ถึงแม้ตระกูลหนิงจะเป็นตระกูลขนาดกลาง ก็ได้ประสบพบกับความตกต่ำมาเป็นเวลานานหลายปี ด้วยการบังคับผู้เฒ่าหนิงให้เกษียณ ทำให้ตระกูลหนิงสั่นคลอน
ณ ตอนนี้ บรรยกาศในตระกูลหนิงตกอยู่ในความอึดอัด ถึงแม้จะเป็นการประชุมตระกูล ก็ไม่มีความรู้สึกที่มีความสุขหรือยินดีเลยสักนิด
“ดูเหมือนฉิงซู จะไม่ปลี่ยนใจงั้นสิ?” หลังจากที่เงียบมานาน ชายชราราว 50 ปีหรือมากกว่าก็ลุกขึ้นเคาะโต๊ะจากที่นั่งด้านบนสุด แล้วถาม เขาคือหัวหน้าตระกูลหนิงคนปัจจุบัน หนิงจงซือ เขาเป็นลูกชายคนโตของผู้เฒ่าหนิง และเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดของเมืองปักกิ่ง
ด้วยการที่ปักกิ่งเป็นเมืองสากลขนาดใหญ่ ซึ่งผู้ว่าของเมืองนี้ได้รับการตอบรับดีกว่าผู้ว่าเมืองอื่นๆ แต่ในสถานที่ปักกิ่งขณะนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่มีความหมายเลยสักนิด เพราะการที่ผู้เฒ่าหนิงเกษียณและอายุ เขาก็ 50 ปีแล้วด้วยซ้ำ ถ้าหากไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ เกิดขึ้น อาชีพผู้ว่าของผู้เฒ่าหนิงคงจะได้มาถึงบั้นปลายของอาชีพแล้ว
“พี่ใหญ่ ผมว่าตอนนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเธอแล้ว ปัจจุบันพี่สามบริหารบริษัทวัสดุทางการแพทย์ตระกูลหนิงของพวกเราอยู่ แล้วผมคิดว่าเขาคงรู้ปัญหาที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ดี ผู้ผลิตเดิมของพวกเรา บริษัทซิก้าของชาวอเมริกานั้นถูกนักธุรกิจหญิงจากตระกูลซงดึงตัวไปซึ่งเป็นผลกระทบที่ร้ายแรงต่อตระกูลหนิงของเรา”
“หลังจากที่พ่อเกษียณ ฉันไม่คิดว่าตระกูลหนิงเราจะสามารถลงเล่นการเมืองได้อีกแล้ว ถ้าอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์เราถูกโจมตีอีกครั้งละก็ ฉันคิดว่าตระกูลหนิงเราคงพินาศแน่ แม้ว่าซงซาวเหวิ่นจะเจ้าชู้ แต่ตระกูลซงของมันก็ยังเป็นตระกูลใหญ่อยู่ดี ถ้าหากเราได้เกี่ยวดองกับพวกมันล่ะก็ ไม่เพียงแต่ธุรกิจของเราจะประสบความสำเร็จแน่นอน แต่อาชีพของพี่ใหญ่ก็ยังมีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าอีกด้วย” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านขวาของหนิงจงซือ พูดด้วยน้ำเสียงที่ตื้นเต้นอย่างรวดเร็ว
หนิงจงซือถอนหายใจและโบกมือ “จงเหว่ย ฉันเข้าใจความหมายของนายดี ถึงแม้การเกี่ยวดองกับตระกูลซงจะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลเรา แต่ซงซาวเหวิ่นมันพึ่งพาไม่ได้เลย…..เฮ้ออ ฉันคิดว่าเราควรจะพูดคุยเรื่องนี้กับพี่สาม ยังไงซะฉิงซูก็เป็นลูกสาวของเขา”
