px

เรื่อง : บุรุษที่ถูกทิ้ง
บทที่ 21 ฉูเฉินกัน


ในขณะที่ฉูจิงเหวินกำลังขับรถ เธอก็คิดขึ้นว่า “ทำไมหนิงฉิงซูต้องมาด้วยหล่ะ?  ถึงฉันจะคุ้นเคยกับเธอมากก็เถอะ” ปกติแล้วคนอย่างหนิงฉิงซูนั้น จะไม่มางานวันเกิดเมื่อเธอไม่ได้ถูกชวน

“ไม่นะ!” จู่ๆ ฉูจิงเหวินก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ “เย่โม่จะมางานคืนนี้! จะเกิดอะไรขึ้นกันหล่ะเนี่ยถ้าพวกเขาพบกัน?”

“จิงเหวินเกิดอะไรขึ้นหรอ?  ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย” ลีมู่เหม่ยเห็นฉูจิงเหวินใจลอยนิดหน่อยเลยรีบถาม

“อ่า….จริงๆ ก็ไม่มีอ่ะนะ พอดีฉันนึกอะไรอย่างออกนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก  อ่อใช่มู่เหมย เธอไม่เห็นบอกฉันเลยก่อนว่าฉิงซูจะมา ฉิงซูไม่ใช่ว่าตอนนี้เธอรับช่วงต่อธุรกิจของพ่อเธออยู่หรอ? ฉันได้ยินมาว่าเธอบริหารบริษัทอุปกรณ์ทางการแพทย์ของตระกูลหนิงอยู่นิ” ฉูจิงเหวินพยายามหาบทสนนาพูดคุยเรื่องอื่น เพื่อกลบเกลื่อนความตกใจของเธอ

อย่างไรก็ตาม ลีมู่เหม่ยก็พูดแทนว่า “ความจริงแล้ว พี่ฉิงซูรับช่วงต่อธุรกิจในปักกิ่งเมื่อปีที่แล้ว และฉันก็ได้ช่วยพี่ฉิงซูบริหารธุรกิจอยู่บ่อยๆ พอดีมีเรื่องเกิดขึ้น พี่ฉิงซูเลยถูกปลดออกชั่วคราวจากบริษัทอุปกรณ์ทางการแพทย์ของตระกูลหนิงนะ”

ฉูจิงเหวินไม่ได้ถามว่าเป็นเพราะอะไร บางทีอาจจะเป็นปัญหาภายใน และมันก็คงไม่ดีที่จะถามเรื่องพวกนี้ พอเห็นว่าหนิงฉิงซูขมวดคิ้ว บางทีฉิงซูอาจจะมาผ่อนคลายความทุกข์ก็ได้ เธอควรจะโทรบอกเขาว่าไม่ต้องมาคืนนี้รึเปล่า เพราะหนิงฉิงซูจะได้ไม่ต้องรู้สึกแย่ด้วย?

“พี่จิงเหวิน ฉันได้ยินมาจากมู่เหมยว่าแม่ของพี่ป่วยอยู่ เธออาการดีขึ้นหรือยัง?” แน่นอนหนิงฉิงซูรู้ว่าฉูจิงเหวินใจลอยนิดหน่อย ฉะนั้นเธอเลยเริ่มถามก่อน ฉูจิงเหวินก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองแล้วเอาเรื่องของเย่โม่ไว้ทีหลัง ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่เธอจะจัดการได้ตอนนี้ ฟังจากสิ่งที่หนิงฉิงซูถามเธอก็ยิ้มอย่างมีความสุข “แม่ของฉันสบายดี! เธอไม่ได้ฟังที่มู่เหมยบอกหรอ?” หนิงฉิงซูก็รู้สึกกระอักกระอ่วนนิดหน่อย เธอไม่ได้ถามลีมู่เหม่ยถึงสถานการณ์แม่ของฉูจิงเหวินก่อนที่จะมา อย่างไรก็ตามฉูจิงเหวินก็ไม่ได้รู้สึกเกียจอะไร และพูดต่อ “ฉันมีโอกาสได้พบกับปรมาจารย์ตัวจริงเสียงจริงเลย เธอไม่มีทางรู้จักหรอกแต่ปรมาจารย์ยันต์คนนั้นน่ะ…..”

