px

เรื่อง : I Am In Mavel​ ฉันอยู่ในโลกมาร์เวล
ตอนที่ 39 กระโดด?


ตอนที่ 39 กระโดด?


 

เสียงหวูดรถไฟยังคงดังสนั่นทั่วทั้งท้องฟ้าทำลายความเงียบสงบของเทือกเขาธารน้ำแข็งอย่างสิ้นเชิง

 

รถไฟเหล็กที่ควบคุมไม่ได้พุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับควันหนาทึบและความเร็วบนรางยังคงพุ่งทะยานโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือลดลงเลยแม้แต่น้อย

 

“ สตีฟ ทำพลาด?”

 

ไคล์ เลิกคิ้วและกำลังจะปีนหลังคาเพื่อไปยังด้านหน้าของขบวนรถไฟ แต่เขาเห็นว่ารถไฟกำลังจะวิ่งเข้าสู่อุโมงค์ ดังนั้นเขาจึงกลับลงมาที่โบกี้ด้านล่าง

 

เมื่อรถไฟเข้าไปในอุโมงค์ ไฟในรถก็หรี่ลงเหลือเพียงแสงจาง ๆ เท่านั้นที่ยังคอยส่องสว่างอยู่

 

ไคล์ มองไปทางโบกี้ด้านหน้าซึ่งมีกุญแจล็อคประตูเอาไว้อย่างแน่นหนา

 

ไคล์ ครุ่นคิดพร้อมกับดึงการ์ดไอเท็มสีฟ้าโปร่งแสงมาถือไว้ระหว่างสองนิ้วและในช่วงเวลาถัดไปปืนเลเซอร์พลังงานก็ปรากฏอยู่ที่มือของเขา

 

เขาชี้ปากกระบอกปืนไปที่ประตูโบกี้ที่ปิดสนิดพร้อมกับลั่นไกปืน!

 

'ตูม! '

 

ประตูที่ถูกล็อกถูกทำลายทันทีด้วยเลเซอร์ จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

 

'ตูม, ตูม, ตูม!'

 

 

ตลอดทางที่วิ่งไปประตูโบกี้มันถูกล็อคเอาไว้อย่างแน่นหนา ไคล์ ก็ใช้ปืนเลเซอร์ทำลายมันทั้งหมด

 

“น่าจะเป็นที่นี่” ไคล์ มองไปที่ประตูโบกี้บานที่ห้า ปืนเลเซอร์ถูกยิงไปที่ประตู การระเบิดของพลังงานยังทำให้เกิดควันภายในห้องโดยสารด้านหน้า 

 

"....……"

 

ไคล์ จ้องมองด้านในด้วยสายตาประหลาดใจ

 

ด้านข้างโบกี้ถูกระเบิดเป็นรูขนาดใหญ่ทั้งสองฝั่งข้างและก็เห็นผนังอุโมงค์ที่ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว และที่ล้อรถก็เต็มไปด้วยประกายไฟ

 

พื้นห้องโดยสารเต็มไปด้วยกระดูกหักและมีเลือดสีแดงฉานเต็มทั่วพื้น ราวกับว่าพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นเป็นทุ่งสังหารมาก่อน ควันและเปลวไฟก็โพยพุ่งออกมาจากคอนโซลรถไฟ

 

สตีฟ นั่งอยู่บนพื้นรถไฟโดยมีนักวิทยาศาสตร์หัวโล้นนอนหมดสติอยู่ข้างๆ และ ไคล์ ก็จำได้ว่าเขาคือเป้าหมายของภารกิจนี้

 

“ ไคล์ นายมาแล้วเหรอ” สตีฟ เงยหน้าขึ้นมอง ไคล์ พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย

 

"เกิดอะไรขึ้นที่นี่? นายได้รับบาดเจ็บเหรอ?” ไคล์ โยนปืนเลเซอร์ในมือทิ้งแล้วก้าวไปข้างหน้าเพื่อยกตัว สตีฟ ขึ้น และดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรได้จึงเอ่ยถามขึ้นว่า:“ จริงสิ! แล้ว บัคกี้ ไปไหน?"

