“งั้นฉันสอนนายเอง” ฉูจิงเหวินก็ตอบมา เธอรู้ว่านี่มันเป็นเพียงข้ออ้าง แต่ถ้าหากมีคนต้องการชวนเธอไปเต้นรำแล้ว เธอพบว่ามันยากที่จะปฏิเสธ แน่นอนว่าเธอก็จะพูดแบบเย่โม่ทันที ผู้คนรอบข้างก็มองไปที่เธอ “สอนเขาหรอ? คิดว่าเรื่องแบบนี้จะสามารถเรียนรู้ได้ทันงั้นหรอ?”
“จิงเหวินเอาอย่างนี้แล้วกัน เกี่ยวกับเรื่องการเต้นเปิด ผมจะเต้นรำกับคุณก่อน แล้วผมจะโทรเรียกนักเต้นมืออาชีพมาสอนเย่โม่ว่าเต้นยังไงทีหลังแล้วกัน” ทันใดนั้นก็มีคนพูดออกมา นั้นคือหวังเฟิง “หมอนี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย” เย่โม่คิดแล้วมองไปที่หวังเฟิง ซึ่งหวังเฟิงก็จ้องเขากลับมาอย่างเยือกเย็น มันคือคำเตือนผ่านสายตา
อย่างไรก็ตาม เย่โม่ก็ระมัดระวัง มันไม่ใช่เพราะว่าหวังเฟิงแสดงความเกียจชังต่อเขา แต่เพราะมือของหวังเฟิงหายเป็นปกติแล้ว เย่โม่รู้วิชาของเขาดี เขาปล่อยลมปราณสีเงินใส่เข้าไปในกระดูกของหวังเฟิง ซึ่งการแพทย์ปัจจุบันไม่น่ามีวิธีจะเอาลมปราณออกมาได้
ถ้าเขาอยากรักษาข้อมือให้หายเป็นปกติ เขาจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญคนที่บ่มเพาะลมปราณหรือบ่มเพาะพลังฉี แล้วมันมีผู้เชี่ยวชาญแบบนี้ด้วยรึไง? ดูเหมือนในอนาคตคงจำเป็นต้องระวังตัวแล้วละ เขาไม่รู้ว่าผู้เชี่ยวชาญในโลกนี้ทำอะไรได้บ้าง เพราะงั้นเขาต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะดูเหมือนไม่มีผู้บ่มเพาะที่โลกใบนี้ แล้วใครจะแน่ใจได้? เขาเป็นผู้บ่มเพาะที่หลบซ่อนอยู่ในเมืองนี้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะปกติยังไม่อยากสู้กับคนที่ฝึกวรยุทธถึงขั้นสมบูรณ์แบบเลย แม้เย่โม่จะฝึกฝนทั้งสองอย่าง เขาก็ยังไม่กล้าที่จะประมาท ไม่ว่ายังไงพลังของเขาก็ยังค่อนข้างต่ำอยู่ดี
“ไม่จำเป็น เย่โม่ให้ฉันสอนนายเอง” จู่ๆ ฉูจิงเหวินก็ปฏิเสธคำแนะนำของหวังเฟิง และยังไม่ละสายตาออกจากเย่โม่ที่กำลังยิ้มบางๆ ถ้าหากว่าหวังเฟิงไม่ได้เข้ามายุ่ง เย่โม่ก็จะพูดไปว่าเขาไม่สามารถเรียนการเต้นรำได้ในเวลาสั้นๆ แต่เพราะหวังเฟิงเข้ามายุ่งแล้วยังมุ่งเป้ามาที่เขาอีก เย่โม่ก็ไม่มีทางถอยแน่
“เอาหล่ะ เธอไม่ต้องสอนฉัน แค่บอกฉันครั้งเดียวพอ” พอได้ฟังคำพูดของเย่โม่ หวังเฟิงก็รู้สึกรำคาญเย่โม่มากๆ “เขาจะเรียนเต้นด้วยการฟังครั้งเดียวเนี่ยนะ?” ไม่มีใครเชื่อเลยสักนิด แม้แต่ฉูจิงเหวินก็ยังไม่เชื่อ แต่เธอก็แค่ต้องการให้เย่โม่เต้นกับเธอ เธอไม่ได้คิดจริงๆ ว่าเย่โม่ต้องการฟังเพียงแค่ครั้งเดียวเพื่อเรียนรู้โดยไม่ซ้อม อย่างไรก็ตามเนื่องจากเย่โม่พูด ฉูจิงเหวินจึงอธิบายพร้อมการขยับท่าทางของการเต้นวอลซ์ และแสดงการเต้นให้เขาดูนิดหน่อย
