px

เรื่อง : Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 2 เสียงร้องของนกฮูก


ตอนที่ 2 เสียงร้องของนกฮูก

 

มู่อี้นับว่าเป็นคนที่มีความกล้าหาญคนหนึ่ง เขามีประสบการณ์ในการเดินทางมาอย่างโชกโชน การนอนในสุสานและวัดร้างเป็นสิ่งที่เขาทำเป็นประจำ

 

หลังจากหยิบขวานที่ใช้ตัดไม้ตลอด 2 วันที่ผ่านมา มู่อี้ค่อยๆเลื่อนเปิดประตูไม้อย่างช้าๆและเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ของวัดร้างทันที

 

คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างมาก แสงจันทร์ทะลุผ่านเข้ามาทางหน้าต่างจนทำให้เขาเห็นทั่วทั้งห้องโถงได้อย่างชัดเจน

 

ตรงกลางห้องโถงนั้นเขาเห็นเงาสูงใหญ่ยืนอยู่ 

 

หัวใจของมู่อี้เต้นถี่ยิ่งขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของบุคคลนี้ได้เพราะระยะห่างที่ค่อนข้างไกล แต่ในตอนนี้เขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกจากกระดูกสันหลังขึ้นมาบนสมองของตนเอง 

 

คนแปลกหน้าที่อยู่ในความมืดเริ่มเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ มู่อี้เริ่มได้กลิ่นเหม็นเน่าลอยมาจากคนๆนี้ เขาหมดสติไปและไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีก

 

เช้าวันรุ่งขึ้นเขาตื่นมาและพบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้นห้องโถงของวัดร้าง

 

เขาตรวจสอบร่างกายของตนเองแต่ก็ไม่พบบาดแผลใดๆ แต่เขารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย สิ่งที่เขาได้เห็นเมื่อคืนนี้เริ่มเข้ามาในจิตใจของเขา

 

คนแปลกหน้าคนนั้นเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วราวกับเป็นวิญญาณ มู่อี้ไม่เคยเห็นคนที่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนี้มาก่อน เขาจำได้ว่าตอนที่เขาหมดสติไปนั้นเขาได้กลิ่นเหม็นซึ่งทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย มันเป็นกลิ่นของศพที่เริ่มเน่าแล้ว

 

มู่อี้ตรวจสอบห้องโถงใหญ่อีกครั้ง และเห็นว่ารูปปั้นเทพเจ้านั้นตกลงมาอยู่ที่พื้น ตัวรูปปั้นนั้นแตกหักและศีรษะของรูปปั้นนั้นได้หายไป 

 

หรือว่าเสียงที่เขาได้ยินเมื่อคืนจะเป็นเพราะรูปปั้นเทพเจ้านี้

 

แต่ใครกันที่ต้องการทำลายรูปปั้นเทพเจ้า? แล้วศีรษะของรูปปั้นเทพเจ้าหายไปไหน? ทำไมมีแต่ส่วนศีรษะที่หายไปเท่านั้น? แต่ทันทีที่มู่อี้เริ่มคิดเรื่องนี้เขาก็นึกถึงกลิ่นเหม็นที่เขารู้สึกได้เมื่อคืน ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆจะไม่ง่ายดายเหมือนกับที่เขาคิด 

 

วันนี้เป็นวันที่แปดแล้วหลังจากที่ท่านปู่ได้จากเขาไป วันนี้มู่อี้ก็ยังคงไปเยี่ยมหลุมศพของนักพรตเฒ่าอย่างเช่นเคย

 

ทันทีที่มาถึงหลุมฝังศพมู่อี้ก็รู้สึกตกตะลึงทันที บนถนนเส้นเล็กๆที่ตรงเข้าไปยังหลุมฝังศพนั้นมีรอยเท้าของใครบางคนที่ไม่ใช่รอยเท้าของเขาแน่นอน 

 

มู่อี้สูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามไม่สนใจรอยเท้าพวกนี้และหันหลังกลับมาทันที

 