 

“เรื่องนี้ต้องโทษฉันที่ดูถูกพวกมันมากเกินไป” สตีฟ ถอนหายใจและไม่สามารถระงับความเศร้าได้ “บัคกี้ เพื่อช่วยฉันเขาถูกระเบิดของคนขับรถไฟกระเด็นตกลงไปในหุบเหวหิมะ”

 

ยังคงประสบชะตากรรมเหมือนในภาพยนต์? วินเทอร์ โซลเยอร์

 

ใบหน้าของ ไคล์ เงียบขรึม แม้เขาจะรู้ว่า บัคกี้ จะยังไม่ตาย แต่อนาคตนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าความตายและเขาถูกรัฐบาลอื่นควบคุมให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่ทำลายล้างมนุษยชาติมานานกว่าครึ่งศตวรรษ

 

ไคล์ เป็นคนปลอบคนไม่เก่ง เขาทำได้แค่เพียงตบไปที่ไหล่ของ สตีฟ เบาๆแล้วพูดว่า“ ฉันอยากจะพูดว่า ในฐานะทหารเป็นเรื่องปกติมากที่จะต้องเสียสละในสนามรบ นายอย่าให้ความรู้สึกมามีอิทธิพลต่อภารกิจเพราะเหตุนี้”

 

"ฉันรู้.." สตีฟ หายใจเข้าลึก ๆ และแบกนักวิทยาศาสตร์หัวโล้นไว้บนไหล่ของเขาแล้วกล่าวว่า“ งานของเราเกือบล้มเหลว เจ้าหมอนี่ต้องการที่จะกัดแคปซูลพิษที่อยู่ในปากของมันเพื่อฆ่าตัวตาย ฉันจึงทำให้มันหมดสติไป”

 

“ ดูเหมือนว่าข้อมูลจะถูกต้อง เจ้าหน้าที่ขององค์กรไฮดร้า ชอบฆ่าตัวตายด้วยแคปซูลพิษที่ซ่อนอยู่ในปาก” ไคล์ พยักหน้าครุ่นคิดและพูดว่า:“ ตอนนี้เราพาบุคคลเป้าหมายออกไปจากที่นี่ก่อน”

 

“ ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ” ใบหน้าเศร้าโศกของ สตีฟ แสดงรอยยิ้มที่ขมขื่นชี้ไปยังคอนโซลที่มีควันโพยพุ่งออกมา “ การระเบิดที่รุนแรงไม่เพียงแต่ระเบิดตัวโบกี้เหล็กทั้งสองข้างของรถไฟเท่านั้น แต่มันยังทำลายคอนโซลและแผงการควบคุมด้วยตอนนี้รถไฟอยู่ในสภาพที่มีความเร็วเพิ่มขึ้นและไม่สามารถควบคุมได้”

 

“ จริงๆแล้วรถไฟควรจะวิ่งแค่ 105 กม./ชม.แต่มันกลับเร็วขึ้นอีกและมันเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุด”

 

ไคล์ มองไปที่ประกายไฟบนล้อรถไฟและครุ่นคิดวิธีการรับมืออย่างเร่งด่วน

 

ด้วยความเร็วเช่นนี้มันหมายความว่าเขาจะมีอันตรายถึงชีวิตเมื่อเขากระโดดลงจากรถไฟ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าด้านข้างเป็นหุบเหวลึก

 

หากมีแค่เขาเพียงคนเดียวอาจจะใช้ความสามารถของการ์ดออกไปจากที่นี่ได้โดยตรง แต่ สตีฟ และ ตัวประกัน ที่เป็นเป้าหมายของภารกิจอยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทำได้โดยสิ้นเชิง

 

