ชายวัยกลางคน คนนี้ก็ฝึกหมัดอยู่ใกล้ๆเขาเหมือนกันและเย่โม่ก็เห็นเขาพอดี อย่างไรก็ตามเย่โม่คิดว่าศิลปะการต่อสู้ของเขาเป็นเพียงเพื่อการแสดงเท่านั้นและไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก ที่คนนั้นมาทักทายตัวเขาเย่โม่ไม่สามารถเพิกเฉยต่อเขาได้ ดังนั้นเขาจึงยิ้มและตอบ “ผมแค่ฝึกแบบสุ่มๆด้วยตัวเองนะ ไม่มีอะไรมากหรอก”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเย่โม่ ชายวัยกลางคนจึงได้แต่ยิ้มอย่างโง่งม มันค่อนข้างชัดเจนว่าเย่โม่ไม่สนใจที่จะทำความรู้จักกับเขา แต่เขารู้สึกว่าทักษะหมัดของเย่โม่เป็นของดี มันทำให้เขาต้องการอยากจะรู้จักกับเจ้านี่
“ฉันชื่อฝางเว่ยเชิ่ง ฉันสามารถดูมันอีกทีได้ไหมพ่อหนุ่ม ฉันกำลังคันไม้คันมืออยู่พอดี ทำไมเราไม่มาจับคู่ซ้อมกันละ?” หลังจากที่ชายวัยกลางคนกล่าว เย่โม่ในที่สุดก็เข้าใจว่าเขาเข้ามาหาก็เพื่อหาคู่ต่อสู้ เขามองไปที่ฝางเว่ยเชิ่ง เย่โม่ส่ายศีรษะของเขาและกล่าวว่า “คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องต่อสู่”
ฝางเวิ่ยเชิ่งตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้คำพูดของเย่โม่ทำให้เขาคิดว่าเขาเป็นคนที่ถ่อมตัวมาก อย่างไรก็ตามเขากลายเป็นหยิ่งยะโส เขาไม่สามารถควบคุมใบหน้าตัวเองไม่ให้เป็นสีแดงได้หลังจากได้ยินคำพูดของเย่โม่ แม้ว่าศิลปะการต่อสู้ของเจ้าหนุ่มคนนี้จะดึงดูดความสนใจของเขา แต่เด็กคนนี้ประเมินตัวเองมากเกินไปโดยบอกว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้
ฝางเว่ยเชิ่งเข้ากองทัพตั้งแต่อายุ 17 และออกมาตอนอายุ 32 ถึงแม้ว่าเขาจะกลายเป็นคนขับรถหลังเกษียณเขาไม่เคยทิ้งศิลปะการต่อสู้ของเขา บอกมาได้ยังไงว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้? เจ้าหนุ่มนี่อายุไม่น่าเกิน 20 ปี ไม่มีทางที่เขาจะเชื่อว่าตัวเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กที่อายุยังไม่เกิน 20 ต้นๆ
เหตุผลที่เขาต้องการจะสู้กับเจ้าหนุ่มนี่คือเพราะเขารู้ว่าศิลปะการต่อสู่เย่โม่ไม่ใช่เพื่อการแสดงเช่นเดียวกับเขา และการต่อสู้กับเย่โม่จะทำให้เขาได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน
“เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่สามารถสู้เธอได้? พูดตรงๆ หลังจากที่ฉันออกจากกองทัพ ฉันก็ไม่เคยพบใครที่สามารถสู้ฉันได้ เมื่อเธอมั่นใจมากนักทำไมเราไม่ลองดูละ?” ฝางเว่ยเชิ่งรู้สึกว่าเขากำลังเสียการควบคุมใบหน้า
เย่โม่ส่ายหน้าและพูดอย่างไม่เต็มใจ”ก็ได้ เมื่อคุณต้องการ งั้นเข้ามาเลย”
“สู้ที่นี่? เราไม่ไปที่ใหญ่กว่านี้หรือ?” ฝางเว่ยเชิ่งมองไปรอบๆ เย่โม่ยิ้มและกล่าวว่า “มันก็แค่การเคลื่อนไหวไม่กี่ครั้ง ไม่จำเป็นหรอก”
“เธอ…” ฝางเว่ยเชิ่งหมดคำกล่าวเนื่องจากคำพูดของเย่โม่ ความโกธรเพิ่มขึ้นในหัวใจของเขา เขาพูดออกด้วยอารมณ์โกธรสุดๆ “ถ้าเป็นยังงั้น อย่าหาว่าฉันใจร้ายแล้วกัน!”
