ตอนที่ 8: แบ่งสมบัติ
การกระทำทั้งหมดของฟางฮั่นมีสามีภรรยาฟางลิ่วคอยเป็นพยาน ทั้งหมดนี้เพื่อที่จะพาเด็กน้อยทั้งสามออกไปจากขุมนรกแห่งนี้เสียที
ชาวบ้านในละแวกนี้ส่วนใหญ่ยากจน แต่ฟางจงโยว่ยังพอจะมีอันจะกินอยู่บ้าง เนื่องจากมีทรัพย์สมบัติในส่วนที่พ่อของฟางฮั่นสั่งสมมา มันยังไม่ได้ถูกแบ่งออกไปและยังไม่ได้มอบให้กับฟางฮั่น
ฟางฉางเกิ่งมีทักษะในการล่าสัตว์ เป็นเพราะเขาไม่ได้แต่งงานกับแม่ของฟางฮั่นตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่มีใครสามารถควบคุมการใช้ชีวิตของเขาได้เลย ในทุก ๆ วันเขามักจะติดตามนายพรานสองสามคนเพื่อที่จะเข้าไปในป่า บางครั้งเขาสามารถล่าสัตว์บางชนิดที่พอจะมีมูลค่านำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราเพื่อจุนเจือครอบครัวได้ เช่นนี้ไม่ว่าฟางเถียนจะรังเกียจบุตรชายคนที่สองมากแค่ไหน แต่ฟางฉางเกิ่งนั้นหาเงินได้เก่งกาจ นางจะสามารถเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งและขับไล่เขาออกจากบ้านได้อย่างไร ?
ทว่าชายผู้อุทิศตนเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวและเสี่ยงชีวิตเข้าสู่ป่าอันกว้างใหญ่ แต่ครอบครัวของเขากลับไม่เคยคิดถึงความดีที่เขาได้กระทำ ทันทีที่เขาหายตัวไปอย่างลึกลับ ทั้งภรรยาและลูก ๆ ล้วนแต่ตกอยู่ในสภาวะที่ลำบากอย่างยิ่ง อีกทั้งหลังจากที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตไปจากโรคร้าย ลูกทั้งสามกลับถูกขับไล่ออกจากบ้านในค่ำคืนที่พายุหิมะพัดกระหน่ำ !
ฟางฮั่นกำลังตั้งสติพร้อมกับจดจ่ออยู่กับเรื่องราวเหล่านั้น หัวใจของนางอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยในโชคชะตานี้
พวกเขาเหล่านี้ขูดเลือดขูดเนื้อของครอบครัวลูกชายคนรองไปมากมายเท่าไหร่กัน !
ตามหลักแล้วมันจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน หัวหน้าหมู่บ้านกำลังจัดการกับทรัพย์สมบัติของตระกูลฟางเพื่อนับว่ามีอะไรบ้างที่ต้องแจกจ่ายให้กับทางฝั่งครอบครัวของลูกชายคนรองบ้าง
มีที่ดินยอดเยี่ยมอยู่ 5 ไร่และดินไม่ค่อยดีอีก 4 ไร่ เช่นนี้จึงถูกแบ่งให้ครอบครัวของลูกชายคนรองเป็น 2.5 ไร่ในส่วนของดินดีและ 2.5 ไร่ที่หน้าดินบางกว่า ขณะนี้ฟางหมิงหวยซึ่งเป็นชายนั้นอายุเพียง 4 ขวบและพี่สาวของเขา ฟางฮั่นอายุเพียง 9 ขวบเท่านั้น หัวหน้าหมู่บ้านจึงหันไปพูดคุยกับเหล่าฟางว่าเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ให้เขาและผู้อาวุโสช่วยกันหว่านพืชผักเพื่อช่วยครอบครัวของลูกชายคนรองในการปลูกพืชต่าง ๆ แม้ฟางเถียนจะไม่ต้องเต็มใจนักกับเรื่องนี้ แต่นางก็ต้องตอบรับเพราะนี่เป็นสิ่งที่นางควรกระทำ