สตีฟ เอ่ยตามความคิดของเขาขึ้นว่า“ หากเราไปที่โบกี้ด้านหลังจากนั้นตัดการเชื่อมต่อระหว่างหัวรถจักรกับโบกี้บางทีมันอาจจะสามารถหยุดรถไฟได้”

 

ไคล์  ส่ายหน้าแล้วเอ่ยคัดค้าน:“ ฉันจำแผนที่ของเส้นทางนี้ได้หากเราออกจากอุโมงค์นี้ไป ด้านหน้าจะเป็นทางเลี้ยว ด้วยความเร็วระดับนี้แม้ว่าหัวรถจักรกับโบกี้จะแยกจากกัน แต่มันสายเกินไปที่จะหยุดและมันจะตกรางอย่างแน่นอน”

 

ใบหน้าของ สตีฟ เคร่งเครียดและเอ่ยถามขึ้นว่า“ เราจะทำอย่างไรดี? เราทำอะไรไม่ได้แค่รอให้รถไฟตกรางเหรอ?”

 

ไคล์ เงียบไปครู่หนึ่งทันใดนั้นก็จ้องมองไปที่ สตีฟ แล้วถามว่า“ นายเชื่อใจฉันไหม”

 

"อา." สตีฟ เหลือบมองจากนั้นตอบด้วยความลังเลเล็กน้อย:“ แน่นอน! บนโลกนี้ถ้าฉันไม่เชื่อนายแล้วจะให้ฉันเชื่อใคร”

 

“ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร” ไคล์ ยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่หลังจากตัดสินใจแล้วมันง่ายขึ้นมากใบหน้าก็ผ่อนคลายและไม่มีความรู้สึกถึงวิกฤต

 

เขาเอ่ยขึ้นว่า:“ เมื่อรถไฟพุ่งออกจากอุโมงค์ หากฉันบอกให้นายกระโดด นายต้องจับตัวประกันแล้วกระโดดลงหน้าผาทันที”

 

“โดดหน้าผา?” สตีฟ มองไปที่ ไคล์ ด้วยความประหลาดใจ เต็มไปด้วยความงุนงง ด้านล่างของหน้าผาไม่ใช่แม่น้ำที่ลึกพอ แต่เป็นแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็ง

 

“นายไม่เชื่อใจฉัน?” ไคล์ ยักไหล่

 

“เอาว่ะ ตายเป็นตาย! นายบอกให้ฉันโดด ฉันก็จะกระโดด” สตีฟ ตัดสินใจเสี่ยงและไม่ถามอีกต่อไป เขาแบกตัวประกันเอาไว้บนหลังและเตรียมพร้อมที่จะกระโดด

 

ไม่กี่สิบวินาทีผ่านไป เมื่อรถไฟที่มีความเร็วมากกว่า 200 กม./ชม. วิ่งมาถึงปลายอุโมงค์อย่างรวดเร็ว ความมืดที่อยู่ภายในโบกี้ก็สลายไปด้วยแสงแห่งรุ่งอรุณของโลกภายนอก

 

เมื่อเห็นแสงสีขาวและหิมะด้านนอกทำให้ สตีฟ อดไม่ได้ที่จะฝืนกลืนน้ำลายลงคอ

 

ในเวลาเดียวกันรถไฟก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและล้อก็ระเบิดออกจนเกิดประกายไฟ!

 

'ตูมม! '

 

รถไฟพุ่งไปถึงทางเลี้ยว ภายใต้ความเร็วที่มากเกินไปจู่ ๆ มันก็หลุดออกจากรางและตกลงไปในหุบเหวหิมะเบื้องล่าง

 

“ สตีฟ โดด!”

คำพูดของ ไคล์ ยังไม่ทันจบ เขาก็กระโดดลงจากรถไฟทันที

 

สตีฟ ไม่กล้าคิดมากให้เสียเวลา เขาจับตัวประกันและกระโดดออกจากรถไฟตามหลัง ไคล์ ไปอย่างรวดเร็ว

รีวิวผู้อ่าน