“แขนนายหรอ?” ฉูจิงเหวินจ้องมองไปเย่โม่ที่ดูไม่เป็นอะไรเลย แล้ว สังเกตไปที่มือของเย่โม่ด้วยความตกใจ พอเย่โม่เห็นฉูเหม่ยหน้าบึ้ง เลยพูดออกมาว่า “จิงเหวิน ฉันขอไปพักซักหน่อยแล้วกัน” หลังจากเย่โม่พูดออกไป เขาก็เดินไปด้านข้างเพื่อเปลี่ยนโต๊ะ
“เย่โม่หรอ?” หนิงฉิงซูมองไปที่ลีมู่เหม่ยอย่างประหลาดใจ เธอคิดว่าคนๆ นี้คือเย่โม่งั้นหรอ? ลีมู่เหม่ยยิ้มอย่างขมขื่น ในระหว่างที่ดึงหนิงฉิงซูมาข้างๆ แล้วพูดว่า “เขานี่แหละคือเย่โม่ที่เธอเคยหมั้น ดูเหมือนเขาก็แค่เปลี่ยนไปกว่าก่อนหน้านี้นิดนึงนะ ไม่เพียงแต่หน้าตาที่เปลี่ยนไป นิสัยเขาก็ยังไม่เหมือนแต่ก่อนเลยสักนิด ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา อีกอย่างฉันก็ไม่เคยพบเขามาก่อน และฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมจิงเหวินถึงเชิญเขามาร่วมงาน”
“เขาน่ะหรอเย่โม่?” หนิงฉิงซูมองไปที่เย่โม่อีกครั้ง คำพูดและการกระทำของเย่โม่นั้นดูไม่อวดดีหรือถ่อมตัว ถึงแม้เขาจะสวมชุดธรรมดา แต่ลักษณะท่าทางเขาเป็นธรรมชาติและทำตัวตามสบาย เขาดูไม่งุ่มง่ามและยังไม่มีนิสัยแบบพวกลูกคุณหนูทั้งหลาย เธอรู้สึกว่าเขามีบรรยากาศหนุ่มเจ้าเสน่ห์จางๆ จากระยะไกล
“ทำไมคนอย่างเขาถึง….เสื่อมสมรรถภาพทางเพศละ?” หนิงฉิงซูเริ่มรู้สึกลังเล แต่แล้วเธอก็เยาะเย้ยตัวเอง ถ้าเย่โม่คือคนๆ นี้ เธอก็ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นด้วยแผนการของเธอไหม
“ฉิงซู ฉันรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปมากเลย อย่างแรกเราต้องลองไปสืบข้อมูลจากเขาก่อน เธอนั่งก่อนเลย” เมื่อลีมู่เหม่ยเห็นเย่โม่ เธอก็รู้สึกลังเลต่อแผนของเธอเอง เย่โม่ในสายตาเธอไม่ได้ดูเหมือนกับคนที่ไร้ค่าเหมือนที่คนอื่นพูดกัน ถ้าพวกเธอต้องจู้จี้จุกจิก นั่นมันก็คือผมของเยโม่ที่กระเซอะกระเซิงๆ ที่ไม่เป็นทรง
หนิงฉิงซูจับมือลีมู่เหม่ย “มู่เหม่ย ฉันควรเป็นคนที่ทำเรื่องนี้เอง” เย่โม่จ้องมองทุกคนที่ร่ำรวย แต่ละคนก็ยังสวมชุดหรูหราทั้งนั้น พอเอามาเทียบแล้ว เขาแต่งตัวได้โคตรจนเลยแต่เขาก็ไม่ละอายสักนิด เขากลับสงบนิ่งมาก เมื่อใดคนเรามีจุดสูงสุดของชีวิตที่แตกต่างกับคนอื่น ความคิดของเขาก็จะไม่มีทางเหมือนคนอื่น และความร่ำรวย ความหรูหราจะไม่มีผลกระทบต่อพวกเขา แม้ว่าเย่โม่จะมีชุดหรูหราพวกนั้น เขาก็ยังจะใช้ชีวิตตามใจตัวเอง เขาไม่มีความสนใจในสิ่งของพวกนี้ แต่ถ้าเขาสนใจมัน เขามั่นใจว่าเขาจะกลายเป็นคนร่ำรวยที่ทุกคนต้องให้ความเคารพ แล้วยังไงล่ะ? ชีวิตนั้นแสนสั้น อยู่ได้แค่ไม่กี่ทศวรรษเอง เมื่อคุณเกิดมาคุณก็ไม่ได้เอาอะไรมาด้วย แล้วเมื่อไหร่ที่คุณตายก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้อยู่ดี
เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือความเป็นอมตะ แม้ว่าการบ่มเพาะเขาจะช้า แต่เจตนาก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาเป็นห่วงอาจารย์ลู่หยิงมากกว่า ความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขาก็ยังปฏิเสธไม่ได้และที่เขามีต่อเธอด้วย ส่วนเรื่องอื่นก็เหมือนกับเมฆที่พัดผ่านเขาไป
“เย่โม่…” หนิงฉิงซูมาที่ด้านข้างโต๊ะของเยโม่และเรียกเขา น้ำเสียงแผ่วเบาของเธอที่สั่นเคลือได้หลอกหลวงต่อความรู้สึกหลากหลายของตัวเธอเอง
“จะนั่งก็ได้นะ” เย่โม่แสยะยิ้ม จู่ๆ หนิงฉิงซูก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกอันคุ้นเคยเมื่อนานมาแล้ว แม้เธอจะรู้ว่าพึ่งเคยพบเย่โม่เป็นครั้งแรกก็ตาม
“ขอบคุณ” หนิงฉิงซูนั่งลง แล้วรู้สึกถึงความสบายหรือไม่ก็ความสงบ เย่โม่ราวกับทะเลสาบอันเงียบสงบ ที่ทำให้เธอจิตใจของเธอรู้สึกปลอดภัย
“คิ้วของคุณขมวดเป็นปมแถม ดวงตายังดูอ่อนล้า มีอะไรกวนใจคุณงั้นหรอ? ถ้าผมช่วยได้ ผมก็เต็มใจช่วยนะ” เย่โม่รู้ว่าผู้หญิงอย่างหนิงฉิงซูไม่ได้มาคุยกับผู้ชายคนที่เธอทำลายงานหมั้นอย่างไร้เหตุผล ตั้งแต่เธอเข้ามา เธอต้องมีอะไรกวนใจเธอแน่นอน เพราะงั้นเขาเลยเปิดประเด็นขึ้นก่อน แม้ว่าเธอจะคุยเงียบๆ กับลีมู่เหม่ย เย่โม่ก็ยังได้ยินอยู่ดี เย่โม่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคู่หมั้นของเขาจะเป็นผู้หญิงที่งดงามขนาดนี้ งดงามเกือบเท่ากับลู่หยิงเลยทีเดียว
เขาไม่ได้มีอคติต่อหนิงฉิงซูหรืออาจจะไม่แน่ เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ แต่เมื่อเขาเห็นความทุกข์ในสายตาเธอ มันทำให้เขานึกถึงลู่หยิง หนิงฉิงซูมองเย่โม่ด้วยความตกใจ เธอประหลาดใจในความละเอียดรอบคอบและไหวพริบของเย่โม่ “นี่คือเด็กไร้ค่าที่โดนตระกูลของตัวเองขับไล่หรอเนี่ย?”
“ฉัน…” หนิงฉิงซูครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักพัก แต่ก็ต้องพบว่ามันเป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้ว เธอถอนหายใจแล้วคิดว่า “ถ้าเพียงแค่ลีมู่เหม่ยมาอธิบายแผนการ…..” เย่โม่ที่นั่งตรงข้ามเธอไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกดดันเลยสักนิด แต่ให้ความเยือกเย็นและความสงบแทน หนิงฉิงซูในที่สุดก็ตัดสินใจพูด “คือว่ามันเป็นเพราะงานหมั้นของฉัน….”
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้มันแตกต่างจากเดิม เย่โม่ขมวดคิ้วและรู้สึกว่าจิตใจของเขานั้นสั่นไหว เป็นครั้งแรกที่เขาขัดจังหวะคำพูดของหนิงฉิงซู “ตระกูลหนิงของคุณพังงานหมั้นของเรา แล้วตอนนี้ผมไม่ได้เป็นคนของตระกูลเย่ในปักกิ่งอีกแล้ว….”
