ฝางซิงมองเข้าไปในวงแหวนมิติแล้วก็ยิ้ม
โชคดีอะไรอย่างนี้ เพราะนอกจากดาบอัคคีเก้างูทองแล้ว ยังมียาอายุวัฒนะ และตั๋วทองคำอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้ฝางซิงพลิกฐานะตัวเองจากความยากจนขึ้นมาทันที
โดยเฉพาะดาบอัคคีเก้างูทองนั่น ดาบสีแดง ที่ฝังลวดลายงูสีทองราวมีชีวิต สดใสงดงามอย่างยิ่ง งูทองคำตัวนั้นพร้อมจะตื่นจากการหลับใหลออกมาฉกกัดคนได้ตลอดเวลา
ลักษณะของมันดูพิเศษมาก !
ฝางซิงพิจารณาดาบจนทั่ว เขาพบวงกลม 9 วงฝังตัวอยู่อย่างประณีต
ทั้งวัสดุ ฝีมือ อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมกว่าดาบทั่วไป เยี่ยมจริง ๆ
มูลค่าของมันไม่ต่ำกว่าสองพันตำลึงทองเลยทีเดียว !
แต่ครั้นฝางซิงพยายามส่งพลังเข้าไปในดาบ เพื่อทำลายผนึกที่สะกด ก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็น ดาบที่เหมือนหลุมดำ สูบพลังเขาไปเพียงไรก็ไม่พอ ฝางซิงเข้าใจทันทีว่าทำไมเจ้าหนุ่มผู้ร่ำรวยคนนั้นถึงยอมแลกมันกับหินจิตวิญญาณ เพราะมีแต่ศิษย์ที่มีพลังแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถใช้มันได้ คุณภาพมันสูงส่งมาก เกรงว่า จะมีเพียงผู้ที่ผ่านขั้นสอง หรืออาจถึงขั้นสามเท่านั้นที่สามารถใช้มันได้
แต่มันก็เป็นของดีจริง ๆ ควรค่าแก่การเก็บรักษา สักวันเขาคงได้ใช้ประโยชน์จากมัน !
คิดแล้วเขาก็เก็บมันลงในวงแหวนมิติ
“คนรวย..นี่ดีจริง ๆ เฮ้อ !”
ฝางซิงเก็บลักษณะของชายร่ำรวยคนนั้นไว้ในหัว เก็บไว้ก้นบึ้งของหัวใจ ไว้เจอกันคราวหน้า เขาคงได้พึ่งพาคน ๆ นี้อีก
เมื่อมีทรัพยากรเพียงพอแล้ว ฝางซิงก็พร้อมจะลงมือปฏิบัติ คราวนี้ไม่มีใครจะหยุดยั้งเขาได้อีกแล้ว
เขาหยุดฝึกไป20 วัน หรืออาจมากกว่านั้น เพราะหินจิตวิญญาณหมดพลัง แต่หลังจากไปเยือนตลาดมืด เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องหินจิตวิญญาณอันเป็นทรัพยากรที่ใช้ในการฝึก หินจิตวิญญาณ 31 ก้อนเพียงพอสำหรับใช้ในการฝึกยาวนานถึง 1 ปีเลยทีเดียว
การฝึกฝนนั้น จะต้องใช้ทรัพยากรอย่างเพียงพอ และต่อเนื่อง จึงจะเห็นผล
บรรดาคนมีพรสวรรค์เหล่านั้นที่ฝึกก้าวหน้าได้รวดเร็ว ก็เพราะพวกเขาไม่ยึดติดกับทรัพยากร พวกเขาสามารถกำหนดลมหายใจเพิ่มพลังให้ตนเองได้ ดังนั้นต่อให้ไม่มีทรัพยากรใด ๆ เลย พวกเขาก็ยังสามารถฝึกฝนไปได้ตามที่ควรจะเป็น
ส่วนนักพรตอ้วน แม้จะไม่เคยผ่านไปยังขั้นถัดไป แต่ก็ไม่ถอยระดับกลับลงมา
แน่นอนว่า เขาไม่มีวันตกขั้นอยู่แล้ว ก็เขาอยู่ขั้นต่ำสุดของการฝึก แล้วจะตกไปขั้นไหนได้ล่ะ
