ตอนที่ 7: แยกไปอยู่ลำพัง
ชายชรารู้สึกหงุดหงิดกับภาพตรงหน้า เขายื่นบันไดไปเพื่อให้ทุกสิ่งอย่างจบสิ้นลง แต่เด็กพวกนี้ที่ยอมตายกลับไม่ยอมขึ้นบันไดที่เขาหยิบยื่นให้ เขาพยายามจะอ่อนให้ แต่หลานของเขากลับไม่ยอมรับ อีกทั้งยังเอาใบหน้าของเด็กน้อยทั้งสองมาต่อรองเพื่อให้ดูน่าสงสารมากยิ่งขึ้น !
ชายชราฟางรู้สึกรำคาญใบหน้าของฟางฮั่นขึ้นมาทันที
ใบหน้าของฟางเถียนดำคล้ำจากความโกรธ นางต้องการที่จะฉีกร่างกายของหลานสาวพยศคนนี้ให้แหลกเป็นชิ้น ๆ แต่ก็เกรงว่าเรื่องราวพวกนี้จะทำให้เส้นทางความก้าวหน้าของหลานชายต้องพังทลายลง
“พูดออกมา เจ้าต้องการอะไร ! ” ฟางเถียนตะคอกกลับพร้อมกล่าวออกไปอย่างอดกลั้น นางกำลังควบคุมอารมณ์อย่างหนักเพื่ออนาคตของหลานชาย
สักวันหนึ่งเถอะ... สักวัน…
ฟางเถียนคิดอยู่ภายในใจอย่างร้ายกาจ
ฟางฮั่นเงยหน้าขึ้นพร้อมกับพยายามกล่าวอย่างหนักแน่น “ข้าอยากให้ท่านปู่และท่านย่าได้โปรดเมตตาปล่อยให้พวกข้าออกไปใช้ชีวิตตามลำพัง ! ”
ทันทีที่นางกล่าวจบ ชาวบ้านต่างพากันแตกตื่นทันที
ชาวบ้านบางคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวแทรก “ฟางฮั่นเอ๋ย พวกเจ้าทั้งสามยังเล็กนัก จะแยกออกไปอยู่ลำพังได้อย่างไรเล่า?”
“ใช่แล้ว ข้าเห็นด้วย เจ้ายังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ซึ่งไม่เข้าใจแก่นแท้ของโลกใบนี้ด้วยซ้ำ รีบเข้าไปขอโทษท่านปู่และท่านย่าเสียเถิด จะได้กลับบ้านกัน”
“วันที่หนาวเหน็บและเต็มไปด้วยพายุนั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ดูเหมือนว่าท่านย่าของเจ้าเพียงแค่เข้าใจผิดกับสถานการณ์ก่อนหน้า ทำไมจึงคิดแค้นกันเนิ่นนานนักล่ะ ความบาดหมางเพียงชั่วข้ามคืนนั้นจงลืมมันไปเสียและกลับสู่บ้านมาเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจะดีกว่าไหม”
หลายคนกำลังเริ่มโน้มน้าว แต่ฟางฮั่นรู้สึกได้ว่าในถ้อยคำเหล่านั้น ความหมายที่แท้จริงของมันคือหยุดสร้างปัญหาเสียที
ทุกคนล้วนแต่มีครอบครัวและรู้สึกได้ว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะให้เด็กน้อยเหล่านี้ออกไปใช้ชีวิตเพียงลำพัง
ชาวบ้านหลายคนเริ่มส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา ฟางเถียนคนนั้นช่างเลวร้ายเหลือเกิน นางพาเด็กทั้งสามออกไปทิ้งในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยพายุหิมะได้อย่างไร จิตใจของนางนั้นโหดเหี้ยมเสียยิ่งกว่าพยัคฆ์ด้วยซ้ำ…
