“ว่าไงเพื่อน ไม่เลวเลยดูเหมือนว่าฉูเหม่ยจะมองนายด้วยสายตาที่พิเศษ ฉันเชิ่งเหวินเชียว หน้านายดูคุ้นๆ นะหรือนายอาจเป็นคนที่ฉันรู้จัก” เชิ่งเหวินเชียวเดินไปที่ด้านหน้าของเย่โม่และกล่าด้วยน้ำเสียงชิงชังมันมีการดูถูกและความมุ่งร้ายในสายตาของเขา แม้แต่แววตาสมเพชก็ปรากฎขึ้นที่ดวงตา เหมือนเขาจะวาดภาพไว้ในใจแล้วว่าเย่โม่จะมาคุกเข่าแล้ววิงวอนด้วยน้ำตาต่อหน้าของเขา
“ไสหัวออกไป…” เย่โม่สถบอย่างหัวเสียแก่เชิ่งเหวินเชียว ด้วยประสบการณ์ชีวิตและความตายของเขาในดินแดนแห่งการบ่มเพาะ เขาสามารถบอกได้ว่าทันทีว่าเชิงเหวินเชียวกำลังคิดอะไรอยู่
ถ้าเชิ่งเหวินเชียวไม่ออกไปก่อนที่เขาจะโกธร เขาคงจะห้ามที่จะไม่ฆ่าไม่ได้ แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะไม่ต้อนรับเขาอีกต่อไป แต่ก็ยังมีสถานที่อื่นๆ ที่เขาสามารถไปได้ แม้ว่าเขาจะรู้ว่านี่เป็นสังคมที่ปกครองโดยกฎหมาย การฆ่ามันต้องเกิดขึ้นในที่เงียบๆ เพราะการฆ่าตกรรมคนในที่สาธารณะมีผลร้ายแรงเกินให้อภัย เขาสามารถหาที่อยู่ใหม่ได้ง่ายๆ เพราะเขาเป็นนักบ่มเพาะ เขายังคงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในภูเขาได้
“แก… กะ กล้าดียังไง!” เย่โม่เตรียมการตอบโต้ในทันทีถ้าเชิ่งเหวินเชียวกล้าโจมตีเขา เขาจะสอนบทเรียนให้มันก่อนทีจะได้ทำอะไร อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดว่าเชิ่งเหวินเชียวกล่าวเพียงไม่กี่คำและหันกลับไปด้วยใบหน้าอันซีดเซียว
เย่โม่เขาใจว่าเชิ่งเหวินเชียงอาจเห็นร่างกายที่แข็งแรงของเขาและเขาก็คงไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าด้วยตัวเอง เขาอาจจะกลับไปรวบรวมคน แต่เย่โม่ไม่คิดว่าเขาเป็นภัยคุกคามแต่อย่างใด
“เย่โม่ นะ นายรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร?” ฉูเหม่ยไม่คิดว่าเย่โม่จะเป็นคนก้าวร้าวขนาดนี้ ถึงขนาดที่สถบใส่คนที่ร่ำรวยเป็นอันดับสองของมหาวิทยาลัยหนิงไห่ พ่อของเชิ่งเหวินเชียวเป็นรองนายกของเมืองหนิวไห่แห่งนี้ ในขณะเดียวกันแม่ของเขามาจากตระกูลชิว ที่มีกิจการติดอยู่ใน 100 อันดับแรกของประเทศจีน ไม่ควรมีใครที่อยู่ในมหาวิทยาลัยหนิงไห่ไม่รู้จักเขา
คนที่ร่ำรวยเช่นเขากลับถูกบอกให้ไสหัวออกไปด้วยเย่โม่ เย่โม่จริงๆ อาจจะมีปัญหากับสมองของเขาบางส่วน… แต่เธอชอบการกระทำของเขาจริงๆ
ฉูเหม่ยกลับมาสู่ความเป็นจริง และกล่าวชื่นชมเย่โม่สำหรับการกระทำของเขาที่ช่วยเธอออกจากสิ่งหนึ่งที่เธอเกลียดมาก เธอยิ้มและพูดทันทีว่า “เย่โม่ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับชื่อเสียงของนาย ฉันไม่คิดว่านายกล้าที่จะบอกกับเชิ่งเหวินเชียวว่าไสหัวออกไป ฉันรู้สึกขอบคุณนายจริงๆ สำหรับวันนี้ จะเป็นไรไหมถ้าฉันชวนนายไปทานข้าวเย็น?”
