ในป่าอันมืดมิดที่ปกคลุมด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน พร้อมมีใบไม้ที่เหี่ยวแห้งและสีเหลือกระจัดกระจายอยู่บนพื้นดินจนกลายเป็นกองสูงนั้น ก็ได้มีร่างเงาเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในพื้นที่โล่งในป่าไม้นั้นร่างของโจว หยวนก็พลันลอยบลงมา เขานั้นจับจ้องไปด้านหน้าด้วยใบหน้าจริงจัง ด้านหน้าของเขานั้นมีร่างสีดำที่มีเขา 2 ข้างสีเงินกำลังจ้องมาทางเขา
มันคือสัตว์อสูรก่อเกิดระดับที่ 1 สัตว์อสูรเขาเงิน
บู๋ววว
สัตว์อสูรเขาเงินคำรามแล้วง้างกรงเล็บขึ้นต่อมานั้นร่างของมันก็ได้พุ่งเข้ามาราวกับเงา มันหวังจะขย้ำโจว หยวน ด้วยกรงเล็บนั้น แต่ทว่า
"ย่างก้าวมังกร "
ความเร็วของสัตว์อสูรเขาเงิน นั้นสูงมาก โจว หยวนไม่กล้าประมาทจึงเริ่มเคลื่อนไหวทันที ทำให้ร่างของเขานั้นพลันจางลงจนพล่าเลือน
วูบบบ
กรงเล็บของมันนั้นได้ฟาดมาที่โจว หยวนผ่านร่างของโจว หยวนไปในทันที
ต่อจากนั้นโจว หยวนก็ไม่รอช้า กำหมัดแน่นพร้อมโคจรพลังปราณมาที่ฝ่ามือพร้อมชกไปที่หลังของสัตว์อสูรเขาเงิน
ตูมมม
ร่างของสัตว์อสูรเขาเงิน พลันลอยไปตามแรงและตกลงสู่พื้นดินทันที และเมื่อมันตั้งตัวได้มันก็หันหางฟาดกลับมายังแขนของ โจว หยวน
เมื่อถูกหางฟาดไปนั้นโจว หยวนพลันกระโดดถอยออกมานับสิบก้าว
เขานั้นไม่สนใจอาการปวดบนแขน แล้วโคจรพลังปราณและรวมมันมาที่ฝ่ามือทันที
"กรงเล็บมังกร ทลายภูผา "
เสียงที่ต่ำและลึกมันผัดผ่านสายลมอันเบาบัง อีกทั้งยังมีเสียงก้องเล็กน้อยดังขึ้นอีกด้วย
ปุ้งงง!
ไม่ทันที่อสูรเขาเงินได้ตั้วตัว โจว หยวน ก็ชกลงไปที่หัวของมันดัง ปั้ง ด้วยพลังของฝ่ามือนี้ทำให้หัวของสัตว์อสูรเขาเงิน โดนกดทิ้มสู่พื้นดินพร้อมกับร่างของมันที
หลังจากฆ่าสัตว์อสูรเขาเงิน โจว หยวนก็พลันผ่อนคลายลง ร่างที่เคยตึงเครียดนั้นก็พลันผ่อนคลายลง
ฟุ่บบบ
ในขณะที่เขาผ่อนคลายลงด้านหลังเงาร่มไม้ก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยเขี้ยวอันคมกริบหวังโจมตี ไปที่คอของโจว หยวน
"รูปลักษณ์ศาสตรา "
โจว หยวนกล่าวขึ้น
พร้อมกับเกิดประกายแสงในนมือเขา แปลงขนาดเล็กนั้นได้กลายเป็นหอกทรงดอกบัว แทงเข้าไปในปากของเงานั้นตอกตัวมันไว้กับลำต้น
ต่อจากนั้นโจว หยวนก็ถอนหอกออกมาแล้วดูไปที่เจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นก็พบว่ามันเป็นงูสีดำตัวหนึ่ง
เจ้างู นี้ก็คือ หลามเงา อสูรปราณระดับหนึ่ง
"เจ้าก็เอาด้วยหรือ " โจว หยวนมองไปยังศพงูตัวนั้นแล้วก็ยิ้มขึ้น เพราะการที่จะฆ่าเขานั้นไม่ง่ายเลย เพราะจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ก้าวถึงขั้นเที่ยงเท็จ มันทำให้ประสาทสัมผัสของเขาเฉียบคมยิ่งขึ้น บางทีหากไม่เป็นเช่นนั้นเขาอาจจะโดนมันฉกก็เป็นได้
