px

เรื่อง : Castle of Black Iron
Chapter 20: ความทะเยอทะยานของวัยรุ่น


สำหรับ จางเทีย แล้ววันหยุดสองวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว  เพราะพ่อของเขานั้นทำงานวันเสาร์  จางเทีย เลยต้องใช้เวลาทั้งวันเพื่อทำเบียร์ข้าวกับแม่  แม้ว่าจะมีรายได้แค่เพียงเล็กน้อยแต่มันก็พอพัฒนาความเป็นอยู่ได้บ้าง

เบียร์ข้าวนั้นถือเป็นอาหารของจีนที่ทำง่าย วัตถุดิบหลักๆเลยก็คือข้าว  วิธีทำก็ง่ายๆ – อย่างแรกล้างข้าวแล้วเอาข้าวลงไปในหม้อจนเกือบสุก  เอาข้าวออกจากหม้อและไปทำให้มันแห้ง  เอาไปหมักไว้กับน้ำตาล,น้ำผึ้งและยีสต์   หมักไว้สักเดือนก็พร้อมกินแล้ว  เบียร์ข้าวที่ทำออกมานั้นจะมีทั้งกลิ่น,ความหวาน,และความนุ่มของข้าวอยู่  ด้วยการที่อุดมไปด้วยสารอาหาร รสชาติหวานและอยู่ท้อง นอกจากนนี้กลิ่นมันยังเหมือนกับไวน์ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกดีขึ้นมา, ลดการเกิดลมชักและทำให้การเผาผลาญดีขึ้น  จางเทีย และ จางหยาง เองก็โตมาเพราะกินเบียร์ข้าวนี่แหละ

แม้ว่ากระบวนการทำมันจะง่ายแต่ว่าแต่ละขึ้นตอนนั้นจำเป็นต้องทำอย่างพิถีพิถัน ชื่อเสียงของร้านเขานั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกวันเพราะรสชาตินี่แหละ

จางเทีย และแม่นั้นทำได้ 7 เหยือกในวันเสาร์ พวกเขาทำเบียร์ข้าวและยกไปไว้คลังที่อยู่หลังบ้าน  จากนั้น จางเทีย ก็จะขับรถสามล้อออกไปซื้อข้าวและน้ำตาล  เมื่อไหร่ก็ตามที่ทำเบียร์ข้าวเสร็จ ข้าวนั้นก็หมดเกือบจะทั้งถุง ดังนั้นทุกๆวันหยุด จางเทีย จะไปซื้อข้าวและน้ำตาลกลับมา  จางเทีย พบว่าค่าข้าวขึ้นนิดหน่อยจาก 4 เงิน 45 ทองแดงต่อ 25 กก. เป็น 4 เงิน 58 ทองแดง  มันเพิ่มขึ้นเกือบ 3% ในอาทิตย์เดียว

จางเทีย งง เขาสนใจสุดๆกับการเปลี่ยนแปลงของราคาของใช้จำเป็น  จางเทีย  จำได้ว่าราคาของข้าวในเมืองแบล็คฮ็อตนั้นไม่ได้เปลี่ยนเลยตลอดสามปีก่อน มันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอาทิตย์เดียวเนี้ยนะ ?

“ จางเทีย เราไม่มีทางเลือกอื่นหรอก มันเพิ่มขึ้นตอนที่เราซื้อมาเมื่อสองวันก่อน  เราต้องกินต้องใช้นะ ! “ – เจ้าของร้านข้าวบ่นกับเขา  - “ 70% ของข้าวในเมืองน่ะซื้อมาจากข้างนอก หมู่บ้านรอบๆเมืองก็ให้ข้าวไม่พอ  เราไม่มีทางแก้ปัญหาเนื่องจากราคาข้าวน่ะคือเรื่องใหญ่  นอกจากข้าวแล้วราคาของแป้งเองก็เพิ่มขึ้นด้วย แกไปเช็คร้านอื่นก็ได้ มีร้านที่ขายราคาสูงกว่านี้ก็มี.. “

เพราะ จางเทีย รู้จักเจ้าของร้านมาหลายปี เขาจึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก  อีกอย่างราคาข้าวแต่ละร้านก็ต่างกันแค่ 3 ทองแดง ถ้าร้านไหนขายแพงก็จะไม่มีลูกค้า

