ตอนที่ 10: เขาเทพธิดา
เมื่อฟางฮั่นกลับมาถึงกระท่อมของตน เด็กน้อยทั้งสองได้ตื่นแล้ว พอทั้งสองเห็นว่าพี่สาวของตนเองกลับมา พวกเขาก็ส่งเสียงร้องสดใส “พี่ใหญ่ ! ”
ทั้งสองยังไม่เข้าใจว่าการแยกบ้านออกมาคืออะไร แต่ฟางฮั่นได้อธิบายให้ทั้งสองเข้าใจเมื่อวานนี้ว่าพวกเขาไม่ควรถือโทษโกรธปู่และย่า เรื่องนี้เป็นเพียงการแยกตัวออกมาอาศัยอยู่อย่างอิสระเท่านั้น แต่ทุกคนยังเป็นลูกหลานเช่นเดิม
วันนี้จึงเป็นวันที่ดีที่สุดของทั้งสอง
“พี่ใหญ่ นั่นอะไรหรือ หอมเหลือเกิน” ฟางหมิงหวยกล่าวขึ้นพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด เขาเห็นว่าในมือของฟางหมิงหวยมีชามอะไรบางอย่างพร้อมชะเง้อหน้ามาดู ดวงตาทอประกายสว่างทันทีพร้อมอุทานเสียงดัง “ซุปไข่ ! ”
เขากระโดดขึ้นไปนั่งบนแคร่อย่างเร่งรีบซึ่งรวดเร็วมากเกินจนเกือบจะชนฟางฉือให้หน้าคว่ำอยู่ตรงนั้น
ฟางหมิงหวยต้องการจะกินซุปไข่มาเป็นเวลานาน ฟางหมิงฮ่งที่อายุมากกว่าเขาสองปีสามารถกินไข่ต้มหรือไข่ลวกและอื่น ๆ อีกมากมายที่เขาต้องการจะกิน แต่ย่ามักจะโกรธเคืองและกล่าวเสมอว่าหมิงหวยยังไม่สมควรจะกินไข่ในตอนนี้
ฟางหมิงหวยรู้สึกหดหู่มาเนิ่นนาน หลังจากที่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับพี่สาวทั้งสองของตนกลับกลายเป็นพี่ ๆ ของเขาโศกเศร้ายิ่งกว่า เรื่องทั้งหมดจบลงที่การร่ำไห้และฟางหมิงหวยจึงไม่กล้าที่จะต้องการกินไข่อีกต่อไป
แม้ฟางฉือจะไม่ได้แสดงออกอย่างโลดโผนเช่นน้องชาย แต่แววตานางนั้นทอประกายสดใส
แววตาของทั้งคู่ทำให้หัวใจของฟางฮั่นเจ็บปวด นางถ้วยชามลงบนตะกร้าพร้อมกับกล่าวกับเด็กทั้งสองว่า “ในที่สุดเราก็มาถึงวันนี้ เจ้าทั้งสองจงวางใจได้เลยว่าหลังจากนี้พี่ใหญ่จะทำให้พวกเจ้าสามารถกินไข่ได้ทุกวัน”
ทั้งสองพลันมีความสุขอย่างมาก มุมปากยกยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อน
พวกเขาล้วนแต่เชื่อใจในคำพูดของพี่สาวอย่างแท้จริง
ฟางฮั่นหยิบช้อนพร้อมกับตักไข่ตุ๋นขึ้นมาเป่าแล้วป้อนมันให้กับฟางหมิงหวย เด็กน้อยอ้าปากรับมันอย่างเต็มใจพร้อมกับสัมผัสถึงความนุ่มนวลที่ละลายอยู่ในปากของเขา
ฟางฮั่นตักมันขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับจะป้อนให้ฟางฉือ แต่เด็กหญิงกลับส่ายหน้าอย่างรุนแรงพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าอยากให้น้องชายได้กินมันก่อน ข้าเคยกินมันแล้ว”
หลังจากที่กล่าวออกไปอย่างนั้นสายตานางพลันเหลือบมองถ้วยชามอย่างไม่รู้ตัว น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก
ฟางหมิงหวยรีบกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงคออย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวอย่างห่วงใย “พี่สาว ท่านก็ควรจะกินมันนะ พี่ใหญ่ทำสิ่งนี้ได้อร่อยมากเลยล่ะ”