“พี่ใหญ่ ผมคิดว่าพี่สี่พูดถูกแล้ว ตอนนี้เราได้มาถึงความเป็นความตายของตระกูลหนิงแล้ว เราทำได้แค่เพียงของร้องให้ฉิงซูแต่งงานเข้าตระกูลซง นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรสำคัญแล้ว ผมคิดว่าฉิงซูต้องเข้าใจและพี่สามก็ด้วย อีกอย่างฉิงซูกำลังดูแลธุรกิจในปักกิ่ง เพราะงั้นเธอน่าจะรู้ เธอไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องสำคัญพวกนี้จริงไหม?” คนที่เห็นด้วยนั้นคือพี่สอง หนิงจงโซวที่กำลังนั่งอยู่ด้านซ้าย
“คำพูดของพ่อ ลุงสอง และลุงสี่ถูกแล้ว ผมคิดว่าแม้ไอ้ซาวเหวิ่นจะเจ้าชู้นิดหน่อย แต่มันก็เป็นแค่เรื่องธรรมดาของคนหนุ่มสาว โดยปกติคนนิสัยแบบนี้จะเปลี่ยนไปหลังจากแต่งงาน นี่มันก็ดีสำหรับฉิงซูอย่างน้อย เขาก็ดีกว่าเจ้าคนเสื่อมสมรรถภาพทางเพศของตระกูลเย่ อีกอย่างซาวเหวิ่นก็มีความรู้สึกที่ดีต่อฉิงซูมานานแล้ว เขาคงไม่ล่วงเกินเธอหรอก” เมื่อเห็นว่าลุงทั้งสองเห็นด้วย ลูกชายคนโตของหนิงจงซือ อย่างหนิงชือหลีก็ยังเห็นด้วย
หนิงจงซือเงียบไปสักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “งั้นเอางี้ ฉันจะคุยกับจงเฟยและจงโซ่วก่อน และจะให้ฮุ่ยลี่ไปทำงานกับฉิงซู เรามีเวลาไม่มาก ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน ยังไงก็ต้องจัดงานแต่งในเดือนตุลาคมให้ได้”
ผู้เยาว์ที่กำลังนั่งอยู่ในที่สุดก็เปิดปาก แต่เมื่อเขาเห็นว่าหัวหน้าตระกูลพูดเสร็จแล้ว เขาก็ทำได้แค่กลืนคำพูดลงไป เขาคือลูกชายคนที่สองของหนิงจงซือ ชื่อว่าหนิงหยาง และเขาเป็นคนเดียวในตระกูลหนิง ที่ไม่เห็นด้วยกับการรีบร้อนตัดสินใจแต่งงาน ดังนั้นทันทีที่การประชุมประจำตระกูลเสร็จสิ้นลง หนิงหยางก็รีบมาหาฉิงซูทันที
ถึงแม้ว่าภายหลังจากคำประกาศต่อสาธารณะครั้งสุดท้าย ผู้คนภายนอกคิดว่าความคิดของเธอนั้นถูกตระกูลหนิงผูกมัดไว้ นี่มันก็แค่เรื่องธรรมดาของหนิงฉิงซูที่ไม่อยากไปเที่ยวไหนคนเดียว บุคลิกของเธอนั้นเย็นชาแล้วไม่ชอบการออกไปเที่ยว
ตั้งแต่เธอถูกปลดออกจากหน้าที่ในการบริหารบริษัทวัสดุทางการแพทย์ตระกูลหนิง เธอก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ที่บ้าน นอกจากเพื่อนสนิทของเธอ ลีมู่เหม่ย เธอก็แทบไม่พบใครเลย
ลีมู่เหม่ยไม่ใช่เพียงแค่ผู้ช่วยของหนิงฉิงซูในบริษัทวัสดุทางการแพทย์ตระกูลหนิง แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและลูกพี่ลูกน้องของเธอ ถ้าหากมีใครในตระกูลหนิงที่ยังสนิทกับฉิงซู คนๆนั้นก็คือลูกพี่ลูกน้องของเธอ หนิงหยาง อย่างไรก็ตาม หนิงหยางก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่ต้องทำ เขาเลยไม่ค่อยจะมาพบเธอ แต่วันนี้หนิงหยางแวะมาหา และนี่ทำให้หนิงฉิงซูรู้สึกไม่ดี