มีไก่ 8 ตัวและหมู 1 ตัว ได้รับส่วนแบ่งคือไก่ตัวผู้ 2 ตัวและตัวเมีย 1 ตัว ส่วนหมูจะถูกฆ่าก่อนปีใหม่ เมื่อถึงเวลาที่ต้องฆ่ามัน พวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเนื้อหมู 10 กิโลกรัม
หากไม่รวมเงินค่ายาที่หยิบยืมมาจากสามีภรรยาฟางลิ่ว เงินที่เหลืออยู่ในครอบครัวตอนนี้มีอยู่ประมาณ 5 ตำลึง 7 อีแปะ ครอบครัวของลูกชายคนรองสามารถได้รับเงินเป็นจำนวน 1 ตำลึงและ 80 อีแปะ
“เวลานี้เซียงหยู่ถึงวัยที่ควรแต่งงานแล้ว สำหรับเรื่องสินเดิม เราควรจะปล่อยให้พ่อแม่ของนางจัดการเอาเองใช่หรือไม่ ? ” หัวหน้าหมู่บ้านคิดและพูดขึ้นมา จากนั้นเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
ในครอบครัวมีบ้านมุงด้วยกระเบื้อง 3 หลังและบ้านที่มุงด้วยใบจาก 6 หลัง
ใบหน้าของฟางเถียนถูกประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ นางรู้สึกว่ามันถึงเวลาที่ควรจะพูดบ้างแล้ว “บ้านมุงกระเบื้องเป็นของอาเล็กพวกเขาและของหมิงเจียง ซึ่งในอนาคตมันจะกลายเป็นเรือนหอของพวกเขา เหล่าครอบครัวของลูกชายคนรองยังเด็กอยู่ พวกเขาไม่เหมาะกับการใช้บ้านหลังนั้นหรอก การอยู่อาศัยในบ้านมุงใบจาก 2 หลังนับว่าเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ”
ใครบางคนรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวแทรกขึ้นมา “ป้าใหญ่ ท่านช่วยเมตตาเหล่าครอบครัวของลูกชายคนรองหน่อยไม่ได้หรือ ! ”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร การแบ่งทรัพย์สินในครอบครัวควรจะเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน แม้ว่าครอบครัวของลูกชายคนรองจะต้องการแยกออกไปด้วยตนเอง แต่พวกเขาก็ควรจะได้อะไรติดมือบ้างมิใช่ถูกเอาเปรียบเช่นนี้ไหม ?
ทั้งด้านที่ดินและสัตว์เลี้ยง เหล่าครอบครัวของลูกชายคนรองนี้ล้วนเสียเปรียบอย่างยิ่ง แต่เมื่อถึงที่อยู่อาศัย หัวหน้าหมู่บ้านแอบคิดว่าผู้อาวุโสทั้งสองจะเมตตาหลานของตนเองบ้าง เป็นการดีที่เด็ก ๆ จะได้อยู่ในบ้านที่ดี แต่ท้ายที่สุดพวกเขากลับได้รับเพียงบ้านมุงใบจาก 2 หลัง !
เช่นนี้เขาจึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
หลังจากที่ถูกปลุกให้ตื่นอย่างกะทันหัน ฟางฉางอิงหยิบชุดคลุมผ้าฝ้ายพร้อมกับสวมมันแบบลวก ๆ และวิ่งมาดูครอบครัวของลูกชายคนรองที่กำลังสร้างปัญหา รอยยิ้มเยาะเผยขึ้นบนใบหน้าของเขาพร้อมกล่าวว่า “ท่านลุงกำลังเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ ? เฮอะ ทำไมเด็กนิสัยไม่ดีพวกนี้จึงต้องสร้างปัญหาให้กับพ่อแม่ของข้าอยู่ร่ำไป พวกเขาไม่อาจโต้เถียงได้เลยว่าเคยช่วยเหลือจุนเจืออะไรในตระกูลบ้าง การที่พ่อแม่ของข้ามอบบ้านมุงใบจากให้ 2 หลังนับว่าเป็นความรักที่แท้จริงแล้ว นอกจากนั้นเด็กพวกนี้ยังตะโกนโห่ร้องและต้องการออกจากบ้านไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง ทั้งไม่มีความกตัญญูรู้คุณไม่พอแต่ยังต้องการหยิบฉวยสมบัติในบ้านออกไปอีก พวกเขาเป็นตัวอย่างที่ยอดแย่และทำให้ทุกคนในบ้านทะเลาะกัน ! นี่คือความเมตตาที่สุดแล้ว อีกอย่างกระท่อมสองหลังนั้นก็ไม่ได้เลวร้าย พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นได้ตั้งนานนมแล้ว ทำไมเพิ่งจะมามีปัญหาเอาตอนนี้ล่ะ ! เป็นเช่นนี้น่ะถูกต้องแล้ว”
ฟางฉางอิงเป็นบุตรที่โง่เขลาที่สุดในตระกูล เขามักชื่นชอบการเดินตามรอยของคนโง่ ปากของเขาลื่นไหลหาตัวจับได้ยากและเขาจะเก่งกาจเป็นพิเศษเมื่อต้องกล่าวโต้เถียงเพื่อเอาชนะผู้อื่น การหว่านล้อมของเขานั้นดูเหมือนจะมีเหตุผลแต่กลับเต็มไปด้วยความเห็นแก่ได้ บุคคลที่ได้ยินประโยคเหล่านี้ล้วนแต่ตกตะลึงและไม่สามารถค้นหาคำใดมาต่อกร
ทุกคนรู้ดีและคิดในใจว่าหากอาวุโสของเจ้ามิได้รังแกและคิดหมายจะเอาชีวิตของเด็ก ๆ เหล่านี้ ใครกันเล่าจะอยากวิ่งออกจากบ้าน ?
อย่างไรก็ตามงานเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับหัวหน้าหมู่บ้านอย่างมาก แม้เขาจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่มันก็ไม่ค่อยเหมาะสมนักถ้าเขาจะเปิดปากเพื่อต่อสู้มากเกินควร
เนื่องจากว่ากระท่อมหลังนั้นไม่มีครัวเป็นของตัวเอง เหล่าเฟิงให้สัญญาว่าจะสร้างเตาเผามุงใบจากเตรียมไว้ให้ หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นก็จะปล่อยให้เด็ก ๆ อยู่กันตามลำพัง แต่ตอนนี้มันยังไม่สามารถใช้งานได้ จำเป็นจะต้องรอไปก่อน ซึ่งครอบครัวของลูกชายคนรองก็ยินยอมรับข้อเสนอแต่โดยดี
ส่วนที่เหลือนั้นเป็นเพียงทรัพย์สมบัติเล็กน้อยซึ่งไม่สามารถแบ่งกันได้ ฟางเถียนคิดมันออกมาเป็นจำนวนเงินแทน สิ่งที่บุตรชายคนที่สามได้กล่าวก่อนหน้านี้ทำให้นางค่อนข้างประทับใจ นางไม่สนใจว่าคนอื่นและฟางฮั่นจะรู้สึกอย่างไร อีกทั้งยังรู้สึกว่าครอบครัวของลูกชายคนรองเหล่านี้ช่างโอหังและเรื่องมากเหลือเกิน
แต่จริง ๆ แล้วฟางฮั่นไม่ได้คิดอะไรเลย ท้ายที่สุดแล้วนางค่อนข้างจะพอใจและรู้สึกว่าจะทำอาหารอะไรดีในบ้านของตนเอง ตราบใดที่นางสามารถแยกออกจากบ้านหลังใหญ่นี้ได้นับว่ายอดเยี่ยม สิ่งเล็กน้อยเหล่านั้นหาเอาใหม่ได้ในภายภาคหน้า
หากให้นางต้องอดทนอยู่ต่อกับครอบครัวที่น่าขยะแขยงนี้ มันจะทำให้นางรู้สึกเสียดายชีวิตที่ได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งอย่างแท้จริง
การโต้เถียงและนั่งลงคุกเข่าต่อหน้าปู่และย่าในวันนี้นับว่าเป็นการแสดงที่นางทุ่มทุนมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดมา
ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือโกหก แต่นางควรจะได้รับรางวัลตุ๊กตาทองในคราวนี้แหละ !
