px

เรื่อง : Castle of Black Iron
Chapter 23 : เจ้าของผู้น่าสงสาร


Chapter 23 : เจ้าของผู้น่าสงสาร

“ ดูเหมือนว่าฉันจะใช้บางอย่างถึงจะเข้ามาใน Castle of Black Iron ได้ ! “ - จางเทีย ร้องออกมาตอนที่นั่งอยู่ที่พื้น  อยู่ๆเขาก็รู้สึกมึนๆขึ้นมาซึ่งมันน่ากลัวจริงๆ ถ้าเขารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ เขาคงไม่ลองทำมันแน่ๆ

เขาฟื้นตัวอยู่สักพักและเห็นว่าแค่ไม่กี่นาทีตัวของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อ  เขาอ่อนแรงยิ่งกว่าเดิม – “ ดูเหมือนการใช้พลังงานวิญญาณนี่จะเป็นเรื่องจริงจังนะ “ – เขารู้สึกเจ็บแปร๊บขึ้นมาที่หัวและมึนๆเหมือนจะวูบเพราะยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่

มันต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ !

เขารู้สึกว่าการเข้าออกของเขานี่เป็นเรื่องที่โง่มาก ชัดแล้วว่า Castle of Black Iron น่ะสุดยอด แม้แต่ตอนนี้การเพิ่ม พลังวิญญาณ ‘ ก็จำเป็นใช้พลังงานชีวิตจากพวกพืช  จางเทีย ได้แก้ปัญหาเรื่องการขาดน้ำไปแล้ว   Castle of Black Iron นั้นคงไม่ให้เจ้าของปราสาททำเรื่องโง่ๆแบบนี้อีกแน่  แม้ว่าดินที่นี่จะอุดมสมบูรณ์และไม่ต้องการบำรุงอะไรแต่แล้ว ‘ พลังที่กักเก็บ ‘ กับ ‘ บ่อแห่งความวุ่นวาย ‘ ล่ะ ?  ไม่ใช่ว่าการกำจัดขยะนั้นจะเปลี่ยนสสารให้เป็นพลังงานหรอกเหรอ ? เขาต้องเอาของเขามาเพื่อกำจัดเพื่อจะให้ได้ ‘ พลังที่กักเก็บ ‘ ไว้อย่างนั้นเหรอ ?

ในตอนที่เขาคิดถึงพลังงานจำนวนมากที่ต้องใช้ในการเปิดฟังก์ชันการทำงานของ Castle of Black Iron  จางเทีย ก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา  แมร่งเอ้ย มันไม่น่าเป็นแบบนี้เลย  เจ้าของห่าอะไรวะเนี้ย ! เขามันไม่ต่างอะไรกับขอทานเลย ! เขาต้องเข้าออก Castle of Black Iron  6 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 30-50 ปีเพื่อจัดการพื้นที่ 666 ตร.ม.  นี่มันบ้าอะไรวะ !

ไม่มีทาง ! มันต้องไม่เป็นแบบนี้ ! มันต้องมีอะไรผิดปกติรึไม่ก็เขายังไม่รู้ฟังก์ชันบางอย่างของที่นี่   Castle of Black Iron  นั้นดูเหมือนระบบชั้นสูง มันจะมีความผิดพลาดกากๆแบบนี้ได้ยังไง ? ! มันต้องเหมือนกับการเดินไปพักที่โรงแรมสิที่แค่ถอดเสื้อผ้าแล้วจัดการทำธุระต่างๆได้ตามสบาย

เมื่อคิดแบบนั้นสักพัก จางเทีย ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้  เขารู้สึกเหมือนโดนเหยียดหยาม  จางเทีย ด่าตัวเองในใจและตัดสินใจพักเรื่องนี้ไว้ก่อน – “ แมร่งเอ้ย แค่คนเฝ้าประตูปราสาทแล้วไง ! คนอื่นไม่มีสิทธิที่จะเป็นคนเฝ้าประตูด้วยซ้ำ ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะแสดงมาให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว  เจ้าของปราสาทผู้หล่อเหลาและวิเศษจะเป็นได้แค่คนเฝ้าประตู ! ในที่สุด Castle of Black Iron ก็มีทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว ! จะมีอะไรดีกว่านี้มั้ย ? “

นี่คือความหงุดหงิดของเขา  บางครั้งเขาก็เหมือนเป็นคนบ้าและมองทุกอย่างในแง่ร้ายในตอนที่ตัวเองหงุดหงิด  บางครั้งเขาก็เป็นคนง่ายๆที่จะทำสิ่งที่เขาตัดสินใจเลยในทันที  เขาหาเหตูผลต่างๆเพื่อปลอบตัวเองเพื่อให้ทำไปถึงเป้าหมายให้ได้  ก่อนหน้านี้เขาสนใจ มิสไดน่า ว่าเธอจะมาเป็นคนรักของเขาแต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าคนที่จะเป็นคนรักของเธอได้ต้องเป็นคนประสบความสำเร็จ เขาเชื่อว่าความรักนั้นเขาคงจะไม่มีวันได้เจอและการได้อยู่กับสาวสวยนั้นคงเป็ฯได้แค่ความฝัน....