“ข้าขอขอบคุณสำหรับความห่วงใยจากพวกท่านทุกคนอย่างแท้จริง” ฟางฮั่นคุกเข่าลงที่กลางลานพร้อมกับกล่าวเสียงดัง “ฟางฮั่นคนนี้มีมือและเท้าเป็นของตนเอง ข้าสามารถทำไร่ ไถนา ปรุงอาหารและเย็บปักถักร้อยได้ ข้าจะเลี้ยงดูน้องสาวและน้องชายทั้งสองเอง ตอนนี้ข้าเพียงแค่อยากให้ท่านปู่และท่านย่าโปรดเมตตาแบ่งปันที่ทางทำกินและบ้านบางส่วนให้กับพวกเราทั้งสาม ! ”
ฟางเถียนได้ยินคำกล่าวชัดเจนหนักแน่นเกี่ยวกับการแบ่งที่ทาง นางโกรธจัดพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น ในใจของนางเริ่มไตร่ตรอง
จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้ไม่สามารถจากไปได้อย่างแท้จริงหรอกเพราะพวกเขาย่อมเชื่อในอนาคตที่สดใสของพี่ใหญ่เจียงเช่นกัน เช่นนี้การใช้เงินเพื่อให้ทั้งสามแยกออกไปคงจะเป็นการดีกว่า มันจะไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ที่สดใสนั่นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กเล็กเหล่านี้จะออกไปอยู่ข้างนอกได้อย่างไรถ้าหากปราศจากการดูแลของผู้อาวุโส ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ถ้าหากเวลานั้นเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น คนอื่นก็จะไม่สามารถกล่าวหาอะไรได้อีกต่อไปและมันก็จะไม่กระทบกับเจียงเอ๋อด้วย
ฮึ ทั้งหมดเพราะเด็กพวกนี้เป็นคนลั่นวาจาเองว่าต้องการที่จะแยกออกไป !
ดวงตาของฟางเถียนกำลังกรอกไปมาอย่างครุ่นคิด นางตระหนักถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับหลังจากยอมเสียเงินและแบ่งปันทรัพย์สินของตระกูลอย่างไม่เต็มใจ แต่อย่างไรมันก็ย่อมดีกว่าการต้องทนเห็นหน้าของทั้งสามทุกวัน คำสาปแช่งในอดีตยังคงติดตรึงอยู่ในใจของนางเสมอ นางไม่ต้องการระลึกถึงความแค้นเหล่านั้นอีกแล้ว !
ท้ายที่สุดแม้ว่าเด็กทั้งสามจะตายตกจากไปหลังจากแยกออกไปอยู่ลำพัง ทรัพย์สินเหล่านั้นก็จะกลับคืนมาสู่นางเช่นเดิมมิใช่หรือ ?
“เฮอะ ผู้อาวุโสยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ แต่กลับมาขอทรัพย์สินเพื่อแยกบ้านงั้นเหรอ ! ” ฟางเถียนเริ่มดุด่าด้วยเสียงแหลมบาดหู พลันนางเห็นใบหน้าของฟางฮั่นกระตุก จิตใจของนางพลันว้าวุ่นทันทีเพราะเกรงกลัวว่านางจะเปลี่ยนใจและยอมอยู่ต่อในบ้านหลังนี้
“ลืมที่ข้าพูดเมื่อกี้ซะ อย่างไรพวกเราย่อมไม่คุ้นเคยกับพฤติกรรมของจิ้งจอกอย่างเจ้าอยู่แล้ว เอาล่ะ ข้าจะยอมแบ่งปันทรัพย์สินให้ นี่คือการให้พรครั้งสุดท้าย ! ” นางรีบตกลงตามข้อเรียกร้องทันที
ส่วนปู่ของนางกลับยืนสั่งสอนและตะคอกเสียงดังอยู่นาน เขาเกิดมาพร้อมกับการเลี้ยงดูที่โหดเหี้ยม ลูกหลานมากมายรายล้อมล้วนแต่เชื่อฟังและเป็นเด็กดี
แต่สิ่งที่ฟางฮั่นกล่าวออกมาวันนี้คืออะไร?