“เอาล่ะ นี่คือทั้งหมดสำหรับตอนนี้” หัวหน้าหมู่บ้านหยุดพูดสักครู่พร้อมไตร่ตรองบางอย่าง จากนั้นเขากล่าวต่อ “คิด ๆ ดูแล้วเหมือนว่าพวกท่านจะต้องส่งข้าวสารไปให้ครอบครัวของลูกชายคนรองนี้เป็นเวลา 1 ปีด้วยนะ”
จากนั้นสายตาของเขาพลันเหลือบไปที่เหล่าฟางพร้อมกล่าวตักเตือนเล็กน้อย “จริงอยู่ ที่ข้าไม่สามารถทำหรือพูดอะไรได้มาก... แต่คนเราก็ควรจะมีจิตสำนึกและรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองบ้าง ! ”
ฟางเถียนรู้สึกไม่เต็มใจอย่างมาก เงินที่ถูกแบ่งออกไปนั้นไม่เพียงพองั้นเหรอ ทำไมพวกเขาจึงไม่ใช้มันเพื่อซื้อข้าวเองล่ะ?
เหล่าฟางรู้สึกไม่เต็มใจด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเขาได้ยินถ้อยคำของหัวหน้าหมู่บ้าน ความทรงจำเก่าพลันผุดขึ้นมาพร้อมกับร่างกายเริ่มสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
เดิมทีฟางฮั่นรู้สึกพึงพอใจอย่างมากและตอนนี้นางกลับยิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้นอีก
หลังจากกล่าวขอบคุณอาวุโสหลายคนที่ยื่นมือช่วยเหลือ นางกลับมาที่กระท่อมอีกครั้งพร้อมกับอาหกและน้าฟาง ทั้งหมดขนย้ายข้าวของมาที่กระท่อมน้อยของตน
กระท่อมหลังเล็กนี้อยู่ที่มุมด้านหลังสุดของตระกูลฟาง ชาวบ้านทุกคนจะต้องปลูกพืชผักในไร่ของตนเองและตระกูลฟางก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน สถานที่แห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนาและบรรยากาศของท้องทุ่ง
การโต้เถียงในวันนี้นั้นยาวนาน ฟางฉือและฟางหมิงหวยยังเด็ก พวกเขาอ่อนเพลียและกำลังง่วงนอน
ฟางฮั่นและน้าฟางช่วยกันทำความสะอาดอย่างคล่องแคล่วพร้อมกับยกเตียงอิฐวางตั้งไว้ด้านใน จากนั้นเด็กทั้งสองจึงได้นอนหลับเสียที
ฟางฮั่นยื่นมือไปจับมือของน้าฟางอย่างซาบซึ้ง “น้าหก… ข้าต้องขอขอบคุณท่านมากที่ยืนเคียงข้างข้าและน้องอยู่เสมอ”
น้าฟางแตะที่มือของฟางฮั่นอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงของนางสั่นเล็กน้อยแต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ลูกเอ๋ย เจ้าขอบคุณข้ากี่ครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้เราก็ดูแลกันมาตลอดมิใช่หรือ ? วันนี้เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าและอาจะมาเยี่ยมเจ้าบ่อย ๆ นะ มีอะไรที่ขาดเหลืออีกบ้างหรือไม่ ข้าวสารเพียงพอหรือไม่ ขาดเหลือสิ่งใดเจ้าต้องบอกน้ากับอาหกอย่าได้เมินเฉยเด็ดขาด... แล้วมีเสื้อผ้าพอใส่ไหม ? อีกสองสามวันข้าจะเข้าไปที่เขตสักหน่อย เดี๋ยวข้าจะเอาผ้าผ่อนสักสองสามชิ้นกลับมาให้พวกเจ้าทั้งสาม... นี่ก็จะปีใหม่แล้ว ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่เลยแล้วกัน...”
การเอาใจใส่จากน้าฟางทำให้ฟางฮั่นรู้สึกอบอุ่นใจอย่างยิ่ง
ดวงตาฟางฮั่นเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา สายตาพลันเหลือบมองไปที่ปิ่นปักผมบนศีรษะของน้าฟาง เมื่อก่อนมันคือปิ่นทองแต่ตอนนี้กลับเป็นไม้เปลือยเปล่า ฟางฮั่นคว้ามือของน้าฟางเอาไว้อย่างมั่นคงพร้อมกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น “น้าหก ! สักวันข้าจะซื้อปิ่นปักผมทองให้น้าใช้ให้ได้ ! ”
ใบหน้าของน้าฟางตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “โธ่ เด็กดี… น้าคนนี้จะรอปิ่นปักผมของเจ้านะ ! ”