“พี่หยาง ไม่เจอกันนานเลยนะ!“ ลีมู่เหม่ยเห็นหนิงหยางมาเลยรีบทักทายทันที เธอกับฉิงซูนั้นกำลังคุยกันอยู่ ถึงหน้าของหนิงหยางจะดูน่ากลัว แต่เขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนี้ได้
“ฉิงซู ชีวิตของเธอมันเป็นของเธอ ฉันคิดว่าถ้าเธอจะไปต่างประเทศ ฉันก็จะช่วยเธอเอง อนาคตของตระกูลไม่ควรขึ้นอยู่กับผู้หญิงเพียงคนเดียว” จุดประสงค์ที่หนิงหยางมาที่นี่ ก็เพื่อช่วยเธอหนีไปเพราะเขารู้ว่าคนอย่างซงซาวเหวิ่นเป็นอย่างไร
หลังจากได้ยินคำพูดของหนิงหยาง ใบหน้าของหนิงฉิงซูก็ซีดลง ไม่ว่าสิ่งใดที่เธอประกาศในที่สาธารณะไป เธอก็ยังไม่สามารถหนีพ้นจากชะตากรรมที่ต้องถูกตระกูลขายได้
“ฉิงซู….” ลีมู่เหม่ยเรียกอย่างเป็นห่วง ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเชียบ หนิงหยางรู้อยู่แล้วว่าการส่งลูกพี่ลูกน้องไปต่างประเทศมันยากเพียงใด อีกอย่างต้องทำยังไงถึงจะออกจากประเทศได้? สุดท้ายเธอก็ถูกตระกูลของตัวเองผลักไสไล่ส่งอยู่ดี
“น้องไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะช่วยเธอจัดการมันเอง กรณีที่เราไม่มีเวลาเหลือ มู่เหมย ฉิงซูอาจต้องการให้เธอช่วยก็ได้” หนิงหยางลุกขึ้นแล้วรีบออกไปทันที ถ้าหนิงฉิงซูต้องการไปต่างประเทศ ก็ต้องทำเรื่องให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ถ้าลุงของเขารู้ พวกเขาคงไม่ยอมปล่อยเธอไปแน่
เมื่อเห็นหนิงฉิงซูนิ่งเงียบไป ลีมู่เหม่ยก็รู้สึกเห็นใจเธอมาก เธอและฉิงซูนั้นเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก มันเป็นเพราะเธองดงามเกินไปจนเธอไม่มีอิสระ ในปักกิ่งมีใครไม่รู้บ้างว่าซาวเหวิ่นเป็นคนยังไง? เขาเป็นผู้ชายเจ้าชู้เอาผู้หญิงหลายคนไม่เลือกหน้าและยังถูกจับได้นับครั้งไม่ถ้วน ถ้าไม่ใช่เพราะพลังอำนาจของพวกเขาในการปกปิดความจริงไว้ ป่านนี้คนทั้งโลกคงจะได้รู้กันแล้ว
เขาเป็นคนที่น่ารังเกียจ เขาชอบให้ผู้หญิงที่เขาเบื่อกับคนอื่น มีผู้หญิงมากมายในปักกิ่งที่ถูกทำลายภายใต้มือเขา ครั้งหนึ่งมีผู้หญิงคนนึงที่อยู่บนเส้นทางสู่การเป็นซุปเปอร์สตาร์ซึ่งเธอได้ต่อต้านซงซาวเหวิ่น เธอถูกหักขาทั้งสองข้างและโดนโยนเข้าซ่องไป สุดท้ายเธอก็ต้องถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย เพราะงั้นในปักกิ่ง เลยเรียกเรียกเขาว่าปิศาจ
