Chapter 1: การกำเนิดของยุคเหล็กดำ
หลังจากที่ฝนตกมาทั้งคืน พวกผงถ่านก็ถูกชำระล้างออกไปหมด มันยากที่จะสูดอากาศที่บริสุทธิ์ได้ จางเทีย ได้เดินไปตามถนนที่มุ่งหน้าสู่โรงเรียนไปตามลำพัง –
“ ควันที่ปล่อยออกมาจากปล่องไฟพวกนี้น่าจะมีสีฟ้ามากกว่านี้หน่อย “ – เขาคิดกับตัวเองในตอนที่เดินข้ามแอ่งน้ำที่อยู่บนพื้นซึ่งมีสีดำและมีกลิ่นถ่านที่อยู่ตามเขตโรงงาน ในตอนที่เมืองนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัยแต่มันก็ยังทำให้รู้สึกได้ถึงการถูกจำกัดและความแออัดด้วย เมื่อมองออกไปไกล จางเทีย ก็เห็นปล่องควันขนาดใหญ่ที่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
ครูเขาบอกว่าปล่องควันพวกนี้แสดงให้เห็นถึงความเจริญและการอยู่รอดของมนุษย์แต่มันก็ทำให้เขานึกถึงไอ้จ้อนตัวเองและควันสีดำที่ปล่อยออกมานั้นก็ไม่ต่างกับของเหลวที่ปล่อยออกมาจากไอ้จ้อน ปล่องควันพวกนี้ปล่อยควันออกมาเหมือนกับที่ไอ้จ้อนเขาทำ แม้ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนเขาฝันถึงใครแต่นี่เป็นครั้งที่สามในอาทิตย์นี้แล้วที่เขาฝันเปียก ในยุคนี้มีหลายอย่างที่ขาดหายไปในการใช้ชีวิตประจำวัน จางเทีย นั้นมีกางเกงในแค่เพียงสี่ตัวเท่านั้น สองตัวนั้นได้มาโดยเอาเสื้อที่ขาดของพ่อตัวเองมาเย็บใหม่ ส่วนอีกสองตัวนั้นได้มากจากพี่ชายตัวเอง เพราะทุกวันนี้ฝนมันตกตลอด ทำให้กางเกงในสองตัวเขายังคงเปียกอยู่รวมถึงตัวที่เขาใส่อยู่ตอนนี้ด้วย มันยังคงชื้นๆอยู่ ดังนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใส่มันทั้งๆที่ชื้นนี่แหละ
การใส่กางเกงในชื้นๆนี่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด ผลก็คือเขามักจะเจ็บไอ้จ้อนตลอด มันยังรู้สึกเย็นด้วย จางเทีย ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำได้แค่ขนลุก ที่สำคัญกว่านั้นทำไมเด็กอายุ 15 ปีต้องมาเจอกับเรื่องทรมานแบบนี้ด้วย !
มีคำพูดบอกว่าสังคมมนุษย์นั้นมีวัตถุดิบมากมายก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติ ในยุคนั้นกางเกงในขายด้วยราคาถูกๆ ยิ่งกว่านั้นยังมีของอย่างพวกบุหรี่, ไวน์, เนื้อและของหายากต่างๆในสมัยนี้วางขายอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าซุปเปอร์มาเก็ต ตอนนั้นคนธรรมดาสามารถซื้อข้าวได้ 40-70 กก.ต่อวันซึ่งจำนวนนั้นมันเพียงพอที่เขาจะใช้อยู่ได้ถึงครึ่งรึหนึ่งเดือน บางทีอาจอยู่ได้นานกว่านั้น ยังมีคำพูดว่ามีพลังงานลึกลับบางอย่างที่เรียกว่า ‘ ไฟฟ้า ‘ ได้ถูกสร้างขึ้นมา มนุษย์สามารถใช้มันทำสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้ อีกอย่างคนมักจะประดิษฐ์อาวุธดีๆมากมายซึ่งทำให้พวกเขากลายเป็นผู้มีอำนาจในการกำกับท้องฟ้าได้ พวกเขาหยิ่งทะนงว่าตัวเองสามารถได้อะไรก็ได้ที่ต้องการ โชคร้ายว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือภัยพิบัติ
จางเทีย คิดว่าพระเจ้าคงไม่อยู่เฉยกับความโลภไม่รู้จบของมนุษย์ ดังนั้นแล้วจึงได้ปล่อยภัยพิบัติลงมาและได้สร้างดวงดาวแห่งเทพขึ้น เพราะการลงโทษของพระเจ้านั้นทำให้มนุษย์ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ ผลลัพธ์ก็คือมนุษย์ได้สูญเสียเครื่องมือที่สร้างขึ้นจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไป พวกเขาไม่มีไฟฟ้า,พลังงานนิวเคลียร์, ระเบิด, รึอาวุธที่น่าอัศจรรย์ต่างๆ ตามคำพูดที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดมีบางบทความได้บอกว่าอุกกาบาตนั้นได้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของร่างกายมนุษย์ด้วย คิดซะว่าดาวดวงเดิมนั้นคือหม้อที่มีน้ำธรรมดา เมื่อพระเจ้ารู้ว่ามนุษย์นั้นทำตัวไม่น่าไว้วางใจ พวกเขาก็แค่เทเกลือรึพริกไทยลงไปและผลลัพธ์ก็คือน้ำนั่นก็จะเปลี่ยนไป ดาวดวงนี้เองก็เช่นกัน มันไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป
หลังจากภัยพิบัติแล้วที่คนรู้สึกคือโชคดีที่ของอย่างพวกเหล็กนั้นยังคงแข็งอย่างที่มันเคยเป็น พวกเขาสามารถใช้มันมาทำเป็นดาบ,เกราะและเครื่องมือต่างๆให้กับกองทัพได้ ถ่านดำยังคงใช้งานได้ พวกมันสามารถนำมาสร้างแสงสว่าง,ความร้อนและพลังงานให้กับมนุษย์ได้ ในอีกความหมายคือทุกอย่างทำขึ้นมาจากของสองอย่างด้านบนทั้งพวกดาบ,เกราะ, พลังงานความร้อน ของพวกนี้ล้วนแต่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของมนุษย์ยุคนี้...
เขาเดินจากบ้านมาโรงเรียนโดยใช้เวลามากกว่า 40 นาที จางเทียง ต้องเดินผ่านสลัมในส่วนทิศาตะวันตกของเมือง Blackhot และเขตเสื่อมโทรมที่ชายขอบเขตโรงสีก่อนที่จะมาถึงโรงเรียน ชื่อของเมือง Blackhot นั้นได้มาจากชื่อภูเขาที่ตั้งอยู่ข้างๆเมือง มันมีคำพูดบอกว่าภูเขานี้เป็นภูเขาที่ยาวที่สุดในทวีปคุนหยางก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติ ตอนนั้นคนได้สร้างเครื่องบินที่บินเร็วยิ่งกว่าเสียงแต่เครื่องบินนั่นก็ยังต้องใช้เวลาหลายเดือนก่อนจะบินไปตั้งแต่จากภูเขาฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง เอาเมือง Blackhot เป็นตัวอย่าง มันคือส่วนหนึ่งของภูเขา Blackhot มันยาวกว่า 20,000 กม. ระยะทางที่คนหลายคนใช้ทั้งชีวิตก็เดินทางระยะทางเท่านี้ไม่ได้