หลังจากที่ฉูเหม่ยได้กล่าวอย่างนี้แล้ว เธอคิดว่ามันน่าจะเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับเย่โม่ เนื่องจากว่ายังไม่มีใครสามารถเชิญเธอรับประทานอาหารเย็นได้มาก่อน ผู้ที่ต้องการเชิญเธอรับประทานอาหารสามารถวัดได้ตั้งแต่ที่นี่ยันออกไปนอกเมืองหนิงไห่ ในใจเธอบอกว่าเย่โม่จะเห็นด้วยกับเธอและอาจเต็มไปด้วยความประหลาดใจแล้วก็ความสุข แล้วตามหลังเธอในขณะที่ขอบคุณเธอตลอดทางสำหรับคำเชิญของเธอ
เธอประหลาดใจอีกครั้งเมื่อ เย่โม่ จ้องที่เธอด้วยความรังเกียจและไม่ได้ตอบกลับ ก่อนที่จะหันไปทางห้องสมุดราวกับว่าเธอเป็นเพียงลมที่พัดไปมา สิ่งนี้ทำให้ ฉูเหม่ย ตะลึงภายใต้แสงแดดอันแรงกล้า
หลังจาก เย่โม่ เดินเข้าไปในห้องสมุดได้สักครู่ ฉูเหม่ย ก็มีปฎิกิริยาในที่สุด ผู้ชายคนนั้นสมควรประจบเธอด้วยความหลงไหลไม่ใช่หรอ เขาตอบกลับด้วยความเย็นชา ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนเชิญเขาไปรับประทานอาหารค่ำนี้นะ ถูกเมินดังเช่นชิ้นขยะในคราบคน เธอรู้สึกเหมือนกินแมลงวันไปทั้งตัวขณะที่ใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนจากซีดๆ ไปเป็นสีแดงเข้ม
ไม่ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เธอไม่อาจเสียหน้าให้ใครได้ เธอไม่เชื่อว่าเธอไม่สามารถเชิญเย่โม่ได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉูเหม่ย เดินเข้าไปในห้องสมุดทันที
แม้ว่าจะเป็นวันเสาร์ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากอยู่ในห้องสมุด ซึ่งมันไม่มีที่นั่งว่างเหลืออยู่ ฉูเหม่ยเห็นเย่โม่ขณะที่เธอเข้าไปในห้องสมุด เขายืนอยู่แถวหนังสือทางการแพทย์กำลังพลิกผ่านหน้าหนังสือในมือของเขา
ฉูเหม่ยหัวเราะเยาะเย้ยโย่โม่ เขาคงหาที่นั่งไม่ได้และทำเป็นแกล้งอ่านหนังสือ เธอกำลังดูถูกเย่โม่จริงๆ
แต่เมื่อฉูเหม่ยเดินเข้าไปในห้องสมุด ชายหล่อๆ พวกนั้นกำลังต่อสู้กันเพื่อให้เธอได้นั่ง เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ฉูเหม่ยได้นั่งที่พวกเขา ขณะที่เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในมหาวิทยาลัยหนิงไห่
คนอื่นๆ ที่เข้ามาไม่มีที่นั่ง แต่ฉูเหม่ยสามารถเลือกที่ๆ เธอต้องการได้ เธอเลือกที่นั้งที่เธอสามารถเห็นเย่โม่ได้เพียงยิ้มจากเธอ ทำให้ชายหนุ่มที่หล่อเหลาตกตะลึง ฉูเหม่ยได้อ่านหนังสือที่หยิบมาแบบสุ่มๆ ความจริงแล้วเธอกำลังสอดแนมเย่โม่ ในสายตาของเธอเย่โม่มาในนี้เพื่อจะโอ้อวดว่าตนเองเก่ง เขาคงจะใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนออกจะออกไป
แต่ไม่คาดคิดดูเหมือน “ครึ่งชั่วโมง” จะผ่านไป เย่โม่ดูเหมือนไม่มีความตั้งใจที่จะออกไปและไม่ได้อยากจะหาที่นั้งให้ตัวเองด้วย
ความเร็วในการอ่านของเขาเร็วมาก ขณะที่เขากำลังยืนอยู่แผนกหนังสือทางการแพทย์ ทุกชั่วโมงเขาจะเปลี่ยนหนังสือ 3-4 เล่ม ฉูเหม่ยสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เย่โม่กำลังอ่านหนังสือแต่ละเล่มอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีเลยที่จะมีซักหน้าที่ไม่ถูกอ่าน อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกว่าอัตราที่เขาพลิกหน้าเร็วเกินไปที่จะอ่านได้จริง