“ฉิงซู ฉันมีวิธีแต่มันอาจจะทำลายชื่อเสียงของเธอและมันจะทำให้เธอไม่พอใจกับการแต่งงานที่เลวร้ายแบบนี้…..” ในขณะที่ลีมู่เหม่ยพูด เธอตระหนักได้ว่าความคิดของเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่และเริ่มพูดติดอ่าง
“อะไรหล่ะ? พูดมาสิ!!” หนิงฉิงซูจ้องไปที่ลีมู่เหม่ย ไม่ว่าจะเป็นความคิดแบบไหน ตราบใดที่เธอสามารถเขี่ยซงซาวเหวิ่นทิ้งไปได้เธอก็พร้อม
ลีมู่เหม่ยถอนหายใจและพูดว่า “ก็นั่นไง แค่ใช้โล่ของเธออีกครั้ง เธอก็เคยประกาศในที่สาธารณะแล้วนี้ว่าเธอคือผู้หญิงของเย่โม่ แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่านี่มันเป็นแค่ข้ออ้าง แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอและเย่โม่จริงๆ แล้วหล่ะก็….”
เห็นหนิงฉิงซูตกใจ ลีมู่เหม่ยก็รู้ว่าเธอเข้าใจผิด แล้วรีบพูดว่า “ที่ฉันบอกว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเธอทั้งสอง ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น เธอก็รู้ว่าเขาเป็น……นั้นนะ….เขาทำอะไรเธอไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะยังไง ถ้าจู่ๆเธอแต่งกับเขาแล้วอยู่ด้วยกัน และบางทีก็ปล่อยให้นักข่าวถ่ายรูปของเธอและเขาอยู่บนเตียงเดียวกัน เมื่อนั้นตระกูลซงคงจะปฏิเสธที่จะรับเธอเข้าสู่ตระกูล”
จู่ๆ แววตาของหนิงฉิงซูก็เป็นประกายแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบ
ลีมู่เหม่ยอยู่กับเธอมานานมาก เพราะฉะนั้นเธอจึงรู้สิ่งที่หนิงฉิงซูคิดอยู่ในใจ ลีมู่เหม่ยพูดอีกครั้งว่า “เย่โม่เขาเป็นลูกหลานคนรวย และคนหลงตัวเอง ที่แน่ๆ คือหลังจากเธอทำลายการหมั้น เขาก็ยังอยากได้ผู้หญิงในห้องมาเป็นผู้หญิงของเขา เพื่อปิดบัง…เอ่อ.…”
“เธอรู้ใหมว่าผู้หญิงคนนั้นตอบเขาว่าไง? เธอถามเขาว่า ‘นายน้อยเย่ นายจะนอนกับฉันได้หรอ?’ มีคนบอกว่าเย่โม่โกรธจนเป็นลมไปเลย เขาไม่คิดว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาที่ปกติจะให้ความเคารพอยู่ดีๆ ก็ทำกับเขาแบบนี้ ชายคงนี้คงโง่งมแล้วก็ยังไม่ยอมรับความจริงว่าตัวเองถูกขับไล่ออกจากตระกูลเย่ นอกจากนี้เขายังถังแตกอีกด้วย ฉันได้ไปถามคนที่ให้เงินเขา 20,000 เหรียญครั้งล่าสุด เห็นได้ชัดเลยว่าเขารับโดยไม่มีเงื่อนไข ถ้าเธอจะให้สัก 10,000 เหรียญอีกสักครั้ง เขาพร้อมจะทำตามที่เธอต้องการด้วยความเคารพแน่”
หนิงฉิงซูถอนหายใจ “ฉันไมสนชื่อเสียงของฉันหรอก ก็แค่…….ตระกูลซงต้องคิดบัญชีกับเขาแน่เลยใช่ไหม?”