เพื่อที่จะทำจิตใจให้สงบลง มู่อี้ลงจากภูเขาก่อนจะกลับมาพร้อมถุงใส่ของขนาดใหญ่ เขากลับไปที่ห้องของตนเองพร้อมกับเปิดถุงออก สิ่งที่เขาซื้อมาคือกระดาษสีเหลืองปึกนึง พู่กันกล่องนึง ชาดบดละเอียด 1 กล่อง (ชาด : Crimson เป็นผงสีชนิดหนึ่งมีสีแดง บางครั้งเรียกชาดผง ชาดเขียนหวยหรือชาดตีตรา ได้มาจากการถลุงแร่ซินนาบาร์ ในเมืองไทย ชาดได้นำมาใช้ในการทำยาไทย หรือผสมน้ำมันสำหรับประทับตราสิ่งของ สีชาดมีลักษณะสีแดงสด ซึ่งเป็นชื่อเรียกของวัตถุที่มีสีนี้ว่า สีชาด) เลือดสุนัขดำ 1 ถ้วย ด้ายสีแดง 1 ขด ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม กระจกทองแดง 7 ทิศ  เทียนไขอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีเหรียญทองแดงและกระดิ่งอันเล็กๆที่เขาซื้อมาจากวัดที่อยู่ด้านล่างภูเขา และสิ่งสุดท้ายที่เขาซื้อก็คือกระบี่ไม้ที่ดูเก่าเล่มหนึ่ง

 

มู่อี้รู้สึกพอใจมากที่สามารถหาซื้อของเหล่านี้ได้จากเมืองเล็กๆด้านล่างภูเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบี่ไม้เก่าๆเล่มนั้น กระบี่เล่มนี้ทำมาจากไม้คุณภาพสูงและเก่าแก่มาก แค่กระบี่ไม้เล่มนี้เพียงอย่างเดียวก็ผลาญเงินเขาไปเป็นจำนวนมากแล้ว โชคดีที่เขาซื้ออาหารมาเตรียมไว้ก่อนเพราะหลังจากซื้อของพวกนี้ทั้งหมดเขาก็แทบจะหมดตัว 

 

ในสายตาของคนทั้งโลกใบนี้นักพรตแห่งลัทธิเต๋าขึ้นชื่อเรื่องการขับไล่ภูตผีปีศาจ มู่อี้ได้ติดตามนักพรตเฒ่ามานานหลายปี ประสบการณ์ในการทำพิธีไล่ผีของเขานั้นไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่เคยขับไล่ผีมาก่อนและไม่รู้ด้วยว่าผีมีลักษณะเป็นอย่างไร แต่ทุกๆครั้งที่ทำพิธีนั้นนักพรตเฒ่าตั้งใจทำอย่างจริงจังอยู่เสมอถึงแม้ว่านั่นจะเป็นการหลอกลวงคนอื่นก็ตาม 

 

หลังจากเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมามู่อี้ตัดสินใจลองทำพิธีไล่ผีแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์หรือไม่ก็ตาม 

 

มู่อี้รีบกินข้าวที่เหลืออยู่จาก 2 คืนก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็เริ่มเตรียมการโดยการแบ่งข้าวเหนียวออกเป็น 2 ส่วน ครึ่งหนึ่งแช่เอาไว้ในอ่างน้ำที่อยู่ตรงกลางห้องโถงและอีกครึ่งหนึ่งโปรยเอาไว้รอบๆวัดร้างแห่งนี้แต่ไม่ได้โปรยด้านในห้องโถง 

 

จากนั้นมู่อี้ก็ใช้ด้ายสีแดงร้อยกระดิ่งอันเล็กๆและเหรียญทองแดงเข้าด้วยกันพร้อมกับแขวนเอาไว้ที่ประตูหน้าต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประตูทางเข้าของวัดร้างแห่งนี้ เขาต้องทำให้แน่ใจว่ากระดิ่งจะส่งเสียงดังเตือนเมื่อมีคนเดินเข้ามาในห้องโถง

 

แต่นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้นมู่อี้วางกระจกทองแดงเอาไว้ในห้องโถงตามตำแหน่งของกลุ่มดาวกระบวยใหญ่และหลังจากนั้นก็ตรวจสอบตำแหน่งการวางให้ถูกต้อง 

