ตอนที่ 17 งานเลี้ยงหลงเหมิน (ประตูมังกร)
เมื่อถึงยามราตรี บ้านตระกูลจี้เต็มไปด้วยแสงจากโคมไฟนับไม่ถ้วน
จี้เทียนซิงได้เปลี่ยนเป็นชุดสีดำองอาจ ในมือกุมกระบี่มังกรโลหิตไว้และเดินออกจากเคหะตระกูลจี้
จี้ห่าวพร้อมกับรถม้าสองคันได้ยืนรออีกฝ่ายอยู่ที่หน้าประตูแล้ว
ชายหนุ่มทั้งสองคนจึงขึ้นรถม้าและเดินทางไปยังวังวิญญาณเพลิงพร้อมกัน
วังวิญญาณเพลิงเป็นวังที่สง่างามและหรูหราที่สุดขององค์ชายน้อยจี้หลิง พระราชวังแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่เกือบสองพันเอเคอร์ และมีพระราชวังเล็กๆยิบย่อยที่สวยงามมากกว่าสิบหลังอยู่รอบๆ มีลานกว้างถึงเก้าแห่งและมีสวนหย่อมมากมาย
นอกจากพระบรมมหาราชวังขององค์จักรพรรดิแล้ว วังวิญญาณเพลิงนับได้ว่าเป็นพระราชวังที่น่าประทับใจที่สุดในเมืองจักรวรรดิ
ด้านนอกประตูพระราชวังเป็นแม่น้ำใสที่ไหลผ่านเมืองจักรวรรดิไปยังด้านนอกของเมือง
แม่น้ำใสกระจ่างกว้างประมาณแปดฟุตและมีกลีบดอกไม้สีสันสดใสมากมายลอยอยู่ในน้ำ
เมื่อจี้เทียนซิงมาถึงวังวิญญาณเพลิงก็พบว่ามีรถม้าหลายสิบคันจอดอยู่ริมถนน
ผ่านแสงไฟที่ทางเข้าของวังวิญญาณเพลิง เขามองเห็นรถม้ามากมายและตราสัญลักษณ์ของรถม้าเหล่านั้นที่เป็นของตระกูลชนชั้นสูงในเมืองจักรวรรดิ
เหล่ารุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์หลายคนเริ่มลงจากรถม้าและพบปะทักทายกันอย่างสบายใจ พวกเขาจับกลุ่มกันสามสี่คนทยอยเดินข้ามสะพานฉิงหยุนและเข้าสู่วังวิญญาณเพลิง
จี้ห่าวลงจากรถม้าและไม่สนใจเสวนาใดๆกับรุ่นเยาว์มากความสามารถคนอื่นๆ เขาเดินมาหาจี้เทียนซิงอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า
“พี่ใหญ่ เข้าไปกันเถอะ”
จี้เทียนซิงพยักหน้าอย่างเงียบงันและสาวเท้าข้ามสะพานฉิงหยุน จากนั้นเขาก็เดินไปที่ประตูวังวิญญาณเพลิง
โคมไฟสีแดงจำนวนนับร้อยห้อยแขวนประดับประดาอย่างสวยงามตั้งแต่ด้านหน้าประตูยาวออกไป มันเปล่งแสงสีแดงออกมาซึ่งขจัดความมืดมิดของทุกสิ่งรอบตัว
ศิลาหินที่แกะสลักเป็นรูปมนุษย์ในชุดเกราะสีดำที่หน้าทางเข้าประตูนั้นแผ่ซ่านกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกออกมา
นอกจากนี้ยังมีชายร่างท้วมวัยกลางคนที่มีท่าทางเหมือนพ่อบ้านกำลังยืนรับแขกเหรื่อ และตรวจสอบบัตรเชิญของแขกที่ทยอยเดินเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
จี้เทียนซิงและจี้ห่าวเดินมาถึงหน้าประตูและยืนอยู่ตรงหน้าชายอ้วน
จี้ห่าวรีบหยิบคำเชิญจากในเสื้อแขนออกมาอย่างรวดเร็วและยื่นส่งให้อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
ชายอ้วนเหลือบมองไปที่คำเชิญและจ้องมองจี้เทียนซิงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “แล้วบัตรเชิญของเจ้าล่ะ ?”