ฟางฉือส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “พี่ใหญ่บอกว่าจะให้เรากินไข่ทุกวัน เมื่อถึงเวลาข้าจะกินมันเอง ตอนนี้ข้าอยากให้เจ้าโตเร็ว ๆ มากกว่า”
ฟางฮั่นกล่าวออกมาอย่างดุ ๆ พร้อมขมวดคิ้วแน่น “ฉือเหนียง ถ้าเจ้าไม่กินมันแล้วข้าจะกล้ากินมันได้อย่างไรล่ะ ข้าก็อยากกินด้วยเหมือนกัน”
ฟางหมิงหวยปรบมืออย่างตื่นเต้นด้วยความไร้เดียงสา “พี่สาวรีบกินมันเร็ว พวกเราจะกินมันด้วยกันทุกคนเลย”
ฟางฉือหันหน้าไปทางฟางหมิงหวยเล็กน้อย นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยอมอ้าปากเพื่อให้ฟางฮั่นป้อนข้าว
ซุปไข่ถูกส่งผ่านเข้าไปในปากของฉือเหนียงในทันที
ฟางฉือมีไข่อยู่ในปากแต่กลับดวงตาเปียกชื้นอย่างกลั้นไม่อยู่ นางเริ่มสะอื้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงบู้บี้ “แบบนี้ มันจะไม่เป็นไรใช่ไหม…”
ฟางหมิงหวยยังเด็กและไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่สาวของเขาจึงต้องร้องไห้ออกมา เขาเพียงคิดแค่ว่าอยากจะกินมันตลอดเวลาเท่านั้นเอง
ความตกใจถาโถมเด็กชายพร้อมกับเอื้อมมือไปปาดน้ำตาบนใบหน้าของฉือเหนียง “พี่สาวอย่าร้องไห้เลยนะ ไม่ต้องร้องไห้หรอก หวยเอ๋อไม่กินแล้ว ข้ายกมันให้พี่สาวทั้งหมดเลย ไม่ต้องร้องไห้นะ”
ฟางฉือแทบจะสำลักข้าวเพราะความเขินอายจากคำพูดของฟางหมิงหวย ดวงตานางจับจ้องน้องชายพร้อมกล่าวอย่างเขินๆ ว่า “ข้า.. ข้าไม่ได้ร้องไห้เพราะอยากกินซุปไข่ ! ”
ฟางฮั่นหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
นางรู้ดีว่าน้องสาวของนางกำลังกังวลเรื่องอะไร
วันนี้เป็นวันที่สดใสสำหรับทั้งสองคนอย่างมาก เมื่อก่อนทั้งสองมักจะถูกทุบตีและด่าทอตลอดเวลาจนไม่สามารถทำให้กินและนอนหลับได้เต็มตา
ฟางฉือยังไม่เข้าใจว่าตอนนี้นางได้รับอิสรภาพแล้ว
ทั้งสามแบ่งปันซุปไข่กันอย่างมีความสุข ฟางฮั่นต้องการให้น้องทั้งสองของตนเองกินมันอย่างมีความสุข นางเพียงแค่แสร้งอ้าปากและงับมันนิดหน่อยเท่านั้นเพื่อให้ทั้งสองได้กินมันอย่างเต็มที่
ไม่ว่าฟางฉือและฟางหมิงหวยจะฉลาดมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็มีอายุเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เช่นนี้ทั้งสองจึงไม่เห็นว่าพี่ใหญ่ของตนเองกำลังเสแสร้ง
แม้ซุปไข่นี้จะชามเล็ก แต่ทั้งคู่ก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของตน
หลังจากที่กินดื่มกันจนเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสามช่วยกันเก็บล้างทำความสะอาดและอาสาช่วยฟางฮั่นเพื่อไปล้างชามที่ครัว
สำหรับเด็กทั้งสองนี้การล้างจานเป็นเรื่องธรรมดามาก ฟางฮั่นคิดเกี่ยวกับชามเหล่านี้ไม่มากนักจากนั้นจึงยอมให้ทั้งสองจัดการกับมัน นางต้องการเดินออกไปยังที่ดินเพื่อดูว่าสภาพแวดล้อมเช่นนี้สามารถจะทำอะไรขายเพื่อที่จะสร้างเม็ดเงินให้กับครอบครัวของตนเองได้บ้าง
ฟางหมิงหวยยังคงนั่งมองฟางฮั่นพร้อมกล่าวอย่างหนักแน่น “พี่ใหญ่ ข้าต้องการจะช่วยเหลืองานที่บ้านของเราด้วยเช่นกัน”
