Chapter 25: ความเชื่อ
“ พ่อกับแม่ให้ผมอยู่บ้านเองก็ได้ ดูสิ วันนี้อากาศดีจะตาย ! ทำไมไม่ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะในเมืองรึอ่างเก็บน้ำดู ? ที่นั่นต้องมีคนอยู่เยอะแน่ๆ เพราะนั้นนี้ผมทำงานมาเหนื่อย ผมน่าจะอยู่เฝ้าร้านให้เอง ! “
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว จางเทีย ก็ได้ทำความสะอาดบ้านและบอกให้พ่อกับแม่ออกไปเที่ยวข้างนอก พ่อเขาทำงาน 6 วันต่ออาทิตย์ซึ่งหมายความว่าเขาไม่ค่อยได้สูดอากาศดีๆเท่าไหร่ แม่เขาเองยิ่งน่าสงสารกว่า เธอต้องอยู่ร้านเบียร์ข้าว 6 วันเหมือนกัน ดังนั้นทุกวันหยุดเพื่อที่จะให้พ่อกับแม่ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นมาบ้าง เขาก็เลยมักจะกล่อมให้พวกนั้นออกไปเดินเล่นเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ ส่วนเขาเองจะรับหน้าที่เฝ้าร้านเบียร์ข้าวให้เอง
เมื่อเห็นลูกชายทำตัวเชื่อฟังและเป็นเด็กดีแบบนี้พ่อกับแม่จึงดีใจ แต่ตอนทั้งคู่ออกไป แม่ของเขาก็ยังมาพึมพำบางอย่างกับ จางเทีย – “ อย่าขึ้นราคาเบียร์นะ บอกลูกค้าประจำเรื่องของขึ้นราคาด้วย บอกพวกนั้นว่าถ้าราคายังสูงอยู่แบบนี้พวกเราต้องเพิ่มราคากันนิดหน่อย เพราะพวกนั้นเป็นลูกค้าประจำอย่าทำให้พวกนั้นรู้สึกว่าเราทำตัวโลภ ! “
“ ผมรู้น่าแม่ แม่บอกมา 30 รอบได้ละมั้ง ผมน่ะโตแล้วนะ ! “ - จางเทีย อธิบาย - “ ผมน่ะอายุ 15 แล้วนะ แม่ไม่ต้องบอกซ้ำเหมือนผมเป็นเด็กก็ได้ นี่แม่เหมือนดูถูกผมเลยนะเนี้ย ! “
“ แม่พูดไม่ถึง 30 ครั้งซะหน่อย อย่างมากก็ 5 ครั้งเอง ! “ - แม่ทำท่ามอง จางเทีย แบบหงุดหงิด ในเวลาเดียวกันเธอก็ทำท่าจะดึงหู จางเทีย จางเทีย รีบผงะถอยแล้วยิ้มให้กับแม่ เขาวิ่งกลับไปที่ร้านเบียร์ข้าวและตะโกนกลับมา – “ เบียร์ข้าวของครอบครัวจางสดๆใหม่ๆ ทั้งหอม,หวานและอร่อย ผู้ชายน่ะจะแข็งแรงขึ้นถ้ากินมันและผู้หญิงจะสวยกว่าเดิม เฮ้ คนที่ผ่านไปผ่านมาน่ะแค่ 6 ทองแดงต่อถ้วยเท่านั้น ขายถูกกำไรน้อยนะครับ...”