“แค่นั้นก็พอแล้วละ” พอเห็นว่าฉูจิงเหวินเต้นเสร็จ เย่โม่ก็ยิ้มและหยุดเธอ ในขณะเดียวกันเพลงเต้นเปิดก็เริ่มบรรเลงขึ้น ทุกๆ คนมองไปที่เย่โม่กับฉูจิงเหวินที่กำลังเดินเข้าสู่พื้นที่เต้นรำ พวกเขาอยากจะเห็นเย่โม่ว่าจะทำยังไง และบางคนรอเห็นเย่โม่อับอาย
หนิงฉิงซูมองไปที่เย่โม่ เธอรู้สึกว่าที่เย่โม่ยิ้มนั้นหมายความว่าเขามั่นใจมาก เย่โม่จับไปที่มือของฉูจิงเหวิน กลิ่นน้ำหอมจางๆ ก็ลอยเข้ามาแตะจมูก ทำให้เขาถูกปกคลุมไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนที่ยากเกินบรรยาย ซึ่งเมื่อก่อนนั้นเขาเคยหลบหนีไปกับอาจารย์ ทำให้เขาไม่เคยใกล้ชิดผู้หญิงคนไหนมาก่อน มันทำให้ใจของเย่โม่เริ่มเต้นเร็วขึ้น แม้ว่าในชีวิตแล้วลู่หยิงจะพาเขาหลบหนี ตอนนั้นมันก็แค่ชั่วครู่เท่านั้นและยังไม่มีโอกาสจะตอบสนองทัน เขาก็หมดสติไปก่อน ตอนนี้มันต่างไปเพราะเขาจับมือฉูจิงเหวิน และเคลื่อนไหวตามเสียงโดนตรี
“เย่โม่ นายหลอกฉัน นายบอกว่านายไม่รู้วิธีเต้น แต่การเต้นของนายมันสมบูรณ์แบบมาก ฉันไม่เชื่อนายหรอกว่านายจะสามารถเต้นได้ดีขนาดนี้ด้วยการฟังแค่ครั้งเดียว!” เมื่อฉูจิงเหวินเริ่มเต้นกับเย่โม่ เธอก็รู้ทันทีเลยว่าเย่โม่ไม่ใช่คนที่ไม่เคยเต้นมาก่อน การเคลื่อนไหวของเขานั้น คล่องแคล่วและยังเต้นเข้ากับจังหวะดนตรีมากกว่าเธออีก
เย่โม่ไม่ได้อธิบายว่าทำไมเขาถึงเข้าใจเพียงฟังแค่ครั้งเดียว มันไร้ประโยชน์ถ้าหากเขาจะอธิบาย จะให้เขาบอกฉูจิงเหวินว่าเขามีสัมผัสวิญญาณงั้นหรอ? การเคลื่อนไวพวกนี้มันเป็นอะไรที่ธรรมดามากเมื่อเทียบกับการฝึกฝนของเขา แต่เขาก็ยังถูกถาม “นายเต้นบ่อยใหม?”
เย่โม่จับมือของฉูจิงเหวิน และเธอรู้สึกถึงอุณหภูมิในร่างกายของเขาผ่านมือ บางครั้งเธอก็ชนร่างเย่โม่ ทำให้ฉูจิงเหวินรู้สึกราวกับกำลังเล่นกับไฟ เสน่ห์ของเย่โม่ทำให้รู้สึกอึ้ง และลมหายใจอันแผ่วเบาของเขายังทำให้เธอรู้สึกสงบสุข นี่เขาเป็นนักศึกษาจริงๆ รึเปล่าเนี้ย?
ทุกคนรอบๆ มองเย่โม่กับฉูจิงเหวินเต้นไปมาอย่างเข้าขา และทุกคนก็ตระหนักได้ว่าเย่โม่เพียงแต่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้วิธีเต้น ในยุคนี้จะมีนายน้อยคนใหนกันหล่ะที่ไม่รู้จักวิธีเต้นบ้าง?