ในตอนที่เกิดภัยพิบัติขึ้นมา ทวีปคุนหยางซึ่งมีพื้นที่กว่าร้อยล้านตารางไมล์ได้ถูกแบ่งออกเป็นชิ้นๆเพราะแผ่นดินไหว มีแผ่นดินหลายส่วนได้ถูกสร้างขึ้นมาและมีหลายส่วนได้หายไป เพราะภัยพิบัติที่เกิดขึ้นมาทำให้ทุกคนในวันนี้จินตการถึงความวิเศษของภูเขาและความกว้างใหญ่ของทวีปนี้ไม่ได้ แม้แต่ตอนนี้โลกก็ยังคงใหญ่เกินไปสำหรับทุกคน ทางทิศตะวันออกห่างออกไป 800 กม.และทางทิศเหนือของเมืองนั้นยังไม่มีใครไปสำรวจ มันยังคงเป็นพื้นที่ที่ทุกคนยังไม่รู้จัก แต่พื้นที่ที่เมืองนี้ตั้งอยู่นั้นอยู่ทางทิศใต้ของภูเขากินพื้นที่ไปกว่า 400 ล้านตร.กม. มีคนกว่า 9 พันล้านคนอาศัยอยู่ที่นี่ มันเป็นการรวมตัวกันของหลายประเทศ หลายเมืองและหลายกองกำลัง แต่ถึงยังไงในแผนที่แล้วที่นี่ก็ดูเล็กลงไปทันตา ด้วยการที่ทางทิศเหนือและทิศตะวันตกนั้นส่วนมากเป็นภูเขาและทางทิศใต้และทิศตะวันออกเองก็เป็นทะเล ทำให้ที่นี่เป็นที่ที่มีคนอาศัยอยู่เยอะ ในแผนที่แล้วที่นี่มีชื่อว่าศูนย์รวมเผ่าพันธ์มนุษย์แบล็คสัน
หลังจากที่เกิดภัยพิบัติ ต้องใช้เวลากว่า 100 ปีกว่าที่มนุษย์จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาวโลกแห่งนี้ ใช้เวลาอีกกว่าเกือบร้อยปีเพื่อที่จะฟื้นฟูสังคมขึ้นมาเล็กน้อย ไม่คาดคิดเลยว่าพวกเขาได้พบว่ามนุษย์นั้นไม่ใช่ผู้กำหนดทุกอย่างของโลกใบนี้แล้ว มีปิศาจจากใต้ดินได้เข้ารุกรานมนุษย์และเอาพวกเขาไปเป็นทาส พวกมันได้ทำให้ดาวดวงนี้อันตรายและสร้างความหายนะให้กับมนุษย์
วันนี้คือวันครบรอบปีที่ 889 ตามปฏิทินของแบล็คไอรอนโดยนับจากหลังเกิดภัยพิบัติ มนุษย์ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นและยืนหยัดในทวีปคุนหยางได้อีกครั้ง อีกอย่างด้วยเหล็ก,เครื่องจักรที่มีอยู่ตอนนี้ทำให้พวกเขามีความทะเยอทะยานที่จะสำรวจดาวดวงนี้เพิ่มและทำให้พวกเขาได้กลับมาเป็นผู้กำกับโลกนี้อีกครั้ง
เมืองแบล็คฮ็อตนั้นก่อตั้งได้ไม่ถึง 40 ปี มันคือสัญลักษณ์ของความทะเยอทะยานของมนุษย์ มันยังดูอ่อนด้อยเมื่อไปเทียบกับหลายประเทศและหลายเมืองที่อยู่ในเขตทางทิศใต้ของภูเขาแบล็คฮ็อต เมือแบล็คฮ็อตนี้ก่อตั้งขึ้นมาโดยนักธุรกิจซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานเองด้วย เพราะเป็นเมืองอุตสาหกรรม มันจึงถูกจับจองโดยพวกสภาความมั่นคง มันก็เหมือนกับเมืองที่ก่อตั้งในยุคนี้ เมืองนี้พึ่งแหล่งพลังงานโดยรวมถึงพวกถ่านและแร่ต่างๆ ทั้งเมืองและผู้อาศัยกว่า 3 ล้านคนนั้นต่างก็พึ่งสิ่งเหล่านี้ซึ่งมาจากใต้ดินของเมือง ที่นี่มี CSIF คอยดูแล มีหัวรถจักรนับไม่ถ้วนที่บรรจุถ่าน,เหล็ก,มีด,ดาบและเกราะอีกทั้งยังอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆออกจากโรงงานแล้วส่งออกไปนอกเมือง ยังมีสินค้าภายนอกได้ส่งเข้ามาในเมืองด้วย