โจว หยวนถอนหอกพู่กันปฐมสวรรค์ออกและคืนสู่รูปลักษณ์เขียนพร้อมเก็บมันเข้าหน้าอกไป เขานั้นก้าวเข้าไปเก็บศพหลามเงาและสัตว์อสูรเขาเงิน มาพาดไว้ที่บ่าแล้วก้าวออกจากป่าไป
เมื่อเดินออกจากป่าได้ราวๆสิบกว่านาที เขาก็มาถึงหุบเขาลูกหนึ่ง ในหุบเขานั้นก็มีเหยาเหยาที่กำลังนั่งอยู่บนโขดหิน ท่ามกลางป่าสีเขียวมรกตพร้อมเปลือยเท้าแช่น้ำในลำธาร พลางมอง ถุนถุน ว่ายน้ำเล่นไล่จับปลาอย่างเมามันส์
เมื่อได้ยินเสียงคนเดินมา เหยาเหยาก็หันหน้าไปหาเขากล่าวว่า: "ครั้งนี้นับว่าเจ้าทำได้ดี ไม่มีอาการเจ็บปวดเลย "
โจว หยวน โยนสัตว์อสูรปราณลงบนพื้น เมื่อได้ยินคำพูดของนางเขาก็อายเล็กน้อยเพราะนี่คือวันที่ 5 ที่เขาเข้ามาในป่าเพื่อล่าสัตว์อสูรปราณแล้ว
ใน 5 วันที่ผ่านมานี้ร่างของเขานั้นเต็มไปด้วยรอยแผลมีรอยกัดของสุนัขที่ลึกถึงกระดูก ด้วยเวลาเหล่านั้นทำให้โจว หยวนเข้าใจว่าหากเขาชะล่าใจแม้เพียงชั่วครู่เดียวมันก็หมายถึงชีวิต
เหล่าสัตว์อสูรปราณนั้นเอาตัวรอดได้โดยการฆ่าฟันเหยื่อ มันต่อสู้เพื่อความอยู่รอด หากโจว หยวนนั้นหวาดกลัวที่จะฆ่าพวกมันเขาก็มิอาจออกจากหุบเขานี้ไปได้
อย่างไรก็ตามในการล่าหลายมาวันนี้ แม้ว่าจะอันตราย แต่โจว หยวนนั้นก็พัฒนาขึ้นไม่น้อยเลย ในอดีตท่าทีของเหมือนเป็นบัณฑิตที่ใฝ่เรียนหมกหมุ่นในสำนัก
แต่ตอนนี้เมื่อได้เข้าสู่การต่อสู้อันมีชีวิตมาเกี่ยวพันธ์มันทำให้กลิ่นอายของเขานั้นน่าเกรงขามยิ่งขึ้น
"เก็บเลือดสัตว์เหล่านี้ไว้ด้วยล่ะ ยิ่งเลือดบริเวณหัวใจนั้นจะมีปราณชั่วร้ายหนาแน่นที่สุด "เหยาเหยา โยนขวดหยก 2 ขวด ให้เขาแล้วกล่าวขึ้น
โจว หยวนพยักหน้ารับ และผ่าเปิดร่างของสัตว์อสูรปราณ ทั้ง 2ด้วยมีดและเจาะเข้าไปที่หัวใจเผื่อถ่ายเลือดลงในขวดหยก
"ตอนนี้เจ้าฆ่าสัตว์ปราณไปแล้ว 15 ตัว เด็ดไปอีก 11 หัว "เหยาเหยานั้นก้าวเท้าขึ้นบนก้อนหินเผยให้เห็นผิวที่ขาวราวกับหิมะบนขางนาง
โจว หยวนพยักหน้ารับ เขารู้ว่า 36 อสูรเบิกชีพจรนั้น มันต้องใช้สัตว์อสูรปราณระดับ 1 ที่แตกต่างกัน 36 ชนิด ดังนั้นมันจึงใช้เวลานาน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นที่น่ากังวลนักเพราะเขาคิดจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก
เขารู้สึกว่าทุกๆวันที่เขาได้อยู่ที่นี่ ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น หาใช่ด้านพละกำลัง แต่เป็นด้านจิตใจ อย่างน้อยๆในตอนนี้เขาก็มั่นใจแล้วว่าหากเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อีกหลายวันในป่าดำ เขาก็จะสามารถรอดออกมาได้
...