ต้องแกล้งทำเป็นอ่านแน่ๆ ด้วยความเร็วที่พลิกมันยากมากที่จะอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาที่มันมีได้
เย่โม่ติดใจหนังสือการแพทย์เหล่านี้ให้แล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยหนิงไห่มีชื่อเสียงมาก ดังนั้นคอลเลกชั่นความรู้ด้านการแพทย์พวกเขาจึงค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ทว่าเย่โม่ค่อนข้างรู้สึกผิดหวังแม้พวกมันจะมีลักษณะที่พิเศษ แต่พวกมันไม่ได้ขยายไปสู่ “การคิดนอกกรอบ” เลย
ไม่ว่าจะเป็นยาทางตะวันตกหรือยาจีนพวกมันทั้งหมดเหมือนกัน ถึงจะเป็นแบบนั้นเย่โม่ก็ยังคงจดจำข้อมูลทุกอย่างที่เขาอ่านได้ ความทรงจำเขาเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากในช่วงนี้ และในตอนนี้เขาอยู่ในขั้นแรกของพลังลมปราณ เขารู้สึกได้ว่าพลังลมปราณกำลังพัฒนา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เสียเวลาทั้งหมดไปกับหนังสือเหล่านี้โดยเปล่าประโยชน์
เนื้อหาของสิ่งเหล่านี้ มันห่างชั้นและห่างไกลจนน่าเศร้า ถ้าเขามีทักษะการบ่มเพาะการอ่าน ถ้าเขาอยู่ในขั้นตั้งรากฐาน เขาสามารถอ่านหนังสือทางการแพทย์ทั้งหมดได้ภายใน 5 ชั่วโมง ถ้าอยู่ในขั้นโอถสทองคำ เขาสามารถอ่านหนังสือทั้งหมดในห้องสมุดได้ภายใน 3 ชั่วโมง ในท้ายสุดถ้าเขาอยู่ในขั้นแก่นแท้ทารก ในขั้นนี้เขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปในห้องสมุด เขาเพียงต้องตรวจสอบพวกมันด้วยจิตวิญญาณของเขา และทุกอย่างที่นี้จะถูกเขาอ่านทั้งหมด
หนังสือที่เป็นหนังสือเหล่านี้ เนื้อหามันอยู่ไกลจากเนื้อหาภายในคัมภีร์จีน อย่างไรก็ตามแม้ขั้นตั้งรากฐานก็คงเป็นไปได้ยาก แม้ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาก็เกือบจะไปไม่ถึงขั้นตั้งรากฐานเลย
ขณะที่ฉูเหม่ยรู้สึกเบื่อกับการรอคอย ตอนนี้ก็บ่าย 3 แล้ว แต่เย่โม่ยังอ่านหนังสืออยู่และไม่ได้กินอาหารกลางวันเลย ถ้าเธอยังเฝ้ามองเขาอยู่แบบนี้ เธอต้องอดตายแน่
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องพยายามทำให้เขาสนใจในตัวเธอขนาดนี้ มันเป็นเพียงการชวนออกไปกินมื้อค่ำ แต่เมื่อเขาปฏิเสธเธอ เธอรู้สึกอึดอัดมากทีเดียว
ขณะเมื่อฉูเหม่ยไม่สามารถทนต่อได้อีกแล้ว เย่โม่ได้วางหนังสือในมือลงแล้วเดินออกจากห้องสมุด
เมื่อเห็นดังนั้น ฉูเหม่ยก็เดินตามเขาออกไปข้างนอกทันที
“เธอต้องการอะไรอีก?” เสียงของเย่โม่เริ่มเย็นชาขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขารู้อยู่แล้วว่าฉูเหม่ยกำลังตามเขา
“ห้ะ…” ฉูเหม่ยรู้สึกตะลึงกับคำพูดของเย่โม่ แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า”ปะ เป็นแบบนี้….ตั้งแต่นายช่วยฉันในตอนเช้า ฉันก็อยากจะชวนนายไปกินข้าว ฉันไม่ต้องการเป็นหนี้อะไรนาย ไม่งั้นฉันจะรู้สึกแย่มาก..…”
เย่โม่ถลึงตาอันเย็นชาของเขาครั้งนึงและถอนหายใจในใจ เฉพาะผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองคล้ายเจ้าหญิงเท่านั้น ที่จะมีความพอใจในตัวเองได้แบบนี้ เธอจะไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้อื่น สิ่งที่เธอคิดได้ก็คือความเหนือกว่าของเธอ