เขาจึงคิดว่าจะปล่อยให้ทั้งสามเผชิญกับชะตากรรมอันโหดเหี้ยมไปก่อน ไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา ถ้าได้พบเจอกับความยากลำบาก เดี๋ยวก็คงคิดได้เองว่าการเชื่อฟังผู้อาวุโสเป็นเรื่องที่ควรกระทำ !
ส่วนฟางฉางจวงซึ่งเป็นบุตรคนโตนั้นไม่ได้กล่าวอะไรกับเรื่องนี้
หลานสาวชั่วร้ายคนนี้สาดน้ำสกปรกใส่บุตรสาวของเขา ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังน่ารำคาญ เช่นนี้เขาจึงไม่คิดจะโต้แย้งอะไรสำหรับอะไรก็ตามที่จะกำจัดขยะเหล่านี้ออกไปจากบ้าน
ฟางเถียนมองไปที่ชายชราสลับกับบุตรชายคนโต ทั้งสองไม่ได้โต้แย้งอะไรอีกต่อไป นางจึงตัดสินเรื่องราวทันที “ตกลง ข้าจะทำตามที่พวกเจ้าร้องขอในวันนี้ ! เอาล่ะ ไปเรียกหัวหน้าหมู่บ้านมาเพื่อเป็นพยานเรื่องนี้เถิด อย่างไรพวกเราก็ไม่อาจจ่ายเงินมากโขให้กับผู้อาวุโสที่ไร้ยางอายตรงหน้านี้ได้ เฮอะ เลี้ยงดูกันเพียงสองสามวันกลายเป็นจิ้งจอกพยศเต็มตัวได้แล้ว ! ”
ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ยังต้องการที่จะเอาชนะในความพ่ายแพ้อยู่ดี
ฟางฮั่นแอบเบะปากอย่างอดไม่ได้ นางรำคาญที่จะโต้เถียงกับฟางเถียน คำพูดสุดแสนอัดอั้นกล่าวออกมาอย่างคับข้องใจ “แต่ข้าเป็นหนี้อาลิ่วเพราะพวกเขาซื้อยาให้กับข้าตอนป่วยหนัก...”
ใบหน้าของฟางเถียนมืดบอดและอยากจะกรีดร้องใส่หน้าของนางอย่างบ้าคลั่ง แต่จิตใจของนางพยายามที่จะอดกลั้นสิ่งต่าง ๆ เอาไว้พร้อมกับนึกถึงความสบายตาสบายใจหลังจากที่พวกมันแยกออกไป
นางกล่าวผ่านไรฟันอย่างฝืนใจ “เรื่องแค่นั้น... ย่าจะใช้หนี้ให้เจ้าเอง...”
ฟางฮั่นเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกับพาน้องทั้งสองลุกขึ้นยืนอย่างมีความสุข
ทุกคนเห็นว่าเรื่องราวทั้งหมดสามารถตกลงกันได้แล้ว ไม่มีอะไรให้ดูอีกต่อไป ชาวบ้านเริ่มแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน
ภายในฝูงชนที่มุงดู มีเด็กคนหนึ่งสวมใส่ฮั่นฝูสีเขียวอ่อน เขาอายุราวเจ็ดถึงแปดปี ใบหน้าที่สะอาดสะอ้านทำให้ดูน่ามอง เขากำลังกัดนิ้วของตนเองและเดินออกไปจากหมู่บ้านอย่างเชื่องช้า
องครักษ์ที่ติดตามมองหน้ากันสลับไปมาอย่างไม่เข้าใจ แต่พวกเขาก็ยังคงเดินตามเด็กน้อยอย่างเงียบเชียบ
ถ้าใครสักคนที่พอจะมีความรอบรู้อยู่ที่นี่ คงจะพอเดาได้ว่าเด็กคนนี้มิใช่คนธรรมดาด้วยไป เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่นั้นเป็นการทอชนิดพิเศษและมันเป็นเส้นด้ายพิเศษที่ผลิตขึ้นเพียงชิ้นเดียวในทุกปี
หากมองผ่าน ๆ ราวกับว่าบางเบาไม่น่าสนใจ แต่ความจริงมันทั้งให้ความอบอุ่นอย่างมาก
เด็กน้อยคนนี้สวมฮั่นฝูที่ผลิตขึ้นจากเส้นด้ายเทียนหลิง !