เย่โม่ไม่ได้พูดให้จบประโยค แต่ความหมายของมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว นั่นหมายถึงว่าเขาสามารถช่วยอะไรก็ได้ ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งงาน มันก็เพราะว่าตระกูลของเธอเป็นคนพังงานหมั้นก่อน แล้วยังวนกลับมาหาเขาอีก นี่มันล้ำเส้นมากไปแล้ว แม้ว่าเขาจะมีความรู้สึกดีๆ ต่อหนิงฉิงซู มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะได้รับการยกเว้น
“ฉันขอโทษ…..” หนิงฉิงซูรู้สึกหมดหนทาง ส่วนเย่โม่นั้นก็ยิ้มบางๆ “คุณไม่จำเป็นต้องมาขอโทษ ผมมันก็แค่คนที่ไม่มีอะไรดี ที่ถูกตระกูลเย่ขับไล่ ผมไม่เหมาะกับตระกูลหนิงของคุณอยู่แล้ว และการทำลายงานหมั้นก็คือเสรีภาพที่ดีสำหรับผม ผมไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิคุณ ผมก็แค่ไม่อยากพูดถึงมัน”
จิตใจของหนิงฉิงซูพลันหนักอึ้ง ถ้าหากเธอได้ฟังคำพูดพวกนี้ก่อนที่จะมาพบเย่โม่ เธอก็สามารถจะแกล้งกลบเกลื่อนได้ แต่หลังจากเห็นเย่โม่ เธอรู้สึกว่าเธอดูถูกความคิดของเย่โม่มากไป และในความคิดของเธอก็ยังรู้สึกว่าเย่โม่ไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด เธออยากจะหัวเราะตัวเอง เย่โม่คนปัจจุบันดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เขาเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง ตรงไปตรงมาและยังเป็นคนใจกว้าง ซึ่งมันห่างไกลกับเย่โม่ในความทรงจำของเธอ ราวกับเขาไม่เหมือนกับเย่โม่ที่ไม่มีอะไรดี แต่เย่โม่คนนี้ราวกับยืนบนจุดสูงสุดของหมู่เม ฆแล้วมองลงมายังโลกใบนี้อย่างต่ำต้อย ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ทำเธอรู้สึกไม่สบายใจ
เย่โมถอนหายใจ เขารู้ว่าหนิงฉิงซูมีปัญหา แต่เนื่องจากมันไม่ใช่ปัญหาที่เขาสามารถแก้ได้ นอกจากนี้มันก็ไม่มีอะไรที่เขาสามรถทำได้ เขาครุ่นคิดแล้วก็พูดออกไป “เนื่องจากว่า...”
ดูเหมือนว่าหนิงฉิงซูจะรู้ถึงสิ่งที่เย่โม่ต้องการสื่อ เธอขบริมฝีปากแล้วพูดขัดเย่โม่ “คืนนี้ฉันอยากไป….”
จู่เธอรู้สึกมีความสุขที่พูดขัดเย่โม่ได้ ตอนที่เย่โม่พูดขัดเธอ ทำให้เธอไม่สบายใจราวกับสูญเสียบางอย่าง แต่หนิงฉิงซูไม่คิดว่าคำพูดของเธอจะถูกขัดจังหวะ
“ฉิงซู นั่นคุณจริงๆหรอ? ผมไม่คิดว่าจะได้พบกับคุณในงานปาร์ตี้วันเกิดของจิงเวินเลย นี่มันน่าตกใจจริงๆ” ทันที่ที่คำพูดพวกนี้ถูกพ่นออกมา ชายนุ่มคนหนึ่งที่ถือไวน์แดงครึ่งแก้วก็มาอยู่ข้างโต๊ะเย่โม่ หนิงฉิงซูขมวดคิ้วและหยุดพูด ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ค่อนข้างดูดีแต่จากสายตาเขาดูหงุดหงิดมาก เขาเห็นเย่โม่ครั้งแรกแต่ก็ไม่ได้สนใจ นี่เป็นเพราะว่าเย่โม่ดูไม่เหมือนแขกหรือแม้แต่เด็กเสิร์ฟ
“ลุกออกไป! ฉันไม่ได้เจอฉิงซูมานานแล้ว” หนุ่มขี้หงุดหงิดเดินมาด้านหน้าเย่โม่แล้วสั่งเขา