หลังจากคิดอยู่สักครู่หนึ่ง ฟางฮั่นก็หยิบไม้กวาดด้ามเล็กที่หักพังเล็กน้อยยื่นให้เขา มันเหมาะสำหรับเด็กที่จะใช้ทำอะไรแก้เบื่อและเขาจะได้รู้สึกว่าได้ช่วยงานพี่สาวทั้งสอง
“ถ้าเช่นนั้นหวยเอ๋อเอาไม้กวาดนี้ออกไปกวาดหิมะตรงทางเข้าบ้านและเมื่อเสร็จแล้วให้กลับมานั่งในบ้านรอข้ากลับมา” ฟางฮั่นตระเตรียมสิ่งของเพื่อให้ฟางหมิงหวยด้วยความใส่ใจ
หวยเอ๋อรู้สึกมีความสุขมากเขาตอบรับอย่างหนักแน่น “ได้เลย!” พร้อมยืดตัวขึ้นและทุบหน้าอกตนเองแสดงถึงความเต็มใจ
หลังจากที่กล่าวกำชับกันอย่างแน่นหนาแล้ว ฟางฮั่นจึงก้าวเดินออกไป
ภูเขาหลังหมู่บ้านไม่ได้ไกลมากนัก มันมีชื่อว่าเขาเทพธิดา ซึ่งในตำนานได้กล่าวไว้ว่าเคยมีนางสวรรค์อาศัยอยู่ที่นี่ ไม่เพียงแต่มีเทพธิดาเท่านั้น ยังมีคนกล่าวว่ามีชายตาบอดสนิทอาศัยอยู่ที่นั่นอีกด้วย
พ่อของฟางฮั่นเคยได้พบกับชายตาบอดคนนั้นในขณะที่เขากำลังอ่านหนังสืออยู่บนภูเขา
นักล่าที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ได้เห็นร่องรอยที่เกิดขึ้นพร้อมกับส่ายหัวอย่างอ่อนใจว่าปกติแล้วชายคนนี้ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าฟางฮั่นไม่กล้าจะวิ่งขึ้นไปบนภูเขาด้วยร่างกายเล็ก ๆ ของตนเอง นางไม่มีอาวุธอะไรป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย หากได้พบกับชายตาบอดคนนั้น แน่นอนว่านางจะต้องพ่ายแพ้ แล้วยังมีเหล่าสัตว์ป่ามากมายที่พร้อมจะบดขยี้นางจนแหลกเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย
แต่ตอนนี้นางจำเป็นจะต้องไปที่ภูเขาแห่งนั้น มีหลายอย่างเกี่ยวกับมันในความทรงจำของฟางฮั่นคนเก่า แน่นอนว่าในนั้นมันมีแค่คำว่า “อร่อย” “สนุก” หรือ “แปลกประหลาด” สิ่งต่าง ๆ ในความทรงจำเหล่านั้นล้วนแต่ไม่สำคัญอะไรเมื่อฟางฮั่นคนใหม่ได้มาอยู่บนโลกใบนี้ ความกลัวทุกสิ่งหายไปจนหมดสิ้นเพียงเพราะคำ ๆ เดียว…
“เงิน ! ”
ผลไม้ในภูเขานั้นสามารถเก็บออกมาเพื่อไปแลกเป็นเงินได้ ดอกไม้บนนั้นแห้งและสามารถสร้างเป็นสินค้า
บางอย่างเพื่อนำมาขายเป็นเงิน อีกทั้งมันยังมีสมุนไพรมากมาย!
เงิน เงินและเงิน !
ฟางฮั่นกำลังคิดถึงวิธีการสร้างรายได้…
นางอายุมากที่สุดในครอบครัวของลูกชายคนรอง ซึ่งร่างกายของนางผอมแห้งและมีผิวสีเหลืองซีด แสดงให้เห็นว่านางกำลังขาดสารอาหารและร่างกายไม่เจริญเติบโตอย่างเต็มที่นัก แม้ใบหน้าจะสะสวยแต่สีผิวที่เหลืองซีดนี้คล้ายกับว่านางกำลังเป็นโรคอะไรสักอย่าง ขนาดนางยังมีสภาพที่น่าหดหู่จึงไม่ต้องกล่าวถึงเด็กทั้งสองเลยว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาวะแบบไหน…
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเงิน ! นางจำเป็นจะต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อก่อร่างสร้างฐานให้กับเด็ก ๆ ได้มีชีวิตที่สดใส !
เมื่อคิดได้เช่นนั้นฟางฮั่นยกตะกร้าขึ้นหลังพร้อมกับเดินทางออกไปเขาเทพธิดา