ใบหน้าของหวังเฟิงซีดลงไปด้วยความโกรธเพราะเขาถูกหลอก นี่มันทำให้เขาแค้นเคืองมาก และในใจเขาก็วางเย่โม่ใว้ในจุดเดียวกับคนขายยันต์ ซึ่งชะตากรรมที่แสนน่ากลัวกำลังรอเขาอยู่ หนิงฉิงซูมองอย่างเงียบๆ ไปที่เย่โม่และฉูจิงเหวินที่เต้นอย่างเข้าขา ในขณะที่เธอกำลังฟังเพลงอันนุ่มนวล ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ใบหน้าเธอดูสงบ หลังจากจังหวะเพลงจบลง ปรากฏว่าฉูจิงเหวินกลับจมอยู่ในวังวนของอารมณ์ต่างๆ แต่หลังจากได้ยินเสียงปรบมือรอบๆ ตัว เธอก็ตระหนักได้ว่าเพลงได้จบลงแล้ว แต่ช่วยไม่ได้กับการที่เธอจะรำลึกถึงการเต้นเมื่อกี้
แล้วบทเพลงก็ได้บรรเลงขึ้นอีกครั้ง แล้วทุกคนก็ได้เริ่มมองหาคู่เต้น ในขณะที่พวกเขาเข้าสู้พื้นที่เต้นรำ ในขณะที่หวังเฟิงจะชวนฉูจิงเหวินไปเต้นอีกรอบ เขาก็พบกับหนิงฉิงซูทันที และดวงตาก็เป็นประกายขึ้น
เขาจึงรีบเดินตรงไปแล้วถามว่า “สวัสดีครับ ผมชื่อหวังเฟิง จะให้เกียรติในการเต้นรำกับผมได้ใหมครับ?”
หนิงฉิงซูมองอย่างเย็นชาไปที่หวังเฟิง และไม่ได้ตอบไป เธอก็เดินไปข้างเย่โม่แทนแล้วพูดว่า “เย่โม่ เมื่อกี้ฉันไม่มีโอกาสได้พูดเลย เรามาคุยกันต่อได้ไหม?” หวังเฟิงโกรธแค้นทันทีและหน้าซีดลง ฉูจิงเหวินรู้แล้วว่าหนิงฉิงซูและเย่โม่ได้ล้มเลิกงานหมั้นกันแล้ว แต่เธอไม่รู้ว่าทำไมหนิงฉิงซูเอาแต่ถามเย่โม่อยู่ได้ มีเรื่องอะไรอีกงั้นหรอ?
เมื่อเห็นฉูจิงเหวินอยากพูดอะไรสักอย่าง ลีมู่เหม่ยเดินตรงมาดึงฉูจิงเหวิน “จิงเหวิน ฉันมีเรื่องจำเป็นต้องคุยกับเธอ ไปกันเถอะ!” พอเห็นว่าฉูจิงเหวินออกห่างแล้ว เย่โม่มองไปที่ฉูจิงเหวินแล้วพูดว่า “เอาหล่ะ เราไปนั่งตรงด้านข้างกันสักพักเถอะ” เดิมทีแล้วเย่โม่มีแผนที่จะออกจากงานหลังเต้นเสร็จ แต่ก็ทำได้เพียงอยู่กับหนิงฉิงซูเท่านั้น หวังเฟิงมองไปที่หนิงฉิงซูราวกับเทพธิดาที่ถูกเย่โม่เอาไป ถึงแม้เขาจะโกรธ เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ที่เขาคิดก็คือเวลาที่เขาจะได้สอนบทเรียนเย่โม่ให้มันหลาบจำ
หลังจากหาที่นั่งมุมเงียบๆ เย่โม่ก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมไม่ได้เป็นสมาชิกในตระกูลเย่อีกแล้ว ตอนนี้พวกเราอยู่คนละโลก แล้วคุณยังต้องการให้ผมทำอะไรอีก?”
หนิงฉิงซูเงียบไปสักพักก็พูดขึ้นว่า “เย่โม่ ฉันไม่อยากพูดตรงนี้ เราไปที่ที่นายอาศัยอยู่คืนนี้ได้ไหม? ฉันต้องขอโทษจริงๆ แต่ฉันต้องการความช่วยเหลือของนายจริงๆ นะ....”
“อะไรนะ?” เย่โม่คิดว่าเขาฟังผิด ผู้หญิงอย่างหนิงฉิงซูเป็นฝ่ายเริ่มถามถึงการไปที่ที่เขาอาศัยอยู่คืนนี้? ไม่ว่ามันลงเอยแบบใหน แต่แบบนี้มันไม่ใช่