 

เทียนจำนวนมากถูกปักเอาไว้ในห้องโถงแห่งนี้ตามหลักฮวงจุ้ย เมื่อจุดเทียนทั้งหมดขึ้นมาแสงเทียนจะถูกกระจกทองแดงสะท้อนและรวมตัวกันตรงกลางห้องโถง

 

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วมู่อี้ก็ใช้ผ้าสีดำคลุมกระจกทองแดงเอาไว้ เขาทำให้ผ้าทุกๆผืนถูกดึงออกมาพร้อมกันเมื่อเขาดึงผ้าผืนใดผืนหนึ่งออกจากกระจกทองแดง ถ้าหากว่าทำไม่สำเร็จพิธีกรรมนี้จะไม่ได้ผลอย่างแน่นอน หัวใจของมู่อี้เต็มไปด้วยความกังวล

 

น่าเสียดายที่มีบางตำแหน่งในห้องนี้ที่เขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายหรือทำอะไรได้

 

สุดท้ายนั้นมู่อี้ก็เอาเลือดสุนัขครึ่งถ้วยผสมกับข้าวเหนียวที่แช่อยู่ในน้ำจากนั้นก็เติมชาดเข้าไป หลังจากผสมทุกอย่างรวมกันแล้วเขาก็เริ่มกวนส่วนผสมให้เข้ากันเพื่อทำให้พวกมันกลายเป็นน้ำหมึก

 

นักพรตเฒ่าเคยสอนมู่อี้วาดอักขระยันต์ในการประกอบพิธีกรรม ชายชราเข้มงวดในเรื่องนี้เป็นอย่างมากจนการวาดอักขระยันต์ต่างๆสำหรับประกอบพิธีกรรมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมู่อี้ไปแล้ว

 

ยิ่งฝึกฝนก็ยิ่งสมบูรณ์แบบ มู่อี้ผ่านการฝึกฝนการวาดอักขระยันต์ประกอบพิธีกรรมในทุกๆวัน จนในตอนนี้แม้ว่าจะหลับตาเขาก็สามารถวาดอักขระยันต์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ยันต์ที่เขาสามารถวาดออกมาได้นั้นมีแค่ 5 แบบครึ่งเท่านั้น

 

โชคชะตา คุ้มภัย ไล่วิญญาณ ปกป้องที่อยู่อาศัย ไล่ปีศาจ และยันต์อีกครึ่งแบบที่เขาวาดได้คือ สายฟ้า

 

หลังจากที่มู่อี้จุดเครื่องหอมเสร็จ เขาก็ยืนล้างมือพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ พิธีกรรมนี้ต้องทำอย่างพิถีพิถันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในครั้งนี้มู่อี้รู้สึกจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกได้ว่าพื้นที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยวิญญาณ 

 

มู่อี้จุ่มพู่กันที่ซื้อมาลงในน้ำหมึกที่ทำเอาไว้และเริ่มวาดอักขระยันต์สำหรับประกอบพิธีกรรมทันที หลังจากที่ถือพู่กันเอาไว้ในมือร่างกายของเขาก็ขยับไปอย่างคุ้นเคย เมื่อวาดอักขระยันต์ชิ้นแรกเสร็จสิ้นมู่อี้ก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความตกตะลึงทันที 

 

มู่อี้จ้องมองยันต์ที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองอย่างแปลกประหลาด เขาฝึกเขียนยันต์มานับครั้งไม่ถ้วนจนแม้แต่ปิดตาก็ยังวาดได้ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่ายันที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นจะเปลี่ยนไป มันให้ความรู้สึกที่พิเศษยิ่งกว่ายันต์ที่เขาเคยวาดขึ้นมานับไม่ถ้วน

 

มู่อี้ส่ายหัวเพื่อตัดความคิดที่ไม่จำเป็นทิ้งไป เขาเริ่มวาดอักขระยันต์อีกครั้ง 

 

จนท้ายที่สุดแล้วเขาวาดอักขระยันต์ที่เหมือนกับแผ่นแรกออกมาได้ 3 ชิ้น ยันต์ไล่ผี 10 แผ่น และยันต์ไล่ปีศาจอีก 10 แผ่น