จางเทีย ซื้อข้าวมาสามถุง เขาเอาข้าวขึ้นรถสามล้อตัวเอง สามล้อนี้มันดัดแปลงจากมอไซต์มือสองและเพิ่มถุงและล้อเข้าไป  นอกจากจะดูน่าเกลียดแล้ว มันยังขนของได้จำกัด  ข้าวสามถุงที่ใส่เข้าไปก็ถึงขีดจำกัดมันแล้ว  ก่อนที่จะเอาข้าวใส่ลงไปที่รถ จางเทีย ค่อยๆดูว่าถุงที่ถือมาไม่มีรอยรั่ว  จางเทีย รู้ว่ามักจะมีข้าวเสียที่เจ้าของร้านใส่มาด้วยและพ่อค้ามักจะใส่ให้ไม่ถึงน้ำหนักจริง  บางทีถึงกับเอาข้าวเสียรึทรายมาใส่ให้ครบตามน้ำหนักก็มี  เขาสรุปเรื่องนี้ได้จากประสบการณ์การซื้อข้าวมาหลายปี  ก็อย่างที่คำพูดเก่าๆบอกไว้ ‘ เด็กในครอบครัวที่จนน่ะมักจะโตเร็ว ‘ !

หลังจากซื้อข้าวเสร็จ เขาก็ไปซื้อน้ำตาล 2 กก.ที่ร้านของชำใกล้ๆร้านข้าว  หลังจากนั้นเขาก็ขับรถกลับมาที่บ้าน  ก็อย่างที่คาดเอาไว้เพราะราคาข้าวเพิ่มขึ้นมา 3% ราคตาน้ำตาลเองก็ขึ้นด้วย มากกว่าด้วยซ้ำ  อาทิตย์ก่อนน้ำตาลดิบาคา 91 ทองแดงต่อกิโลกรัม  อาทิตย์นี้มันเพิ่มขึ้นเป็น 1 เงินต่อกิโลกรัม  ร้านอื่นๆเองก็เช่นกัน ดังนันเขาจึงซื้อน้ำตาล 2 กก.แล้วห้อยไว้กับด้ามจับอีกด้านของรถแล้วขี่กลับบ้านด้วยท่าทีทุลักทุเล

เมื่อกลับมาบ้านแล้วเขาได้บอกเรื่องของขึ้นราคาให้แม่ฟังและคืนเงินที่เหลือให้กับเธอ  แม่ของเขาคิดสักพักและเอาเงินให้ จางเทีย 10 ทองแดง  จางเทีย ยิ้มออกมา – “ ขอบคุณครับ แม่ ! แม่ใจดีจังวันนี้ ปกติแม่ให้อย่างมากก็แค่ 5 ทองแดงนิ “

แม่ถอนหายใจออกมาและคิ้วขมวด – “ ราคาข้าวกับน้ำตาลขึ้นแล้วเนี้ย เราต้องขึ้นราคาเบียร์ข้าวด้วยไม่งั้นแล้วกำไรเราหายแน่ๆ ถ้าเราไม่ขึ้นราคา เราคงเจ็งแน่ๆแต่ถ้าเราขึ้นราคา เราอาจจะเสียลูกค้าบางคนไปก็ได้.... ! “

เมื่อเห็นแม่กังวล  จางเทีย ก็สลด – “ แม่ เชื่อผมสิ ผมจะให้แม่และพ่ออยู่สุขสบายในอนาคต ผมน่ะเปลี่ยนไปแล้วนะ ! “

“ แม่รู้ว่า กูกู น่ะโตแล้ว แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ! “ – แม่เขายิ้มออกมาพร้อมกับเอามือลูปหัว จางเทีย

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ โตแล้ว ‘  จางเทีย ก็อายขึ้นมา – “ ไม่ใช่แบบที่แม่คิดหรอก ผมหมายถึงผม....”

“ จ้าๆๆ แม่รู้ว่า กูกู น่ะโตแล้ว ลูกน่ะต้องเชื่อฟังและเป็นเด็กดี  โอ้ ! รีบเอาซุปข้าวนี่ไปให้ ย่าเทเลซ่า ไป  ลูกคงไม่ได้กลับบ้านถ้าไปสายกว่านี้ “

จางเทีย โดนแม่ขัดและเอาเหยือกซุปข้าวสามอันไปใส่ที่รถและรีบไปยังที่ที่แม่ตัวเองบอก  เพราะความกดดันนั้นเขาเกือบจะพูดเรื่อง Castle of Black Iron ออกมา  ดังนั้นเขาจึงทำได้แต่โทษตัวเอง  ถ้าพ่อแม่เขารู้ความลับนี้ พวกนั้นต้องกังวลเกี่ยวกับเขาแน่  นอกจากนี้ครอบครัวของเขาก็จะเจอความเสี่ยงที่ไม่อาจรู้ได้    จางเทีย ได้ตัดสินใจกับตัวเอง เขาคิดว่าถ้าเขามีความสามารถในการเก็บความลับมากพอ เขาจะเอาแต่ผลดีให้กับครอบครัวและพวกนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเขาอีก  เขายึดความคิดที่ว่ายิ่งมีคนรู้น้อยยิ่งดี 

ด้วยการเป็นเมืองอุตสาหกรรมทำให้เมืองแบล็คฮ็อตนี้ไม่ได้มีประวัติศาสตร์อะไร ตอนพัฒนาแรกๆนั้นการจราจรนี่แหละที่เป็นจุดขาย ดังนั้นมันจึงมีรถ, ถนน,ทางเดิน,เลนจักรยาน,เลนสำหรับพาหนะอื่นๆ  ถนนพวกนี้แบ่งออกเป็นทั้งเลนจักรยานและเลนพานหะทั่วไป   จางเทีย ขี่รถสามล้อที่ดัดแปลงมาพร้อมกับดีดกระดิ่ง   เขาคอยชื่นชมรถบัสที่ขี่ผ่านไปมา เขาฝันว่าจะมีรถบัสเป็นของตัวเองจะได้ขี่ไปรอบๆเมืองกับครอบครัวของเขารึไปกับ มิสไดน่า

เครื่องจักรไอน้ำนั้นโดนกำจัดทิ้งมาเกือบ 100 ปีก่อนเกิดภัยพิบัติ  บอกเลยว่ามนุษย์น่ะได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมาได้แล้วซึ่งนั่นคือเรื่องลึกลับสำหรับ จางเทีย  ยกตัวอย่างเช่นเครื่องบินต่างๆที่บินบนท้องฟ้า  เรือที่สามารถล่องในน้ำได้โดยไม่ต้องใช้น้ำมัน , พานะที่แบกคนขึ้นไปบนดวงดาวได้, อุปกรณ์ที่ไว้ใช้สื่อสารทั้งๆที่คนสองคนอยู่ห่างกันเป็นล้านกิโลเมตร และอื่นๆอีกมากมาย ครูของเขามักจะถอนหายใจตอนที่พูดถึงของพวกนี้  ในฐานะผู้ฟังแล้ว จางเทีย ยังคงอึ้งเสมอ สังคมมนุษย์ก่อนเกิดภัยพิบัตินี่จินตนาการไม่ได้จริงๆแต่เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นมา มนุษย์ก็เสียทุกอย่างไป พวกเขาต้องขุดเครื่องจักรไอน้ำขึ้นมาใช้ใหม่ มนุษย์ได้ทำให้มนุษย์ยุคนี้ทรงพลังซึ่งแตกต่างจากยุคไหนๆ ผลก็คือสังคมมนุษย์ได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว

ในเมืองแบล็คฮ็อตนี้คนทั่วไปจะใช้เท้าเดินไปเดินมาเพื่อให้ไปถึงที่หมาย สำหรับพวกคนงานนั้นอาจจะมีจักรยานเป็นของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นครอบครัวของ จางเทีย ที่ได้ดัดแปลงจักรยานสองล้อที่ใช้ไว้ส่งของแต่คนรวยๆน่ะมักจะเป็นเจ้าของรถบัสที่มีค่ามากกว่าพันทอง  สำหรับคนพวกนั้นรถบัสน่ะไม่ใช่เครื่องมือไว้ใช้เดินทางแต่เป็นเครื่องหมายแสดงฐานะทางสังคมและอำนาจ แม้จะผ่านมาหลายปีแต่จำนวนเจ้าของรถบัสนั้นก็มีไม่เกินพันคน  ผู้คนที่นั่งข้างในนั้นต่างก็เป็นพวกคนรวยไม่ก็ชนชั้นสูง อย่างน้อยๆตอนเขาเรียนประถม จางเทีย ก็ไม่พบว่าเพื่อนรึครูคนไหนได้เป็นเจ้าของพาหนะแบบนั้น  แม้แต่ กัปตันเคอร์ลิน ชายที่น่ากลัวที่สุดคงต้องทำงานติดต่อกันสัก 50 ปีโดยที่ไม่กินไม่ดื่มอะไรเลยถึงจะซื้อรถบัสได้

เกือบทุกอย่างที่ จางเทีย ได้เรียนรู้มาที่โรงเรียนคือกลไกลและเครื่องมือต่างๆที่เกี่ยวข้องกับระบบไอน้ำ  สำหรับคนที่เกิดมาด้วยความอยากเป็นอิสระ เด็กชาย 15 ปีมีสองฝัน : หนึ่งคือแต่งงานกับ มิสไดน่า และเป็นเจ้าของรถสวยๆ  เขาฝันว่าจะขับรถพาเธอไปยังที่สวยๆแล้วซั่มกันที่นั่น ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาคงต้องเช็คโช๊คและยางดีๆก่อน

นี่แหละคือ ‘ ความทะเยอทะยานอันป่าเถื่อน ‘ ของเขาที่ซึ่งกำลังปั่นจักรยานอยู่ในเมือง  ครึ่งชั่วโมงต่อมาเขาก็ได้มาถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเทเลซ่า ก่อน 6 โมงเย็น....

รีวิวผู้อ่าน