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและกำลังจะเอ่ยปาก แต่จี้ห่าวชิงตัดหน้าด้วยรอยยิ้มและอธิบายว่า “พ่อบ้านหวังนี่คือพี่ใหญ่ของข้าเอง คุณชายใหญ่ตระกูลจี้ สถานะอย่างเขาจำเป็นต้องใช้บัตรเชิญด้วยหรือ ?”
สีหน้าของพ่อบ้านหวังแสดงออกอย่างดูหมิ่นเหยียดหยามและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เฮอะ ก่อนหน้านี้องค์ชายน้อยเชิญคุณชายจี้มาตั้งหลายครั้งแต่ท่านกลับไม่แยแส บัดนี้อัจฉริยะคนนั้นกลายเป็นขยะไร้ค่า กลับต้องการเข้าร่วมงานเลี้ยงหลงเหมินขององค์ชายน้อย.... น่าขันสิ้นดี !”
เหล่ารุ่นเยาว์มากพรสวรรค์หลายคนที่อยู่ใกล้ประตูต่างก็ได้ยินคำพูดเสียดสีของพ่อบ้านหวัง พวกเขาต่างมารุมล้อมกันรอชมเรื่องสนุกด้วยความตื่นเต้น
สีหน้าของจี้เทียนซิงเปลี่ยนไปและดวงตาของเขาก็เปล่งแสงเย็นเยียบออกมา
“เพี๊ยะ !”
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่กางฝ่ามือตบใส่ใบหน้าของพ่อบ้านหวัง
พ่อบ้านหวังถูกตบกะทันหันจนหน้าชาและแทบจะล้มลงไปกับพื้น เขาจ้องมองไปที่แก้มสีแดงที่บวมเป่งและจ้องเขม็งไปที่จี้เทียนซิงด้วยความตระหนก
เขามีความแข็งแกร่งในระดับปรับแต่งกายา แต่กลับไม่สามารถมองได้ทันว่าฝ่ามือของชายหนุ่มตรงหน้ากระทบใบหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?!
ยิ่งไปกว่านั้น จะให้เขาทำใจเชื่อได้ว่าอย่างไรว่าจี้เทียนซิงที่กลายเป็นขยะของคนทั้งเมืองจะกล้าตบหน้าเขาในที่สาธารณะ
เหล่ารุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ที่ยืนมุงกันอยู่รอบหน้าต่างก็มีสีหน้าโง่งม และไม่เชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
พ่อบ้านหวังหันกลับมาและมองไปที่จี้เทียนซิงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น “จี้เทียนซิง ! เจ้าอาจหาญมากที่ตบหน้าข้า”
จี้เทียนซิงมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่แยแสและกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย “แล้วไง ?”