มนุษย์ --- บางทีพวกเขาก็แบ่งแยกกัน

ในตอนที่เขาพักปัญหาเอาไว้ก็ได้มีปัญหาอย่างอื่นเพิ่มเข้ามา  เขาจะฟื้นฟูพลังวิญญาณได้ยังไง ? เขาต้องใช้เวลานานแค่ไหน ? ถ้านานเกินไป ถ้าพ่อแม่กลับมาแล้วไม่เจอใครอยู่บ้านทั้งๆที่ประตูห้องน้ำล็อคอยู่ พวกนั้นคงตะโกนแล้วไม่มีใครตอบ ตอนนั้นคงเกิดปัญหาใหญ่แน่ๆ   เขาจะอธิบายว่ายังไง ? อีกอย่างถ้าอยู่ๆเขาออกจากห้องน้ำแล้วไปเจอพ่อแม่ตรงหน้าห้องน้ำล่ะ ?

ปัญหานี้เขาคงแก้ไม่ได้ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆเขาจะบอกความจริงทั้งคู่ไปนิดหน่อย กรณีเลวร้ายที่สุดคงโดนตบอย่างแรงแต่เขามักจะโดนตบตลอดอยู่แล้วแต่ยังไงพ่อแม่เขาก็ไม่เคยตีเขาจนตาย !

เมื่อเขาคิดได้แบบนั้นเขาก็รู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวอะไร  จางเทีย ปัดก้นตัวเองพร้อมกับลุกขึ้นยืน  เขาเดินต่อไปไม่กี่ก้าวแล้วเดินกลับมา   เขาถือถังเปล่าสองใบขึ้นมาแล้วเดินไปที่ต้นไม้เล็กๆ  ถุงเมล็ดพันธุ์ที่เอามันนั้นยังไม่ทันได้แกะก็ยังคงวางอยู่ตรงนั้น  มันถือว่าเป็นเวลาที่ดีที่จะแกะมัน

เขาเดินไปอีกด้านของต้นไม้แล้ววางถังในมือลงก่อนจะนั่งยองๆลงที่พื้น  เขายกถุงเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาแล้วแกะก่อนจะเทเมล็ดข้างในออกมา

บอกเลยว่า ย่าเทเรซ่า นั้นเป็นคนที่พิถีพิถัน ถุงผ้านี่มีถุงกระดาษข้างในอีก 8 ถุงและแต่ละถุงนั้นก็มีชื่อพันธุ์ของมันเขียนไว้

‘ ขาไก่ด่าง ‘ นี่คือชื่อที่เขียนเอาไว้ในถุงเล็กที่สุด ส่วนชื่อถุงที่ใหญ่กว่าก็ ‘ ผักบุ้งฝรั่ง ‘ , ‘ โอลีฟ ‘ , ‘ ต้นอิโบตาพริวิต ‘ , ‘ ต้นคริสตินา ‘ , ‘ ต้นสาลีน้ำผึ้ง ‘ และ ‘ หัวไชเท้า ‘   เมื่อเห็นคำว่า ‘ หัวไชเท้า ‘  จางเทีย ก็เกาหัวด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน เขาเดาว่า ย่าเทเรซ่า คงพลาดแหงๆ ทำไมเธอถึงเอาหัวไชเท้ามาให้ด้วย ?  ‘ ต้นโอลีฟ ‘ ยังพอเข้าใจได้เพราะมันคือเครื่องหมายของโรงเรียนกรีปิซ  ‘ ต้นสาลีน้ำผึ้ง ‘ นั้นก็จะออกดอกสวยแล้วหัวไชเท้าล่ะ ? เมล็ดพันธุ์พวกนี้ 3 ใน 7 น่ะสามารถกินได้

มันหมายความว่าไง ? จางเทีย เกาหัว  ย่าเทเรซ่า ให้เมล็ดพวกนี้มาเพราะซุปที่ครอบครัวจางให้มาตลอดปีงั้นเหรอ ? มันดูแปลกนิดๆนะ

เมื่อเห็นถุงใหญ่ที่สุดที่วางอยู่ที่พื้นเต็มไปด้วยของบางอย่าง   จางเทีย ก็ไม่สนใจชื่อมันและลองเปิดมันดู มีลูกวอลนัทไหลออกมาเต็มจนถึงเท้าของเขาซึ่งทำให้ จางเทีย อึ้ง  นี่ก็อีกอย่างที่กินได้เหมือนกัน