ตอนนี้ฉูจิงเหวินชื่นชมเย่โม่มาก  เมื่อหนิงฉิงซูถาม เธออธิบายเรื่องราวของคนที่ขายยันต์ให้เธอ เขาเป็นราวกับคนที่ไร้พ่ายและไร้ที่เปรียบในจักวาล เธอเล่าถึงรายละเอียดการถึงซื้อและใช้ยันต์
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ลีมู่เหม่ยก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ พวกเธอจ้องมองที่ฉูจิงเหวินอย่างเคร่งเครียด มันยากมากที่จะเชื่อว่าคนอย่างฉูจิงเหวินจะเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ โดยเฉพาะคนที่มีการศึกษาสูงๆ  สำหรับพวกเขา คนที่ขายยันต์ให้ฉูจิงเหวินต้องเป็นคนมีคารมคมคายแน่ๆ “อืม จิงเหวิน ดีแล้วที่แม่เธอสบายดี ไม่จำเป็นต้องเจาะลึกถึงรายละเอียดที่ใช้ในการรักษาแม่ของเธอก็ได้…..” พอเห็นว่าฉูจิงเหวินเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ลีมู่เหมยก็ทำได้เพียงเตือนสติเธอ

“ฉันรู้ว่าพวกเธอไม่เชื่อฉันหรอก แล้วฉันก็ไม่อยากบังคับพวกเธอด้วย ฉันยังมียันต์ลูกไฟร์อยู่กับตัว ถ้าฉันไม่คิดว่ามันเป็นของสำคัญมากๆ ฉันก็จะใช้ให้พวกเธอดูไปแล้ว แต่ถ้าฉันใช้มัน ฉันก็ไม่สามรถหาซื้อได้อีก แม้ว่าฉันจะใช้เงินทั้งหมดในโลกก็ตาม เพราะฉันไม่สามรถตามหาปรมาจารย์คนนั้นได้อีกแล้ว” ฉูจิงเหวินพูดอย่างหมดหนทาง

“โอเค ฉันเชื่อเธอ ฉูเฉินกัน*” ลีมู่เหม่ยก็ทำได้เพียงฝืนใจยอมรับ

(*ฉูเฉินกันนี่คือคนที่อ้างว่าตัวนั้นเป็นผู้ที่สื่อสารทางวิญญาณกับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติได้และเผยแพร่ความเชื่อทางศาสนาแบบผิดๆเพื่อให้ตัวเองได้รับความเคารพและสถานะทางสังคม)
 

แม้ว่าหนิงฉิงซูจะขมวดคิ้วและต้องการหัวเราะ ฉูจิงเหวินก็มีอายุมากกว่าพวกเธอทั้งสอง แต่คำพูดของเธอดูไม่สมจริงเลยสักนิด มันไม่คู่ควรกับชื่อเสียงของเธอเลย เห็นสาวงามพูดถึงเรื่องปรมาจารย์ผู้ใช้ยันต์นี่ไม่เข้ากันเลยจริงๆ ถ้าหากสถานการณ์ของเธอไม่ได้เลวร้ายล่ะก็ เธออาจจะมองฉูจิงเหวินแล้วหัวเราะราวกับการแสดงของฉูเฉินกันไปแล้วก็ได้

………

เย่โม่ทำสร้อยข้อมือเสร็จก็ใส่มันไว้ในกระเป๋า เพราะเขาไม่สามารถหากล่องของขวัญที่ทำให้มันดูดีได้ เขาเริ่มฟื้นฟูลมปราณทันที เนื่องจากเขาต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมากในการทำสร้อยมือ ถ้าหากสร้อยข้อมือนี้ทำไม่ยากมากนัก เขาอาจจะสร้างไว้ขายสักหน่อยก็ได้

ตั้งแต่มาอยู่ที่โลกใบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เย่โม่ขึ้นแท็กซี่ เขาไม่อยากวิ่งไปที่หยู่หวานและไม่รู้ทางไปด้วย รถแท็กซี่ของเย่โม่จอดอยู่ด้านนอก พวกยามตรงประตูก็มองรถแท็กซี่ของเยโม่ที่จอดอยู่ และพวกเขาก็ตกใจเนื่องจากเย่โม่เป็นคนที่มีฐานะร่ำรวย แม้ว่าเสื้อผ้าที่สวมอยู่จะสะอาดเรียบร้อย แต่ผมของเย่โม่ก็รกรุงรัง นอกจากนี้เย่โม่ยังสวมรองเท้าผ้าใบธรรมดา รองเท้าคู่นี้มีราคาน้อยกว่า 30-40 เหรียญด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาเลยหยุดเย่โม่ทันที

 