“ เด็กนี่... “- แม่เขาส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา
……
เมื่อเห็นพ่อและแม่เขาเดินจากไปแล้ว จางเทีย ก็เอามือเท้าคางพร้อมกับมองดูพ่อแม่ที่เดินจากไป แม้ว่าพวกเขาจะแต่งงานกันมาหลายปีแต่พวกเขายังคงจับมือกันไปไหนมาไหนตลอดซึ่งมันทำให้ จางเทีย รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่แค่คู่รักที่แต่งงานกันเฉยๆแต่ยังรักและหวงแหนกันด้วย นี่ทำให้ จางเทีย มีรู้สึกแบบอธิบายไม่ได้ขึ้นในใจ
“ นั่นคือความรักเหรอ ? “ – จางเทีย สงสัย เอาจริงๆเขาไม่ค่อยมีความรู้สึกในเรื่องแบบนี้ เมื่อเห็นพ่อกับแม่ทำดีต่อกัน เขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา
เมื่อพวกนั้นเดินจากไปแล้วเขาก็กลับเข้าไปนั่งเซ็งๆในร้าน เขาเอาไม้ตีแมลงวันมาไล่แมลง เพราะเบียร์ข้าวนี่มีกลิ่นหวานจึงเป็นธรรมดาที่จะมีพวกแมลงเข้ามาตอมและอีกอย่างวันนี้ยังร้อนอีกด้วย หน้าร้อนนั้นจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือน ตอนที่หน้าร้อนมาถึงพวกเขาจะเอาไม้ไผ่มาติดที่ประตูร้านเพื่อกันไม่ให้แมลงเข้ามาแต่นั่นมันก็บังเคาเตอร์ไปด้วยซึ่งทำให้ยอดขายน้อยลงไปอีก เรื่องนี้มันเกิดขึ้นทุกปี
ตอนบ่ายพระอาทิตย์ยังคงขึ้นสูง นกเริ่มโผล่ออกมาจากรังและร้องส่งเสียงดังไปทั่วท้องถนน
มีป้ายห้อยอยู่ที่หน้าร้าน – “ ขออภัยเพราะราคาข้าวและวัตถุดิบอื่นๆที่เพิ่มขึ้น เราน่าจะเพิ่มราคาเบียร์ข้าวขึ้น...”
“ พ่อ ถ้าเป็น ดอนเดอร์ นะเขาจะเพิ่มราคาขึ้นทันทีถ้ารู้ว่าข้าวขึ้นราคา “ – จางเทีย ชมออกมา
หลังจากนั่งอยู่ในร้านก่วาครึ่งชั่วโมง จางเทีย ก็ขายเบียร์ข้าวไปได้ 7-8 ถ้วยแล้ว เขาเอาเงินที่ได้มาเก็บใส่ลงในลิ้นชักและเก็บถ้วยไปล้าง เมื่อมองไปที่พระอาทิตย์ที่ส่องแสงมันก็ทำให้เขารู้สึกหมดแรงขึ้นมา เขารู้สึกเบื่อ น่าแปลกใจที่เขายังอยู่ในร้านทั้งๆที่เด็กคนอื่นๆกลับออกไปเล่นข้างนอก ! แต่ยิ่งเขาเบื่อมากเท่าไหร่เขายิ่งชื่นชมแม่ตัวเองมากขึ้นเพราะเธอน่ะอยู่ที่นี่มานานกว่า 20 ปีแล้ว
คนที่ทำอะไรบางอย่างซ้ำๆน่ะมักจะรู้สึกเบื่อ จางเทีย เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ครั้งนี้เขาได้ลองฝึกคิดเลขในใจดูโดยมันแบ่งเป็นหลายขั้น ขั้นที่ต่ำที่สุดคือที่เขาทำได้เมื่อคืน ก่อนที่เขาจะใช้ลูกคิดในใจได้เขาต้องหลับตาและคิดอยู่สักพัก ในขั้นที่สองนั้นเขาไม่ต้องหลับตาด้วยซ้ำแค่ประพริบตาเขาก็นึกภาพลูกคิดขึ้นมาและใช้มันได้ทันที ยังไงซะนี่ก็เป็นทักษะการคิดเลขในใจซึ่งหมายความว่ามันเป็นทักษะที่เอาไปใช้ได้จริง มันจะไร้ประโยชน์ถ้าคุณใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะนึกภาพลูกคิดขึ้นมาในหัวได้
ในขั้นที่สามเพื่อให้ถึงแก่นการคิดเลขในใจ คนๆนั้นต้องนึกภาพและตอบคำตอบออกมาได้ทันทีในตอนที่เห็นคำถาม ขั้นนี้นั้น คนๆนั้นควรจะสร้างลูกคิดที่มีแถวแนนนอน 2-11 แถวรึบางทีอาจจะมากกว่า ส สุดท้ายแล้วคนๆนั้นต้องสร้างลูกคิดขึ้นมาได้หลายอันและตอบคำถามออกมาได้ในพริบตา นี่แหละคือขั้นสูงสุดของการคิดเลขในใจ เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วพวกเขาจะถือว่าเป็นสุดยอดเครื่องคิดเลขเลยก็ว่าได้
จางเทีย สงสัยว่ามันเป็นไปได้มั้ยที่มนุษย์จะไปถึงขั้นนั้นได้แต่ในตอนที่เขาจำคำพูดที่ว่า ‘ หนังสือนอกเวลาสำหรับเด็กประถม ‘ จางเทีย ก็ต้องถอนหายใจออกมา เขาไม่ได้เปรียบเทียบกับตัวเองและไม่ได้โกรธ – “ อะไรคือเด็กประถมวะ ? พวกนั้นต้องฉลาดโครตๆแน่ “ - สุดท้าย จางเทีย ก็รู้สึกว่าหนังสือนี่คงได้มาจากซากปรักหักพังจริงๆ เพราะยุคก่อนเกิดภัยพิบัตินั้นเป็นยังไงไม่มีใครรู้ สิ่งของต่างๆที่มาจากซากพวกนั้นจึงเป็นของแปลกและน่าอัศจรรย์ คริสตัลแพงๆที่ใช้ไว้ในการบ่มเบาะในยุคนี้เป็นแค่ของประดับในยุคนั้น แล้วถ้าหนังสือแปลกๆนี่เป็นหนังสือนอกเวลาของนักเรียนประถมจริงๆล่ะ ?