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่ง !
เด็กน้อยปีนขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้านพร้อมกับร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น “ท่านอาเล็ก ! ข้าได้พบเจอกับเรื่องราวน่าตื่นเต้นด้วยแหละ”
ครู่หนึ่งเสียงที่ไร้อารมณ์ดังขึ้นมาจากรถม้า “โอ้ งั้นหรือ ? ”
เสียงดังเปล่งออกมาอย่างไม่ค่อยยินดียินร้าย แต่ผู้ฟังกลับไม่ได้สนใจในน้ำเสียงเหล่านั้นเลย
ไม่ว่าอย่างไร เด็กย่อมไม่รู้ว่าน้ำเสียงเหล่านี้แปลว่าอะไร เด็กชายเคลื่อนตัวเข้าไปในรถม้าพร้อมกับหัวเราะออกมาจากด้านหลังของม่าน “ข้าได้เห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้า นางพาน้องสาวและน้องชายของตัวเองเข้าไปขอร้องให้ปู่กับย่าปล่อยให้พวกนางออกไปใช้ชีวิตลำพังที่โลกภายนอก”
“โอ้...” สายลมพัดผ่านเผยให้เห็นใบหน้าของชายผู้ที่อยู่ด้านหน้าของม่านอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มคนนั้นอายุราว ๆ สิบห้าถึงสิบหก แม้ว่าเขาจะดูอ่อนเยาว์ แต่ใบหน้านั้นเกินกว่าอายุไปนิดหน่อย อีกทั้งมันยังไร้ซึ่งชีวิตชีวาอีกด้วย แววตาเย็นชาราวกับไม่สนใจในโลกใบนี้แม้แต่น้อย
ใบหน้าที่งดงามได้รูปราวกับเมฆขาวลอยเด่นบนท้องฟ้า ความงดงามระหว่างภูเขาและแม่น้ำตัดผ่านราวกับถูกวางไว้บนใบหน้าที่เย็นชานี้ทั้งสิ้น ความเย็นเยือกของดวงตาฉายแววไม่สนใจสิ่งเร้าหรือใด ๆ แต่ไม่ว่าหญิงใดที่ได้พบกับชายหนุ่มคนนี้ หัวใจของพวกนางล้วนสั่นไหวได้จากระยะไกล ไม่เคยมีใครที่ปฏิเสธเขาเลยในชั่วชีวิตนี้
ชายหนุ่มนั่งอยู่บนรถม้าและตวัดดวงตาออกไปอย่างเย็นชา ชุดฮั่นฝูสีเขียวชนิดเดียวกับเด็กชายคลุมไหล่ของเขาเอาไว้อย่างหละหลวม ใบหน้าแข็งทื่อนั้นยิ่งทำให้รู้สึกว่าไร้ชีวิตชีวามากขึ้น
เด็กที่อยู่ในรถม้าด้วยกันพลันนึกถึงเรื่องราวน่าตื่นเต้นก่อนหน้าพร้อมกับหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
“ท่านอาเล็ก ถ้าข้าพูดแบบนั้นกับท่านปู่บ้าง เรื่องคงจะจบลงที่ข้าถูกตบจนกระเด็นแน่นอน...”
รถม้าค่อย ๆ แล่นออกไป เสียงของล้อที่ดังอยู่ในตอนแรกค่อย ๆ เบาลงและเงียบหายไปในที่สุด...