“ท่านครับ ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่ใช่พื้นที่สาธารณะ...” ก่อนที่ยามจะพูดจบ เย่โม่ก็ส่งบัตรเชิญให้ยาม ราวกับเขาไม่มีความสนใจใดๆ มันเป็นเรื่องปกติ ที่ยามจะจับตาดูเขา

ยามมองไปที่บัตรเชิญไม่กี่ครั้งและหลังจากยืนยันบัตรเชิญ เขาก็คืนให้เย่โม่ด้วยความตกใจ “ต้องขอประทานโทษด้วยครับ เชิญเข้าไปด้านในได้เลยครับ” เมื่อเย่โม่พึ่งจะเข้าสู่สนาม ก็มีรถปอเช่สีแดงพุ่งเข้ามาในสนาม ในทางที่ตรงข้ามกับที่เขาเข้ามา ตอนนี้ราวกับยามได้มาทำหน้าที่อย่างจริงจัง  รถปอเช่สีแดงก็ขับผ่านเย่โม่ ก่อนที่จะค่อยๆ ถอยกลับยังที่เขายืนอยู่ เห็นได้ชัดว่าคนขับค่อนข้างอวดดี ที่นี่มันคือสนามขนาดใหญ่ ไม่ใช่ทางด่วน ดูเผินๆ แล้วอาจจะเป็นคนอวดดีอย่างที่เย่โม่คิด แล้วก็มีผู้หญิงลงมาจากรถ

เธอสวมใส่ด้วยเสื้อสีแดงและกางเกงยีนส์รัดรูป ลักษณะหน้าตาสมกับเป็นผู้หญิงอย่างยิ่งและยังมีความหยิ่งยโส พร้อมกับเสน่ห์อย่างแท้จริง

“ฉูเหม่ย…”เย่โม่ไม่ได้ตกใจที่พบเธอที่นี่ เธอนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฉูจิงเหวิน และมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะมางานวันเกิดฉูจิงเหวิน แต่ยังไงซะ แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะหยิ่งยโสที่มหาลัย เธอก็ดูเหมือนจะสงวนท่าทางไว้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าพออยู่นอกมหาลัย เธอจะไม่ปกปิดความหยิ่งยโสของตัวเอง
“เย่โม่งั้นหรอ? หยุดเดี๋ยวนี้นะ! นายมาทำอะไรที่นี่?” เมื่อครั้งล่าสุด ฉูเหม่ยถูกปฏิเสธแบบไร้เหตุผลแล้วยังเสียไปหลายร้อยเหรียญให้กับเย่โม่ที่ทำให้เธอต้องรู้สึกไม่สบายใจ เย่โม่แสร้งจ้องไปที่ฉูเหม่ยด้วยความสับสน “ฉันมาที่นี่เพราะถูกเชิญมา ที่นี่เป็นคนของเธอรึไง?  ฉันต้องแจ้งเธอก่อนที่จะมาด้วยงั้นหรอ?”

ในขณะนั้นเอง ก็มีผู้หญิงอีกคนลงมาจากรถ เธอแต่งตัวเหมือนกับฉูเหม่ย แต่สิ่งที่เธอทำให้ถูกจับตามองมากว่านั่นก็คือเธอย้อมผมเป็นสีเหลือง “เกิดอะไรขึ้นหรอเหม่ยเหม่ย? ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน?” ผู้หญิงคนนี้ถามฉูเหม่ยและเหลือบมองเย่โม่อย่างเย่อหยิ่ง ฉูเหม่ยยิ้มเยาะเย้ยและก่อนที่เธอจะพูด รถออดี้หุ้มเกราะก็ได้มาจอดที่หน้าทางเข้า แต่ยังไม่ได้เข้ามา ชายหนุ่มอายุ 20 หรือมากกว่าลงมาจากรถ พอเขาเห็นเย่โม่เลยเดินตรงมาทางนี้ทันที

“เหม่ยไม่ได้เจอกันซะนาน เกิดอะไรขึ้นหรือปล่าว? ดูเธอไม่มีความสุขเลยนะ” ชายหนุ่มคนนี้ยิ้มและทักทายมาแต่ไกล ฉูเหม่ยเห็นว่าผู้ชายคนนั้นกำลังตรงมา และเธอก็ยิ้มทันที “พี่หวังฉวู่ พี่ไม่เคยหามาฉันเลยนะ  แต่พี่ก็ยังพูดว่าไม่ได้เจอกันนานได้อีกหรอ?”

รีวิวผู้อ่าน