“ ช่างเถอะ ฉันจะลองเรียนรู้มันดู ดูเหมือนว่าฉันจะฟื้นฟูพลังวิญญาณได้จาการฝึกคิดเลขในใจได้ “ – จางเทีย ตั้งใจยืนยันคำตอบนี้แต่ในตอนที่เขาคิดถึงคำว่า ‘ ช่างเถอะ ‘ ลูกคิดที่เขาคิดอยู่ในหัวก็พังลงไปทันที
เป็นธรรมดาที่เขาต้องรักษาสมาธิเอาไว้....
เขาพบว่านี่มันเป็นเรื่องยากที่ยอมรับ
จางเทีย ได้ลองทำอยู่หลายครั้งและได้ย่นเวลาที่ใช้ในการสร้างลูกคิด 3 แถวจาก 10 นาทีมาเหลือประมาณ 5 นาทีได้ อยู่ๆตอนนั้นก็มีคนสองคนโผล่มาอยู่ตรงหน้า จางเทีย
ไอ้อ้วน แบร์ลี่ กับ ดั๊ก นั้นปั่นจักรยานมาอยู่ตรงหน้าเขา ดั๊ก ปั่นด้วยท่าทีแปลกๆแต่ก็ดูสนุก เหงื่อเขาผุดออกมาเต็มหน้าผาก ไอ้อ้วน แบร์ลี่ เองก็นั่งอยู่ข้างหลังพร้อมกับบ่นออกมา ในตอนที่ จางเทีย เห็นพวกนั้น ไอ้อ้วน แบร์ลี่ ทึ่ซึ่งมองไปมาทั้งสองข้างทางก็เห็น จางเทีย เช่นกัน
“ นั่นไง หยุด ! “ – ไอ้อ้วน แบร์ลี่ ตะโกนออกมาและกระโดดลงจากเบาะหลังลงไปยืนที่พื้น เมื่อ ดั๊ก ได้ยินแบบนั้นก็ตะโกนด้วยความตกใจ –“ อ๊าก เบรก,เบรก เบรกยังไงเนี้ย ? อ๊ากกก...ช่วยด้วย... “
ปัง ....
“ ไอ้บ้าเอ้ย นี่จักรยานใหม่ที่พ่อซื้อให้ฉันเชียวนะ ! “ – แบร์ลี่ ตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ฟังดูขมขื่น
จางเทีย พูดอะไรไม่ออกพร้อมกับเอามือก่ายหน้าผากก่อนจะปิดตาลง....