ฝางเว่ยเชิ่งโจมตีด้วยความแข็งแกร่งปลานกลาง “พยัคสะบั้นหัวใจ” แม้ว่ามันดูเรียบง่ายไปนิดแต่ความรุนแรงห่างไกลกับชื่อมากนัก ความคิดเขาคือเริ่มชิงโจมตีเจ้าหนุ่มนี้ ก่อนที่มันจะเริ่มเคลื่อนไหวฝางเว่ยเชิ่งเตรียมเริ่มโจมตี เขาจะให้เย่โม่ได้รู้ถึงพลังของเขา
อย่างรวดเร็ว ฝางเว่ยเชิ่งเริ่มโจมตีก่อนเขาต่อยหมัดออกไป เย่โม่ก้าวไปข้างหน้าและคว้าหมัดของฝางเว่ยเชิ่ง ก่อนที่เขาจะมีโอกาสเปลี่ยนท่าทางของเขาเย่โม่ออกแรงยกแขนขึ้น และร่างของฝางเว่ยเชิ่งที่น้ำหนักตัวเกือบ 100 กิโลก็ถูกยกขึ้น ทันใดหัวฝางเว่ยเชิ่งก็ไร้ความรู้สึกทันที…
…มันเหลือเชื่อจริงๆ เมื่อเขาฟื้นสติขึ้นมาเขาตระหนักว่าเขาถูกโยนลงบนเก้าอี้หินใกล้ๆตัวเย่โม่ มันราวกับว่าเขานั่งอยู่ที่นั่นตั้งแต่แรก และชายหนุ่มคนหนึ่งที่เขาเคยประมือด้วยได้หายตัวไปแล้ว
“เป็นไม่ไมได้…” ผ่านไปชั่วครู่ ฝางเว่ยเชิ่งในที่สุดก็จับเรื่องราวได้และได้พึมพัมกับตัวเอง “แม้แต่ครูในกองทัพก็ยังไม่สามารถชนะฉันได้อย่างง่ายดายเลย!”
……
เมื่อเย่โม่เดินเข้าไปในลานสวนเล็กๆ ก็เห็นชูเหว่ยกำลังนั่งมองไปที่ดอกไม้ซึ่งเขาปลูกไว้ แม้ว่าเย่โม่จะปลูกต้นไม้จำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะปกปิดเรื่องหญ้าจิตสีเงิน
เมื่อเห็นเย่โม่เดินเข้ามา ชูเหว่ยรู้สึกอึดอัดใจและรีบลุกขึ้นยืน เธอพยายามหาเรื่องพูดคุย “ฉันไม่คิดว่านายชอบการปลูกดอกไม้ โดยปกติผู้ชายที่ปลูกดอกไม้จะละเอียดรอบคอบ ดังนั้นนายจึงดูป็นคนที่ละเอียดรอบคอบดี อืมมใช่ ฉันซื้อผักมาวันนี้มากินด้วยกันเถอะ เราเป็นเพื่อนบ้านกันและเราอาจสามารถทำความรู้จักกันได้นิดๆ”
เย่โม่ปกติจะกินอาหารนอกบ้านเสมอและไม่คาดหวังว่าจะมีใครเชิญเขามาทานอาหารเย็นในวันนี้ แน่นอนว่าเขาจะไม่ปฏิเสธอะไรแบบนี้และเขายิ้มให้ “โอเคขอบคุณ ผมเห็นคุณออกจากบ้านแต่เช้าและกลับมาเย็นๆ วันนี้ไม่ได้ไปทำงานหรอ?”
“หนึ่งในเพื่อนร่วมงานของฉันขอลาพักไป 2-3 วัน และบังเอิญฉันว่างอยู่ จึงต้องรับกะกลางคืนไปแทน” ชูเหว่ยไม่คิดว่าพวกเก็บตัวอย่างเขาจะสังเกตในจุดนี้
ในถ้วยที่ชูเหว่ยนำมาดูไม่เลว อย่างน้อยก็ดีกว่าที่เขาออกไปกินข้างนอกทุกวัน “อาหารวันนี้ยอดเยี่ยมมาก ขอบคุณ!” เย่โม่คิด”จะดีแค่ไหนกันนะถ้าฉันจะสามารถกินอาหารจากเธอได้ทุกวัน? แล้วฉันก็จะไม่ต้องออกไปข้างนอกทุกวันเพื่อหาข้าวกินอีก”
“เราเป็นเพื่อนบ้านกัน ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก นอกจากนี้นายยังสามารถชวนฉันกินแบบนี้ได้ด้วยในอนาคตนะ” ชูเหว่ยกล่าวอย่างสนุกสนาน และเริ่มรู้สึกว่าเย่โม่ไม่ได้ดูเหมือนคนที่เลวร้ายอะไร
เย่โม่ยิ้มอย่างข่มขืนใจและกล่าวว่า “ผมไม่เคยทำอาหาร”
“ไปร้านอาหารเถอะ” ชูเหว่ยรู้สึกว่าเย่โม่น่ารัก โดยปกติแล้วใครเขาเชิญผู้หญิงที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกันไปร้านอาหารกันละ คนไหนจะทำอาหาร? หรือไม่ได้ให้พ่อครัวเหล่านั้นทำกัน?