 

แม้ว่าเขาอยากจะเขียนยันต์เพิ่มขึ้นอีกแต่ก็เหนื่อยล้าเกินจะทำได้ การเขียนยันต์แต่ละแผ่นต้องใช้พลังเป็นจำนวนมาก เขาต้องเก็บพลังส่วนหนึ่งเอาไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในคืนนี้

 

มีเพียงแค่ยันต์ชิ้นแรกที่เขาวาดออกมาเท่านั้นที่ให้ความรู้สึกที่พิเศษ ยันต์ชิ้นอื่นๆที่วาดขึ้นไม่ได้ให้ความรู้สึกพิเศษอะไรเลย คงมีอะไรบางอย่างในยันต์ชิ้นแรกที่แตกต่างออกไป น่าเสียดายที่ท่านปู่ของเขาจากไปแล้วทำให้เขาไม่รู้จะถามเรื่องนี้กับใครเลย

 

มู่อี้คิดเรื่องนี้อยู่เป็นเวลานานหลังจากนั้นเขาก็วางยันต์ชิ้นแรกที่เขาวาดขึ้นไว้ที่หน้าอกของตนเองราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า จากนั้นก็ใส่ยันต์ไล่ผีและยันต์ไล่ปีศาจอย่างละ 10 แผ่นเอาไว้ที่กระเป๋าข้างซ้ายและข้างขวาของเขา 

 

หลังจากเตรียมทุกอย่างจนเสร็จสิ้นมู่อี้ก็ทำกิจวัตรประจำวันของตนเองต่อ ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้วและต้องรอจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดินก่อน 

 

หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จสิ้นมู่อี้สวมชุดเต็มรูปแบบก่อนที่จะล้มตัวนอนลงบนเตียง เขาวางขวานคู่ใจของเขาไว้ใกล้กับเตียงนอนเผื่อว่าในกรณีฉุกเฉินเขาจะสามารถคว้ามันมาใช้ได้ในทันทีและเหน็บกระบี่ไม้เอาไว้ที่เอวของเขา วันนี้เขาเหนื่อยมากแล้ว เขาค่อยๆปิดตาก่อนที่จะเผลอหลับไปในที่สุด

 

"ฮูก… ฮู้กกกก"

 

"ฮูก… ฮู้กกกกกก"

 

เสียงนกฮูกที่เหมือนกับใครบางคนกำลังหัวเราะทำให้มู่อี้ตื่นขึ้นมากลางดึก เขาไม่สามารถหลับต่อได้อีก ความจริงแล้วเขาไม่สามารถหลับสนิทได้เลย แม้แต่เสียงลมพัดหรือเสียงหญ้าที่เคลื่อนไหวดังมาจากภายนอกก็สามารถทำให้เขาตื่นขึ้นมาได้ทันที 

 

หลังจากที่ตื่นขึ้นมามู่อี้ก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ดูจากตำแหน่งของดวงจันทร์ที่อยู่บนท้องฟ้าแล้ว ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาประมาณ 3 - 5 ทุ่ม 

 

แม้ว่าเขาจะรู้จักนาฬิกาพกพา แต่แน่นอนว่าเขาคงไม่มีเงินซื้อของหรูหราแบบนั้นได้

 

มู่อี้ค่อยๆล้างหน้าของเขาด้วยน้ำเย็นก่อนที่จะหยิบขวานคู่ใจและเดินออกมาที่ห้องโถงใหญ่ แม้ว่าภายในห้องโถงจะมืดจนเขาแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลยในตอนนี้แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาด 

 

หลังจากนั้นมู่อี้ก็นั่งยองๆอยู่บริเวณมุมมืดใกล้ทางเข้าวัดร้างแห่งนี้และพยายามหายใจให้เบาที่สุด 

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียงนกฮูกที่เหมือนกับใครบางคนกำลังหัวเราะดังขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา บางครั้งมันก็ให้ความรู้สึกราวกับว่าจะมีเรื่องร้ายที่กำลังเกิดขึ้น

 

"กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง"

 

รีวิวผู้อ่าน