พ่อบ้านหวังคำพูดติดอยู่ที่ลิ้นและตัวสั่นเทา สุดท้ายเขาก็ไม่อาจทำอะไรได้
มันเป็นความจริงที่เขาเป็นพ่อบ้านผู้ดูแลวังวิญญาณเพลิงและต้นขาใหญ่ที่พึ่งพิงของเขาคือองค์ชายน้อย หากเขาจะด่าทอทุบตีคนทั่วไปก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่สถานะของจี้เทียนซิงนั้นทำให้เขาไม่อาจทำอะไรได้ ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจี้และเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลขุนนางชั้นสูง ต่อให้ไปฟ้ององค์ชายน้อยแล้วจะทำอะไรได้ ? องค์ชายน้อยไม่มีทางหักกับตระกูลจี้เพื่อพ่อบ้านอย่างเขาแน่นอน
พ่อบ้านหวังพยายามข่มอารมณ์โกรธ เขาทำได้เพียงจ้องหน้าจี้เทียนซิงและลอบด่าทอบรรพบุรุษ 18 ชั่วโคตรภายในใจเท่านั้น
จี้เทียนซิงจ้องมองอีกฝ่ายเช่นกันและเดินอาดๆผ่านประตูวังวิญญาณเพลิงเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย
จี้ห่าวตามติดอย่างใกล้ชิดจากด้านหลังชายหนุ่ม และหลังจากที่เดินผ่านพ่อบ้านหวัง จี้ห่าวก็ไม่ลืมที่จะส่งสายตาเย็นชาไปให้อีกฝ่าย
สำหรับเหตุผลที่มองพ่อบ้านหวังด้วยสายตาแบบนั้น เกรงว่ามีแต่เขาเท่านั้นที่รู้….
หลังจากเข้าสู่วังวิญญาณเพลิงก็พบพื้นถนนกว้างที่ปูด้วยหินอ่อน
ที่สุดทางเดินคือห้องโถงฟ้ากระจ่าง และงานเลี้ยงหลงเหมินก็จัดขึ้นที่นี่ในคืนนี้
ห้องโถงฟ้ากระจ่างเต็มไปด้วยแสงสว่างไสว พื้นที่ตรงกลางว่างเปล่าและบริเวณรอบๆกำแพงนั้นถูกจัดวางไว้ด้วยโต๊ะไม้ที่ล้อมเป็นวงกลมกว่า 100 โต๊ะ
บนโต๊ะไม้เนื้อแข็งนี้วางไว้ด้วยจานผลไม้หลากหลายชนิด, ถ้วยสุราและอาหารว่างอีก 2-3 ชนิด
เมื่อจี้เทียนซิงและจี้ห่าวก้าวเข้ามาถึงภายในห้องโถงใหญ่ พวกเขาก็เห็นว่ามีเหล่ารุ่นเยาว์มากความสามารถร่วม 30 คนอยู่ในห้องแล้ว
ผู้ที่รู้จักกันต่างก็นั่งร่วมโต๊ะและพูดคุยกันอย่างสนิทสนม เผยให้เห็นรอยยิ้มเป็นครั้งคราว
นอกจากนี้ก็ยังมีรุ่นเยาว์บางคนที่ปลีกตัวไปนั่งคนเดียวหรือแม้กระทั่งหญิงสาวที่อยู่ตามมุมมืด พวกเขาเหล่านั้นนั่งอยู่โต๊ะหลังๆด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายและเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
จี้เทียนซิงรู้ว่ากลุ่มคนที่ปลีกวิเวกเหล่านั้นต่างก็เป็นรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์จากกองกำลังลับที่ไม่ค่อยเปิดเผยตัว พวกเขารู้สึกแปลกแยกต่อบุคคลสำคัญของจักรวรรดิและวังวิญญาณเพลิง
นอกจากนี้มีรุ่นเยาว์มากกว่า 30 คนที่นั่งอยู่ตามมุมและอยู่ห่างไกลจากตำแหน่งหลักๆที่เห็นได้ง่าย
ท้ายที่สุดแล้วมันเป็นการจัดเตรียมที่ทำให้รู้ว่าสถานะและความแข็งแกร่งของพวกเขาเหล่านั้นไม่เพียงพอที่จะนั่งในตำแหน่งที่ดีของงานเลี้ยงคืนนี้
ที่นั่งหลักของเจ้าภาพอยู่ทางทิศเหนือและที่นั่งทั้งสองข้างยังคงว่างเปล่า ซึ่งตำแหน่งที่นั่งเจ้าภาพย่อมเป็นขององค์ชายจี้หลิงและอัจฉริยะระดับท็อบบางคน
กล่าวได้ว่าที่นั่งของงานเลี้ยงหลงเหมินไม่ใช่คิดจะนั่งที่ใดก็ได้ !