ปล่องไฟส่วนมากนั้นเป็นโรงงานซึ่งพ่อของ จางเทีย เองก็ทำงานอยู่ที่นั่นด้วย เพราะมันเป็นโรงหลอม มันจึงทำงานตลอดเวลา ตั้งแต่ที่ จางเทีย เกิดมาในโลกใบนี้ ปล่องควันพวกนั้นก็ปล่อยควันดำออกมาตลอด มันเป็นเครื่องหมายถึงการฟื้นตัวของมนุษย์
ในตอนที่ จางเทีย มาถึงโรงเรียน เขาก็เห็นว่ามี กัปตันเคอร์ลิน เจ้าหน้าที่กองทัพและผู้อำนวยการโรงเรียนนั้นยืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างเช่นเคย แววตาราวกับกระทิงดุจ้องไปที่นักเรียนแต่ละคนที่เข้ามาในโรงเรียนแห่งชาติชาติที่เจ็ดของเมือง มืออีกข้างเขาถือกระบอกเหล็กไว้ราวกับมันเป็นไม้จิ้มฟันแล้วเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาส่งเสียงน่ากลัวออกมา ไม่มีนักเรียนคนไหนที่กล้ามองไปที่ใบหน้าที่น่ากลัวของเขาซึ่งมาผ้าปิดตาข้างหนึ่งคาดเอาไว้ พวกนักเรียนต่างก็รีบเดินผ่านไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้พร้อมกับก้มหัวลงต่ำด้วย
“ หยุด ! “ – เด็กชายผู้โชคร้ายซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจาก จางเทีย เท่าไหร่ได้หยุด เสียงราวกับฟ้าผ่านั้นทำให้ทุกคนขนลุกขึ้นมา ในตอนที่พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่โดนเรียก พวกเขาก็รีบก้มหัวและเดินผ่านประตูไปเงียบๆพร้อมกับสวดภาวนาให้เด็กคนที่โดนเรียกไปด้วย
เด็กชายผู้น่าสงสารหน้าซีดลง ในตอนที่เขาเห็น กัปตันเคอร์ลิน เดินเข้ามาหาเขา ขาของเขาก็สั่นและตอบกลับตะกุกตะกัก – “ กัปตัน...เคอร์ลิน ... “
ชายตาเดียวผู้น่ากลัวที่สุดในโรงเรียน บางทีอาจจะที่สุดในเมืองก็ได้ เขาชอบที่โดนเรียกว่า กัปตันเคอร์ลิน แทนที่จะโดนเรียกว่า ผู้อำนวยการเคอร์ลิน เพราะชายคนนี้น่ากลัวพอๆกับปิศาจ การต่อต้านรึดิ้นรนต่อหน้าเขามีแต่จะทำให้เขาน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
กัปตันเคอร์ลิน ชี้ไปที่กางเกงของเด็กชายคนนั้นด้วยกระบองเหล็กในมือ
บางทีอาจเป็นเพราะฝนตกจึงมีโคลนเปื้อนที่กางเกงของเด็กคนนั้น นั้นถือว่าเป็นความผิดอย่างร้ายแรงสำหรับ กัปตันเคอร์ลิน
“ ผม...ผมจะไปทำความสะอาดมันตอนนี้เลย ! “
กัปตันเคอร์ลิน ยกมือขึ้นมองนาฬิกาตัวองแล้วค่อยๆเผยสีหน้าออกมา เขาเงียบมานานกว่า 10 วินาทีพร้อมกับใช้กระบองฟาดเข้าไปที่มือตัวเอง มันส่งเสียง ‘ ปั๊กๆๆ ’ ที่น่ากลัวออกมา
จางเทีย เดาว่าชายคนนี้แค่อยากจะโชว์นาฬิกาตัวเอง ในตอนที่เอาแท่งเหล็กตีไปที่มือ มันทำให้เขานึถึง หมาจิ้งจอกที่ส่ายหางไปมา
“ แกรู้ใช่มั้ยจะเกิดอะไรขึ้นถ้าตอนเลิกเรียนฉันเห็นว่ามันยังเปื้อนอยู่ ! ”