2 นาทีต่อมา แบร์ลี่ และ ดั๊ก ก็มายืนอยู่ตรงหน้าร้านของเขา เมื่อเห็น ดั๊ก สูดกลิ่นหอมของเบียร์ข้าวและน้ำลายไหลอีกทั้ง แบร์ลี่ ที่ยืนยิ้มอยู่ จางเทีย ก็แอบด่าขึ้นในใจ เขาเอาเบียร์ข้าวสองถ้วยออกมาให้พวกนั้นกิน พวกนั้นซัดเข้าไปอย่างกับหมาป่าหิวโหยและกินมันเกลี้ยงทันที่ – “ ทำตัวน่าหยะแหยงกว่านี้อีกได้มั้ย ? “ - จางเทีย บ่น ถ้วยที่ให้ไปมันยังร้อนอยู่เลย
เมื่อเห็นรอยยิ้มออดอ้อนของพวกนั้น จางเทีย ก็เก็บถ้วยและทำท่าทีจริงจัง – “ ตะกี้ฉันเลี้ยง ถ้วยต่อไป 6 ทองแดง อยากกินอีกมั้ย ? “
ดั๊ก หันกลับไปมองที่ แบร์ลี่ ทันที ไอ้อ้วนตบที่เอวตัวเองและหยิบเอาเงินลงมาวางบนโต๊ะ – “ อร่อย ! ขออีกสองถ้วย ! “
จางเทีย รู้สึกว่ามันเป็นนิสัยไปแล้วที่จะหยิบเงินมาเก็บไว้ในลิ้นชักก่อนจะไปตักเบียร์ข้าวอีกสองถ้วยให้สองคนนี่ ไม่นานหลังจากที่พวกนั้นกินเสร็จ ดั๊ก ก็ยังส่งสายตาอ้อนออกมาอยู่ดี จางเทีย เก็บถ้วยและจานลงไปแช่น้ำ ในตอนที่ ดั๊ก หันไปมองไอ้อ้วน ไอ้อ้วนก็ทำท่าไม่สนใจและเริ่มคุยกับ จางเทีย
“ นี่...นี่...นั่นคืออะไร? เบียร์ข้าวเหรอ ? “
“ ใช่ เบียร์ข้าว ! มีอะไรงั้นเหรอ ? “
“ ฮี่ฮี่ การไปเยี่ยมบ้านคือธรรมเนียมขององค์กรเรา ! “ - แบร์ลี่ หัวเราะออกมา
“ เอาล่ะ พูดมาเลย เวลาเป็นเงินเป็นทองโว๊ย “
“ นายได้ยินข่าวเรื่องโจรผ้าพันคอแดงมั้ย ? “
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ โจรผ้าพันคอแดง ’ จางเทีย ก็แปลกใจ – “ อื้อ เกิดอะไรขึ้น ?”
แบร์ลี่ มองไปรอบๆก่อนจะลดเสียงและบอกข่าวเดิมที่ จางเทีย ได้ยินมาจากพี่ชาย – “ ฉันได้ยินมันมาเมื่อคืน นั่นแหละฉันเลยมาที่นี่เพื่อบอกนาย มีแค่ไม่กี่คนที่รู้เรืองนี้ ยังไงก็ตามนายต้องระวังตัวไว้และตอนกลางคืนก็อยู่บ้านไว้ อย่าออกไปไหนโดยไม่ระวัง โจรพวกนั้นน่ะเป็นนักฆ่าที่เลือดเย็น ฉันหวังว่าพี่น้องฉันจะไม่ได้รับอันตรายจากพวกนั้น ! “
“ นายมาเพราะจะมาบอกฉันเรื่องนี้งั้นเหรอ ? “
“ แน่นอน นายคิดว่า ดั๊ก กับฉันออกมาให้แดดเผาเล่นรึไง ? หลังจากที่เตือนนายแล้วฉันยังต้องไปบอก ชอร์วิน กับ ฮิสต้า อีก เอล่ะ ฉันไม่กวนนายแล้ว... “
เมื่อเห็นหน้าไอ้อ้วน จางเทีย ก็รู้สึกซึ้งนิดๆ – “ ขอบคุณมากเพื่อน ! “
“ ให้เราฟรีอีกถ้วยมั้ยล่ะ ? “ - แบร์ลี่ ยิ้มกวนๆอกอมา
จางเทีย อื้อมืออกมาพร้อมกับหักนิ้ว ทุกคนรู้ว่านั่นมันหมายความว่าไง
“ ฮาฮา...งั้นเราต้องไปหาคนอื่นก่อนแล้ว ! “- แบร์ลี่ ลุกออกไปตบที่นั่งจักรยานและเร่ง ดั๊ก ทันที ดั๊ก จับจักรยานขึ้นมาดันก่อนจะหันกลับมาหา จางเทีย พร้อมกับพึมพำ – “ แบร์ลี่บอกว่า..ผู้ชายต้องรู้วิธีขี่จักรยานเพื่อสาวๆ ! “
“ ไว้ใจฉันได้ ฉันไม่บอกคนอื่นหรอก นายน่ะขี่เก่งแล้ว ! “ - จางเทีย ยกนิ้วโป้งให้
ดั๊ก พอใจอย่างมาก เขาพยักหน้าและขึ้นจักรยานก่อนจะปั่นด้วยท่าทีแปลกๆแล้วจากไปพร้อมกับ แบร์ลี่ ....