บ้าอะไรวะแต่ช่างเถอะถ้ามันโตแล้วมันก็จะให้พลังวิญญาณกับมิตินี้  ไม่ว่าจะปลูกอะไรแต่มันจะดีกว่าถ้าของที่ปลูกน่ะกินได้ ! ไม่ว่าเขาจะปลูกอะไรเขาก็จะแบ่งออกมันเป็นสัดส่วน  เมล็ดพวกนี้น่ะถือว่าเป็นของธรรมชาติอยู่แล้ว  ในตอนที่มันโต จางเทีย อาจจะเห็นความต่างของทั้งสี่ทิศทางของ Castle of Black Iron เลยก็ได้

เขาใช้ต้น Manjusaka Karma Fruit เป็นศูนย์กลาง  จางเทีย เปิดแผนที่ Castle of Black Iron ขึ้นมาดู  ส่วนด้านบนของแผนที่นั้นคือทิศเหนือซึ่งเขาจะเอาไว้ใช้ปลูกต้นโอลีฟ  ส่วนทิศใต้เขาจะปลูกต้นคริสติน่า ด้านทิศตะวันตกเขาจะปลูกต้นสาลีน้ำผึ้งและด้านทิศตะวันออกเขาจะปลูกวอลนัท  เมล็ดอื่นๆอย่างต้นอิโบตาพริวิต, ผักบุ้งฝรั่งและต้นคริสตินาก็จะปลูกกระจายกันไปในส่วนพื้นดินที่ว่าง  ส่วนผักกินได้อย่างหัวไชเท้าก็จะปลูกไว้ข้างๆมันฝรั่งกับข้าวโพดเพื่อให้ง่ายต่อการจัดเก็บ

เมื่อเขาตัดสินใจแล้วเขาก็ได้ลงมือทำทันที อย่างแรกเขาเปิดกระเป๋าที่มีเมล็ดต้นอิโบตาพริต, ผักบุ้งฝรั่ง,ต้คริสตินา ที่ง่ายต่อการปลูกออกมาแล้วเอามาเทรวมกัน   จางเทีย ไม่ได้เก่งในการปลูกต้นไม้พวกนี้  โดยสัญชาตญาณแล้วเขารู้สึกว่าต้นไม้พวกนี้น่ะมีให้เห็นทุกที่ในป่า  พวกมันโตขึ้นเองตามธรรมชาติดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการเสียเวลาไปกับมัน  เขาทำมันเหมือนกับที่โลกข้างนอกทำกับมันนั่นแหละ

เขาเว้นระยะห่างอย่างน้อย 20 ม.จากต้นไม้ต้นเล็ก   จางเทีย วิ่งวนเป็นวงกลมพร้อมกับหว่านเมล็ดไปรอบๆ ไม่ถึง 3 นาทีเขาก็หว่านเมล็ดสามถุงแรกเสร็จ

หลังจากจัดการสามถุงแรกเสร็จแล้ว จางเทีย เริ่มมีท่าทีจริงจังกว่าเดิม  เขาเอาเหล็กไปขุดหลุมเรียงกันเป็นแถวโดยห่างจากต้นไม้หลัก 50 ม.ในด้านทิศเหนือ จากนั้นก็ฝังเมล็ดโอลีฟลงไป   ทางทิศใต้,ตะวันออกและตะวันตกเองก็ทำเหมือนกัน   เมื่อเขาเห็นว่าลูกวอลนัทมันใหญ่ เขาเลยต้องขุดหลุมลึกกว่าหลุมที่ใช้ปลูกเมล็ดอื่นๆ   จางเทีย ไม่รู้ว่าวิธีนี้มันถูกรึผิด ที่เหลือคงขึ้นกับพระเจ้าแล้ว

เพราะวอลนัทมันมีราคาแพงอย่างมาก จางเทีย เลยไม่ค่อยได้กินมันเท่าไหร่  ผลก็คือในตอนที่เขาฝังลูกวอลนัทลงไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะลองมันกินดูสักลูก สุดท้ายแล้วก็เหลือวอลนัทแค่เพียง 7 ลูกเท่านั้น

หลังจากที่ปลูกวอลนัทเสร็จเขาก็วิ่งที่ ‘ แปลงผัก ‘ และเจอที่ดินข้างๆสวนข้าวโพดเพื่อปลูกหัวไชเท้า   เขาเอาแท่งเหล็กขุดดินและปรบมือด้วยความพอใจ

สำหรับ จางเทีย แล้วนี่คือความสำเร็จสูงสุดที่เขาทำในวันนี้  ไม่ว่าเขาจะรดน้ำมันหรือไม่แต่ จางเทีย ก็วางแผนว่าจะตัดสินใจในอีก 1 เดือน  ถ้า 1 เดือนแล้วต้นไม้ยังไม่งอก เขาก็จะเริ่มรดน้ำมัน

หลังจากจัดการงานพวกนี้เสร็จแล้ว จางเทีย ก็เปิดเสตตัสของ Castle of Black Iron ขึ้นมาดูและพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

รีวิวผู้อ่าน