เย่โม่กล่าวอย่างจนใจ “เอาล่ะถ้าผมมีโอกาส ผมจะชวนคุณ” ขณะนั้นเขาคิดกับตัวเอง “ฉันรู้ว่าไม่เคยมีอาหารฟรีในโลก ทันทีที่กินอาหารกลางวันครั้งนี้เสร็จ เขาก็ติดหนี้ไปแล้วครั้งนึง”
“เย่โม่แลกเบอร์กัน ของฉัน 09x xxx xxxx ของนายละ?” ชูเหว่ยหยิบโทรที่ออกแบบอย่างประณีตและมีสีชมพูขึ้นมาแล้วก็ถามเขา
“ผมไม่มีโทรศัพท์ ถ้าคุณต้องการอะไร เพียงเคาะที่ประตูของผม ผมสามารถช่วยคุณในเรื่องปกติธรรมดาๆได้ เอาล่ะผมไปแล้วนะ” หลังจากเสร็จสิ้นเย่โม่ลุกขึ้นยืนและเดินกลับไปที่ห้องของเขา
ชูเหว่ยงงงวยนิดหน่อย แล้วคิดว่าแม้แต่ชนชั้นแรงงานในปัจจุบันก็มีโทรศัพท์ ถึงกระนั้นเย่โม่ก็ไม่มีแม้แต่มีมัน ดังนั้นเขาอาจอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย เธอรู้สึกสงสัยเมื่อมองกลับไปตอนจ่ายค่าเช่า เขาจะอยู่ที่นี้ได้อย่างไรถ้าเขาไม่จ่ายค่าเช่ากับเจ้าของบ้าน
อย่างไรก็ตามผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีและบอกว่าเขาสามารถช่วยเธอกับสิ่งปกติๆได้ ชูเหว่ยส่ายหัวเย่โม่ไม่ได้ดูเหมือนคนเลว มันเป็นเพียงที่เขาต้องการที่จะรักษาหน้าตาของเขา เธอสงสัยว่าจะช่วยเขาหางานทำที่โรงพยาบาลได้หรือไม่ มันก็ยังดีกว่าว่างงาน
ชูเหว่ยคิดว่าตัวเธอก็น่ารักแต่เย่โม่นี้ไม่ได้ต้องการนั่งต่อไปแม้สักเล็กน้อย ซึ่งเป็นที่น่าผิดหวัง มันเหมือนกับว่าเขามากินอาหารจริงๆ อย่างไรก็ตามชูเหว่ยคิดอย่างรวดเร็วและสรุปได้ว่าเขาอาจจะรู้สึกตัวเองว่าเขาเป็นคนตกงานและอาจไม่สามารถหาตังซื้อโทรศัพท์ได้ ดังนั้นแน่นอนเขาอาจจะนั่งอย่างอึดอัดและเพื่อพูดคุยกับเธอ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ชูเหว่ยพบความสงบในหัวใจของเธอ
ในขณะเดียวกันเมื่อเย่โม่เดินกลับไปที่ห้องของเขา เขาสงสัยว่าเขาควรจะซื้อโทรศัพท์หรือไม่ แต่ทว่าเขาตัดสินใจแล้ว มันจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงเพราะเขาไม่มีเพื่อนหรือญาติที่นี่ ดังนั้นเขาก็จะไม่มีใครติดต่อเพราะฉะนั้นเขาจึงหยุดความคิดนี้
50,000 เหรียญของเขาถูกใช้ไปหมดทั้งค่าเช่าและสมุนไพร รวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำวัน ตอนนี้จึงเหลือเพียงประมาณ 20,000 เหรียญเท่านั้น ฉะนั้นเย่โม่จึงตัดสินใจที่จะตั้งแผงลอยของเขาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามในครั้งนี้ เขาไม่ได้ไปขายยันต์เพราะพวกมันขายยากเกินไป ถ้าเขาไม่พบผู้หญิงที่กำลังหมดหวังครั้งล่าสุด เขาอาจจะไม่สามารถขายได้
คราวนี้ความคิดของเขาคือการตั้งแผงลอยเขาในตลาดกลางคืนที่มีขนาดเล็ก นี่เป็นเพราะงานของชูเหว่ยเป็นแรงบันดาลใจให้กับเขา อีกหนึ่งเหตุผลที่เขาจะตั้งแผงลอยสำหรับรักษานั้นมันเป็นเพราะทำได้ง่ายและคนอื่นๆก็จะไม่ได้เพ่งเล็งเขา ยิ่งไปกว่านั้นในตลาดกลางคืนนั้น ยามในเมืองจะไม่สนใจ และเขาสามารถบ่มเพาะได้ในขณะที่รอลูกค้า แต่แน่นอนเหตุผลหลักคือรัฐบาลไม่อนุญาตให้มีแพทย์เร่ร่อน ดังนั้นเขาจึงสามารถเปิดธุรกิจของเขาได้ในเวลากลางคืนเท่านั้น
ความคิดของเย่โม่เหมือนกับการขายยันต์ ถ้าเขาทำมันได้เขาก็อาจจะไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นเลยอีกนาน