ไม่คิดเลยว่าข่าวเรื่องโจรจะเร็วได้ถึงขนาดนี้ คนในเมืองคงเริ่มกังวลเรื่องโจรพวกนี้ในอีก 2 วันแน่ๆ....
“ แต่ช่างเถอะ ฉันฝึกคิดเลขในใจดีกว่า โจรผ้าพันคอแดงกับคนอย่างฉันมันจะไปมีอะไรเกี่ยวกันได้ ? “ – หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา
ในตอนเย็นพ่อและแม่เขาได้กลับมาบ้านพร้อมกับข่าวที่ว่าเมืองเริ่มป้องกันแน่นหนาขึ้น พวกเขาต้องมีการยืนยันตัวก่อนที่จะเข้าเมืองในตอนเย็น
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ เกรกรอรี่ ผู้รับผิดชอบพื้นที่นี้ก็ได้มาเคาะประตูบ้านเขาพร้อมกับตะเกียงในมือ เขามาบอกทุกคนว่าอย่ารับคนแปลกหน้าเข้าบ้าน นอกจากนี้พวกเขาควรรายงานเรื่องคนน่าสงสัยทันที อีกอย่างตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไปไม่ให้ออกไปกินข้าวที่ไหน....
ครึ่งวันหลังจากที่ไอ้อ้วนได้จากไป ข่าวของโจรผ้าพันคอแดงก็ดังไปทั่วเมือง บรรยากาศอันน่าอึดอัดตอนนี้ปกคลุมทั่วทั้งเมือง
แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ จางเทีย หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จหัวหน้าเขตก็จากไป จางเทีย ไปแปรงฟัน,ล้างเท้าแล้วกลับเข้าห้องตัวเอง เขากลับเข้าไปใน Castle of Black Iron พร้อมกับโยนถุงขยะลงในบ่อแห่งความยุ่งเหยิง หลังจากนั้นเขาก็ปรบมือและเปิดสเตตัสของที่นี่ขึ้นมาดูเพื่อดูสเตตัสล่าสุด
——Castle of Black Iron
——ความยาว : 1 Krosa
——ความกว้าง : 1 Krosa
——พลังวิญญาณ : 1.8
——ค่าความดี : 43
——พลังที่กักเก็บ : 0.5
——ผลลัพธ์พิเศษ: Void
……
ค่าความดี 5 หน่วยนั้นมาจากเขาเฝ้าร้านให้พ่อกับแม่หนึ่งวัน, ค่าความดี 3 หน่วยจากการทำงานบ้าน รวมทั้งหมดเป็น 8 หน่วย ค่าพลังวิญาณ 1.1 หน่วยจากมันฝรั่งที่งอกออกมา, ค่าพลังกักเก็บ 0.3 หน่วยจากขยะ นั่นแหละคือสิ่งที่เขาได้มาในวันนี้...
เขากลับไปดูต้น Manjusaka Karma Fruit อีกรอบ
อีก 103 ชม.กว่าที่ผลมันจะสุก...
เพราะยังไม่ง่วง จางเทีย เลยเอาคริสตัลที่ตากไว้ทั้งวันออกมา เขานั่งขัดสมาธิและเริ่มปลุกจุดชีพจร แม้ว่าจะใช้เวลาใน Castle of Black Iron ไม่กี่ครั้งแต่ จางเทีย ก็พบว่าเขาสงบจิตใจและเข้าสู่สภาวะบ่มเบาะได้ง่ายกว่าเดิมโดยการมองไปที่หมอกสีที่หมุนวนไปมาใน Castle of Black Iron
ไม่นานเขาก็เข้าสู่การปลุกชีพจร แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาบ่มเพาะที่นี่แต่เขาก็เริ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆและไม่นาจุดชีพจรเขาก็ได้เปล่งแสงออกมา
มีแต่ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งถึงจะอยู่รอดในยุคนี้ได้ ไม่มีทางลัดใดๆ--- นี่คือสิ่งที่ จางเทีย ยึดมั่นมาตลอด 15 ปี
สำหรับ Castle of Black Iron เองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ....