้วยความประหลาดใจ

 

"ใช่แล้ว ข้าอยากทราบว่าท่านย่าของข้านั้นเป็นอย่างไรบ้าง?" ซูหยิงหยิงถามกลับมาด้วยความกังวล

 

"เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ เหตุผลที่ข้าต้องเชิญให้ท่านออกไปก็เพราะว่าร่างกายของหญิงสาวนั้นประกอบด้วยธาตุหยินและง่ายที่วิญญาณจะเข้าสู่ร่างกายของท่านขอรับ" มู่อี้ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของมู่อี้ซูหยิงหยิงก็รู้สึกโล่งใจ ถ้ามันเป็นปัญหาเรื่องท่านย่าของนาง นางคงออกไปจากที่นี่โดยไม่ต้องคิดแต่เมื่อมันเป็นปัญหาของนาง นางจึงตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไป 

 

ความจริงแล้วซูหยิงหยิงก็ยังไม่เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณและพระเจ้า จนกระทั่งนางได้เห็นสิ่งที่มู่อี้กระทำในห้องนอนของท่านย่า ในตอนที่มู่อี้สามารถใช้ยันต์สะกดวิญญาณรักษาท่านย่าได้นั้นมันทำให้นางรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งและนี่เป็นเหมือนกับการเปิดประตูบานใหม่ในจิตใจของนาง

 

"แม้ว่าจะเป็นแบบนั้นข้าก็ยังอยากจะอยู่ที่นี่เพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้นได้หรือไม่?" ซูหยิงหยิงตอบกลับมาทันที

 

"ท่านอยากอยู่ที่นี่จริงๆหรือ?" มู่อี้ถามพร้อมกับมองไปที่ซูหยิงหยิง

 

"ใช่" ซูหยิงหยิงพยักหน้า

 

"ถ้าอย่างนั้นแล้วจงเก็บยันต์แผ่นนี้เอาไว้กับตัวของท่านตลอดเวลา ห้ามทำหายไปไหน และคืนนี้ท่านห้ามอยู่ห่างจากข้า" มู่อี้พยักหน้าจากนั้นก็มอบยันให้นางแผ่นหนึ่ง เขามียันต์สะกดวิญญาณอยู่ 4 แผ่นมอบให้นางสักแผ่นคงไม่เป็นอะไรหรอก 

 

"ไม่ไม่ ท่านนักพรตเต๋าเข้าใจผิดแล้ว หยิงหยิงเพียงแค่รู้สึกสงสัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเท่านั้นไม่ได้ต้องการสิ่งที่ล้ำค่าเช่นนี้" ซูหยิงหยิงมองไปที่ยันต์ที่มู่อี้มอบให้และโบกมือเพื่อปฏิเสธ ในสายตาของนางยันต์แผ่นนี้น่าจะล้ำค่ามากและนางไม่อาจรับมันมาได้แน่นอน

 

"รับไว้เถอะมิฉะนั้นแล้วข้าคงต้องดูแลท่านอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาขอรับ" มู่อี้วางยันต์แผ่นนั้นลงบนมือของซูหยิงหยิงทันที เมื่อได้สัมผัสฝ่ามือที่อ่อนนุ่มของนางมู่อี้ก็รู้สึกตกตะลึงจนยืนนิ่งและหัวใจของเขากำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งในตอนนี้ 

 

ใบหน้าของซูหยิงหยิงก็มีสีแดงขึ้นมาเล็กน้อย นางก้มศีรษะของตนเองลงทันทีและไม่กล้ามองไปที่มู่อี้อีกครั้ง

 

"ถ้าอย่างนั้นแล้วข้าอยากจะขอร้องขอให้ท่านหยิงหยิงช่วยเตรียมอาหารให้ข้าได้หรือเปล่า?" มู่อี้กระแอมไอออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูอับอายเล็กน้อย 

 

"อ้า เช่นนั้นโปรดรอก่อนเถอะ ข้าจะไปเตรียมอาหารให้ท่านนักพรตเดี๋ยวนี้" ซูหยิงหยิงตอบกลับมาและจากนั้นก็เดินออกไปทันที

 

เมื่อได้เห็นแผ่นหลังของซูหยิงหยิงเดินลับหายไปมู่อี้ก็ส่ายศีรษะเบาๆ แม้ว่าเขาจะยังอายุน้อยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เข้าใจอะไรเลย ในยุคนี้อายุประมาณ 16 ก็ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้วและมันคือเรื่องปกติ ตัวเขาเองที่มีอายุ 14 ปีก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่อยู่ครึ่งตัวแล้ว ในเมื่อเขาได้พบเจอกับโอกาสดีๆแบบนี้จะให้เขาคิดยังไงกัน?

 

แต่มู่อี้ก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนเรื่องนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าความรู้สึกของการได้ใกล้ชิดกันระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว นี่คือธรรมชาติของมนุษย์และเขาเองก็ไม่ได้คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซูหยิงหยิงจะเพิ่มไปมากกว่านี้

 

ในตอนนี้ความคิดทั้งหมดของมู่อี้มุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนทางจิตวิญญาณเท่านั้น เขาต้องศึกษาเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นเพราะวิธีการที่เขามีในตอนนี้มันยังไม่เพียงพอ เขาอยากจะแข็งแกร่งให้มากกว่านี้และเป็นอย่างท่านปู่ของเขา เมื่อได้ก้าวเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกฝนทางจิตวิญญาณแล้วความแตกต่างระหว่างเขากับคนปกติย่อมแตกต่างกันราวกับสวรรค์และโลก 

 

รีวิวผู้อ่าน