เมื่อจี้เทียนซิงเดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ เสียงเอะอะคึกคักจากการสนทนาของผู้คนจำนวนมากก็ค่อยๆเงียบลงจนกลายเป็นเงียบสนิท
ทุกคนทยอยหันศีรษะไปมองที่ประตูทางเข้าและจ้องไปที่จี้เทียนซิง
ครู่หนึ่ง ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป
บางคนมีสีหน้าแปลกใจ บางคนรู้สึกผิดปกติ บางคนดูถูกเหยียดหยามและบางคนแสดงความพอใจในความโชคร้ายของผู้อื่น
แม้กระทั่งรุ่นเยาว์ที่ไม่ค่อยเปิดเผยตัวเองก็ยังกระซิบกระซาบกันด้วยเสียงหัวเราะ
ทุกคนต่างรู้กันดีว่างานเลี้ยงหลงเหมินคืนนี้จะต้องมีการแสดงที่ดีเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้นมันจะต้องเป็นบทละครฉากหนึ่งที่ยอดเยี่ยมและหาดูได้ยากในรอบร้อยปี เมื่ออัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองจักรวรรดิ ชายผู้โดดเด่นที่สุดของรัฐนภากระจ่างที่สูญเสียพลังจนกลายเป็นขยะในชนชั้นปรับแต่งกายาขั้นที่ 3 และถูกตระกูลหลิงถอนหมั้นจนเป็นที่ขบขันของผู้คนทั่วทั้งเมืองได้เข้ามาร่วมงานเลี้ยงของเหล่ารุ่นเยาว์มากความสามารถในคืนนี้ !
เหล่ารุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ทั้งหลายในห้องโถงใหญ่แทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เห็นว่าจี้เทียนซิงจะเสียหน้าในคืนนี้อย่างไร และเขาจะถูกทุกคนดูหมิ่นเหยียดหยามแค่ไหน !
ทว่า จากเสียงซุบซิบนินทาและสีหน้าดูหมิ่นของผู้คน จี้เทียนซิงไม่แยแสและไม่สนใจปฏิกิริยาของผู้ใด
เขาเพียงก้าวยาวๆเข้าไปในห้องโถงใหญ่อย่างหนักแน่น และพาจี้ห่าวผ่าฝูงชนเดินไปที่มุมห้อง จากนั้นก็เลือกโต๊ะนั่งลง
หลังจากที่นั่งลงแล้ว เขาก็เหลือบตามองกระบี่มังกรโลหิตที่วางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็หลับตาลงด้วยท่าทางเย็นชา
ท่ามกลางเสียงกระซิบและนินทา เขาทำเป็นไม่ได้ยินและดูไม่สนใจต่อทุกสิ่ง
龙门宴, ประตูมังกร) อันนี้ตามประวัติศาสตร์นะครับ
ถ้ำผาหลงเหมินเป็นสิ่งก่อสร้างพุทธศาสนายุคแรกในจีน มีชื่อเต็มๆเรียกว่า “หลงเหมิน ฉือคู” หลงที่แปลว่ามังกร เหมินอันหมายถึงประตู รวมความได้ว่าคือประตูมังกร ส่วนฉือคูตรงกับ Grottoes หรือถ้ำผา ไม่ใช่ถ้ำเฉยๆนะครับ ทว่าเป็นถ้ำบนผาสูง หลงเหมินฉือคู จึงแปลว่า ถ้ำผาประตูมังกร และเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ยูเนสโกก็ได้จับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้ว
ถ้ำผาหลงเหมิน ตั้งอยู่ในกรุงลั่วหยาง (Luoyang) มณฑลเหอหนาน ใจกลางประเทศจีนเป๊ะ แต่เดิมในอดีตกาล กรุงลั่วหยางคือนครหลวง มีราชวงศ์ต่างผลัดกันขึ้นปกครอง 10 กว่าราชวงศ์