“ ผมรู้...ผมรู้... “ – เด็กชายผู้โชคร้ายรีบวิ่งเข้าไปในโรงเรียนเหมือนกับโดนยกโทษให้ ในตอนที่ จางเทีย สงสัยว่าทำไม กัปตันเคอร์ลิน วันนี้ถึงใจดีนัก ตอนนั้นเองชายตาเดียวก็มองมาที่ จางเทีย และรีบจัดผมตัวเองใหม่ เขายืดอกอวดหน้าอกที่สร้างขึ้นมาอีกทั้งยังโพสท่าอีก เขากระดิกกล้ามโชว์ด้วย นอกจากนี้เขายังยิ้มออกมาซึ่งทำให้ จางเทีย หลอนไปเลย
“ มิสไดน่า อรุณสวัสดิ์ ! “
กลิ่นหอมผัดผ่าน จางเทีย ไปพร้อมกับมีสาวสวยคนหนึ่งเดินผ่านเขาไปด้วย ไม่จำเป็นต้องพูดด้วยซ้ำ จางเทีย รู้ว่าเธอเป็นใคร ฝันเมื่อคืนนั้นเริ่มชัดเจนแล้ว จางเทีย ถึงกับกลั้นหายใจในตอนที่เขาเห็นเอวอันคอดกิ่วและสะโพกของเธอด้านหลัง ผมสีน้ำตาลที่ขดไปมา เทพธิดาเดียน่า ได้เดินผ่านประตูโรงเรียนไปภายใต้สายตาหื่นกระหายของเหล่านักเรียนชาย เทพธิดานั้นพยักหน้าให้ชายตาเดียวที่ซึ่งทักทายเธอ เขาตกใจและหน้าได้เปลี่ยนเป็นสีแดงจนสุดท้ายท่อนเหล็กในมือนั้นงอลงสะท้อนให้เห็นสีหน้าที่น่ากลัวของเขาออกมาด้วย
มิสไดน่า นั้นเป็นผู้หญิงที่นักเรียนชายทุกคนในโรงเรียนอยากเจอในความฝัน พวกเขาล้วนแต่จินตนาการถึงเธอในตอนที่ช่วยตัวเอง สามีของเธอได้ตายไปไม่นานหลังจากที่แต่งงาน เธอคือเทพธิดาเพียงคนเดียวในโรงเรียนแห่งนี้ เธอเหมือนดอกไม้บนหน้าผาและเป็นคนที่ จางเทีย ตกหลุมรัก เธอเป็นคนที่ทำให้เขามีชีวิตชีวา
“ ในอีกสองปีผมก็จะซื้อบ้านในเมืองได้แล้ว ! “ – ชายตาเดียวตะโกนออกมาเหมือนกับสิงโตคึก ด้วยท่าทีน่ารังเกียจและหื่นแบบนี้ จางเทีย อยากไปฆ่ามันและอยากไปแทนที่มันในตอนที่เขาคิดถึงฉากที่ซึ่ง เทพธิดาไดน่า ร้องคางออกมาด้วยความเจ็บปวดอยู่ใต้ตัวของมัน...
“ แกจะมองอะไร ? “ – เขามองด้วยสายตาโหดร้ายไปที่นักเรียนคนที่เหลือพร้อมกับตะโกนออกมา ผลก็คือทุกคนรวมถึง จางเทีย ด้วยได้แต่ก้มหน้าลงและเดินเข้าประตูโรงเรียนไป จางเทีย พยายามสูดกลิ่นหอมที่เหลืออยู่ในอากาศ สาวสวยคนนี้ทำให้ จางเทีย ต้องช่วยตัวเองตลอด เขาไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเธอด้วยซ้ำ ถ้า เทพธิดาไดน่า คือหงทีสง่าในแม่น้ำ งั้น จางเทีย คงเป็นได้แค่เป็ดที่ตกบ่อโคลน เขาก้มหน้าลงและมองไปที่รองเท้าหนังอันเก่าของตัวเองและหงุดหงิด มีอะไรบ้างที่เด็กจนๆอย่างเขาจะเอาให้เทพธิดาคนนี้ได้บ้าง ? ขนาดไอ้โหดนั่น เธอยังไม่สนใจเลย เขาจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะมีปัญญาไปซื้อบ้านในเมืองได้อย่างไอ้โหดนั่น ? 30 รึ 40 ปี ? เมื่อคิดได้แบบนั้ จางเทีย ก็สลดแต่สิ่งทีอยู่ในกางเกงเขากลับแข็งขึ้นมาเมื่อได้กลิ่นหอมที่พัดโชยผ่านเขาไป...
บนกำแพงหินตรงหน้าเขามีคำพูดหลายคำถูกสลักไว้บนกำแพงนั่น --- ยินดีต้อนรับเข้าสู่ยุคเหล็กดำ (WELCOME TO THE AGE OF BLACK IRON)