ในขณะที่โจว หยวน กำลังไล่ล่าสัตว์อสูรปราณในหุบเขาพฤกษาทมิฬนั้น ในเมืองต้าโจว ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น เรื่องที่สำคัญที่สุดคือวังราชันย์ฉี นั้นได้ถูกขโมยบางสิ่งที่สำคัญออกไป จึงทำให้วังราชันย์ฉี นั้นค้นหาเหล่าโจรอย่างวุ่นวาย
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องของ วังราชันย์ฉี ดังนั้นผู้คนจึงรอคอยดูผลเท่านั้นและไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
แต่แล้วต่อมาอีก 2 วัน นับจากถูกขโมยเข้า วังราชันย์ฉี ก็ได้ส่ง ฉี หลิง พร้อมทหารหน่วยหนึ่งออกจากเมืองตรงไปยัง หุบเขาพฤกษาทมิฬ เพื่อที่จะค้นหาร่องรอยของโจรร้าย
เมื่อมาถึง หุบเขาพฤกษาทมิฬ ฉี หลิงก็ไขว้หลังและมองตรงไปยังเทือกเขาทันที
"นายท่านฉี พวกมันเข้ามาในหุบเขาพฤกษาทมิฬจริงๆด้วย พวกเราใกล้จะพบตัวพวกมันแล้ว .” ด้านหลังเขาก็มีผู้คนกล่าวเสียงเบาๆ
ฉี หลิงพยักหน้าเล็กน้อยกล่าวว่า: "เตรียมตัวค้นหาให้ทั่วหุบเขา พวกเราจะไปหา ลู่ เถียซานก่อน "
"รับทราบ " คนที่อยู่ด้านหลังกล่าวตอบด้วยเสียงเบาๆ แล้วนำคนกว่าสิบร่างตรงเข้าไปยัง หุบเขาทันที
หลังจากนั้นอีกครึ่งวัน
สถานที่แห่งนึงในหุบเขา ใต้ต้นไม่ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง ลู่ เถียซาน พลันลืมตาขึ้นพร้อมมองเข้าไปในป่ากล่าวด้วยน้ำเสียงดุร้ายว่า "นั้นใคร?!”
ด้านหลังของเขานั้นมีร่างถือดาบหลายร่างปรากฏขึ้น
"หึหึ พี่ชาย ลู่ อย่าได้วิตก นี่ข้าเอง " เสียงหัวเราะดังขึ้นจากป่านั้น ฉี หลิงนำผู้คนก้าวเข้ามา
"ฉี หลิง งั้นรึ ? " ลู่ เถียซาน กล่าวด้วยความตกใจหลังจากนั้นก็ถามขึ้นว่า "เจ้ามาทำอะไรที่นี่ "
"วังราชันย์ถูกโขมยของไป แล้วพวกโจรก็หนีเข้ามาที่นี่ข้าจึงนำคนไล่ตามมา " ฉี หลิงกล่าว
ลู่ เถียซาน ขมวดคิ้วเล็กน้อย เรื่องนี้นั้นเขาได้ยินเมื่อ 2 วันก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มิอาจประมาทได้ จึงกล่าวกับเหล่าองครักษ์ด้านหลังว่า: "ส่งองครักษ์ 2 นาย ไปคุ้มครององค์ชาย "
ฉี หลิง ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็มองไปที่หลัง ลู่ เถียซานพร้อมเอามือไขว้หลังส่งสัญญาณให้คนของเขาตรงไปอย่างลับๆ
. . .