หลายวันต่อมาภายหลังจากการเปิดตลาดมืดครั้งล่าสุด ผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้บรรดาคนที่เข้าร่วมชะตากรรมเริ่มกลับคืนสติ พวกเขาพยายามสืบหาอย่างลับ ๆ แม้เรื่องของตลาดมืดจะไม่ใช่เรื่องที่สามารถเปิดเผยได้ แต่มันก็ไม่เงียบนักหรอก คนพวกนั้นต่างก็ค้นหา บุคคลที่พวกเขาจำลักษณะได้ นั่นคือ ชายหนุ่มผอมบาง เสียงแหบแห้ง ที่ไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับลักษณะปัจจุบันของฝางซิงเลย
ฝางซิงฟังเรื่องราวของตลาดมืดที่นักพรตอ้วนนำมาเล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาชื่นชมตัวเองที่เลือกหน้ากากว่านลั่วมาไม่ผิด
ส่วนเรื่องความโชคดีของเขา ฝางซิงไม่ปริปากแม้แต่น้อย แม้แต่นักพรตหยูก็ไม่รู้ ในเวลาค่ำคืนที่เขาอยู่เพียงลำพัง เขาจะนำหินจิตวิญญาณออกมาฝึกฝน ขณะที่คนอื่นหลับใหล ด้วยประสิทธิภาพของหินจิตวิญญาณ ทำให้การฝึกฝนของเขารุดหน้าไปมาก ยิ่งกลั่นพลังจากหินจิตวิญญาณมากเท่าไหร่ ความก้าวหน้าของเขาก็มากขึ้นเท่านั้น เพียงแค่ 10 วันเขาก็ต้องใช้หินจิตวิญญาณก้อนใหม่
ด้วยพลังลมปราณที่ไหลผ่านเส้นลมปราณกระจายไปทั่วร่างของเขาในทุก ๆ คืน
ฝางซิงรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย กระดูกของเขาแข็งแกร่งขึ้น และยืดหยุ่นกว่าเดิม ทั้งยังอัดแน่นไปด้วยพลัง ทำให้เขาสามารถฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บทางกายภาพได้เร็วขึ้น ภูมิคุ้มกันในร่างกายก็ดีขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่มกลิ่นอายพลังของเขาให้เข้มข้นขึ้นด้วย
ร่างกายของฝางซิงที่เสียหายมาพอสมควรจากการใช้หญ้าฮั่วจิงเฉ่าก็เริ่มกลับมาฟื้นฟู
หลังการฝึกฝนที่รุดหน้าแบบก้าวกระโดด ฝางซิงก็ก้าวผ่านขั้นแรกสู่ขั้นที่สองภายในเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น ระดับการฝึกของเขาเมื่อเทียบกับศิษย์ใหม่ที่เหลือทุกคนก็นับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย ศิษย์ใหม่ที่อยู่ระดับ A ทำได้เพียงเพิ่มพูนการฝึกขั้นแรกจนแข็งแกร่งเพื่อเตรียมพร้อมไปสู่ขั้นที่สองเท่านั้น
ส่วนคนที่ไม่มีพรสวรรค์ก็อาจไปไม่ถึงไหนเลยด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถตั้งอกตั้งใจ มีทรัพยากรในการฝึกมากมาย และขยันอย่างฝางซิง คนที่มีพรวรรค์ชั้นเยี่ยมก็จะได้หินจิตวิญญาณเพียงเดือนละสองก้อนเท่านั้น ขณะที่ฝางซิงใช้ถึงสามก้อนต่อเดือน
แน่นอนว่า ฝางซิงเทียบไม่ได้กับคนที่มีทั้งพรสวรรค์ และร่ำรวยเงินทอง คนพวกนั้นนอกจากจะได้เข้ามาเป็นศิษย์นอกสำนักก่อนเขาถึงสามเดือน ทั้งยังมีเงินทองมากมายพอที่จะซื้อหินจิตวิญญาณได้มากเท่าที่พวกเขาต้องการ คนพวกนั้นย่อมผ่านไปสู่ขั้นสองแล้วในตอนนี้
สิ่งเดียวที่ผู้ฝึกฝนทำได้ ก็คือฝึก ฝึก และฝึกอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งนั่นก็ยิ่งต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
***จบบท ได้เวลาเก็บเกี่ยว (2)***