ในหุบเขาแห่งหนึ่ง เหยาเหยาที่นั่งห้อยขาอยู่บนโขนหิน ขณะที่กอดถุนถุนเอาไว้ อีกทั้ง ยังปล่อยผมลงมาด้านหลังข้างนางนั้นได้มีใบไม้สีเหลืองตกลงมาเรื่อยๆ ส่งผลให้เป็นภาพที่งดงามมากนัก
แฮ่~~~~~
ทันใดนั้นเจ้าตัวขี้เกียจ ถุนถุน ที่เหยาเหยากอดอยู่ ก็พลันขู่คำรามในลำคอพร้อมมองไปยังทีที่หนึ่ง
ทางเหยาเหยาเอง ก็ขมวดคิ้วบางๆ และมองไปยังทางนั้นเช่นกัน
"หึหึ ไม่คิดเลยว่าในหุบเขาเช่นนี้จะพบ หญิงงามถึงเพียงนี้ อาศัยอยู่ " เสียงที่แฝงไปด้วยเจตนาชั่วร้ายดังขึ้นจากเงามืดพร้อมร่าง 2 ร่างค่อยๆก้าวออกมา
ร่าง ทั้ง 2 นั้นราวกับเป็นพยัคฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่นำมานั้น มีรวดรายเต็มหน้า ทำให้เขานั้นดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง ในตอนนั้นทั้ง 2 ต่างจ้องมองเหยาเหยา ราวกับจะกลืนกินนางไปทั้งตัว
"ลั่ว ถง เจ้าตามหาเป้าหมายก่อน เขาคงอยู่ไม่ไกลแล้ว " ชายที่มีรอยบนหน้ากล่าวขึ้นกับชายที่อยู่ไม่ไกล
แม้ว่าปากจะกล่าวแต่ดวงตาของเขาก็จ้องมองเหยาเหยา ไม่ขยับเลย
"เจ้าเด็กนั่นน่าจะเบิกเพียง 4 ชีพจร ผู้เบิก 6 ชีพจรเช่นเจ้าคงสู้เขาได้อยู่แล้ว "
ชายนามลั่ว ถง ได้ยินเช่นนั้นแม้จะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็มิกล้าขัดคำสั่ง เพราะผู้กล่าวนั้นได้ก้าวสู่ขอบเขต บ่มเพาะพลังปราณ แล้ว
"หัวหน้า จัดการสตรีนางเสร็จแล้ว เก็บไว้ให้ข้าเล่นกับนางด้วยล่ะ ในชีวีตนี้ข้าไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามเช่นนางมาก่อนเลย " ลั่ว ถง เลียปากกล่าว
"ฮ่า ฮ่า วางใจได้ เมื่อเจ้ากลับมา ข้าจะให้เจ้าได้เล่นกับนางอย่างแน่นอน " ชายที่มีรอยบนใบหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
"เยี่ยม " ลั่ว ถง ได้ยินเช่นนั้นพยักหน้าแล้วทะยานเข้าป่าไป
เมื่อเห็นลู่ ถงจากไป ชายผู้นั้นก็ยิ้มขึ้นแล้วหันไปมองเหยาเหยา ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
"สาวน้อยผู้งดงามเอ๋ยมาหาบิดาเถิด บิดาจะไม่ทำให้เจ้าต้องเสียใจแน่นอน " ชายคนนั้นคิดจะครอบครองเรือนร่างของ เหยาเหยา ทันทีที่มันสัมผัสได้ว่าไม่พบกลิ่นอายพลังปราณ มันก็ก้าวไปหา เหยาเหยาด้วยรอยยิ้มต่ำช้า
เหยาเหยา เห็นเช่นนั้นดวงตาที่เป็นทอประกายความเย็นชา นางจับจ้องไปที่ชายคนนั้นด้วยความรังเกียจ
"ถุนถุน "
ต่อมา เหยาเหยา ก็ได้เปิดปากขึ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
สิ้นเสียงของเหยาเหยา ชายผู้นั้น ก็พลันกังวลทันที เพราะถุนถุน ที่เหยาเหยา ปล่อยลงอยู่ๆก็พลันขยายร่างขึ้น ดวงเนตรของมันพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ และปลดปล่อยพลังปราณรุนแรงออกมา ในปากของมันก็พลันเปิดออก เผยให้เห็นถึงมิติสีดำที่ราวกับสามารถกลืนกินทุกสิ่งสรรพสิ่งลงไปได้
ในเวลาสั้นๆ สัตว์เลี้ยงตัวน้อยน่ารัก ก็ได้กลายเป็นอสูรร้ายลึกลับที่มีปราณชั่วร้ายอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งกลายเป็นภาพที่น่าตกตะลึง เขย่าขวัญผู้คนยิ่ง
จบตอน 39