px

เรื่อง : บัญญัติครองสวรรค์
บทที่ 28 : ได้เวลาเก็บเกี่ยว (1)


จากนั้นไม่นาน เขาก็จัดการกับสมบัติพัสถานต่าง ๆ ของคนที่หมดสติเหล่านั้นจนหมด พลันความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ เขามีบางอย่างที่ต้องกระทำก่อนจากไป

 

ฝางซิงหันกลับมา หยิบตั๋วทองคำที่เขารวบรวมมาได้ ใส่ไว้ในกระเป๋าของชายที่ดูเป็นคนร่ำรวยผู้เป็นเจ้าของดาบอัคคีเก้างูทอง จากนั้นก็นำดาบเกรดต่ำจากคน ๆ หนึ่งมาใส่ไว้ให้ชายหน้าหนวด แล้วก็สลับสับเปลี่ยนทรัพย์สินของคนเหล่านั้น ยักย้ายถ่ายเทไปมา เอาของคนโน้นมาใส่กระเป๋าคนนี้ เอาของคนนี้ไปใส่กระเป๋าคนนั้น

 

เว้นแต่หินจิตวิญญาณกับวงแหวนมิติ และดาบอัคคีเก้างูทอง เขาเก็บเอาไว้เองทั้งหมด

จากนั้นเขาก็เดินไปตบหน้าชายหน้าหนูผีฉาดใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า

 

“ไอ้งี่เง่า ใครใช้ให้เจ้ากล้ากลั่นแกล้งรังแกข้า นี่คือบทเรียนของเจ้า”

 

ความแรงของการตบนั้นใช้ได้ดีทีเดียว รอยนิ้วปรากฏบนใบหน้าของชายหน้าหนูผี หน้าของเขาบวมเห่อ แต่เขาก็ยังคงหลับไม่ตื่น

 

ฝางซิงหยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะแก้กางเกง แล้วปัสสาวะรดหน้าศิษย์พี่หน้าหนูผี พลางมองใบหน้าบวมช้ำ อีกทั้งน่าสังเวชนั่น เขาแสยะยิ้ม และพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ เขารีบหายตัวไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว

 

หุบเขาเงียบสงัด ไร้เสียงนกขับขาน พระจันทร์กระจ่าง ในหุบเขา ร่างของคนหลายคนยังนอนแผ่หราระเกะระกะบนพื้นดิน

 

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง ชายหน้าหนูหนวดหยุมหยิมรู้สึกตัวขึ้นเป็นคนแรก เขาส่ายหัวพยายามนึกทบทวนเรื่องราวก่อนที่เขาจะสลบไป เมื่อจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ตัวสั่นเทา เขายื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อของตน จึงพบว่าตั๋วทองคำสี่ร้อยแปดสิบเหรียญทองที่แลกกับหินจิตวิญญาณหกก้อนนั่นบัดนี้ได้หายไปแล้ว เขาถึงกับร้องสะอื้นไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ

 

แต่แล้วเขาก็เงียบเสียงลงในทันใด เพราะเพียงไม่นานเขาก็พบว่า ตั๋วทองคำทั้งหมดของเขาหายไป แต่บนอกของเขากลับมีดาบเกรดต่ำ ๆ อยู่หนึ่งอัน

 

ครั้นมองไปที่ดาบนั่น เมื่อเทียบกับทองคำแล้ว มันก็น่าจะขายได้สักพันตำลึงเงินหรืออาจมากกว่านั้น ดังนั้นแม้ตั๋วทองของเขาจะหายไป แต่เมื่อได้สิ่งนี้มาทดแทนก็ถือว่ายังดี ถึงตัวเขาจะไม่รู้ว่าดาบนี่มาอยู่บนอกของเขาได้อย่างไร แต่เมื่ออ้อยเข้าปากช้างแล้วจะให้คายก็กระไรอยู่ คิดดังนี้ เขาจึงมองไปรอบ ๆ สายตาเขาสอดส่ายไปมา

 

เมื่อมองเห็นคนส่วนใหญ่ยังคงสลบไสลอยู่ เขาก็รีบค้นในตัวคนเหล่านั้น เพื่อหาของดี ๆ แล้วฉกมาโดยไวที่สุดเข้าสู่มือของเขา

 

ครั้นเห็น ศิษย์ที่ผ่านการฝึกขั้นสองเริ่มขยับตัวเล็กน้อย ดูเหมือนกำลังจะฟื้นเขาก็รีบหลบออกไปอย่างเงียบเชียบ

 

กลุ่มคนที่เหลือเริ่มทยอยฟื้นขึ้นมา ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคืองงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต่างก็รีบตรวจตราทรัพย์สินของตน เพื่อจะพบว่าหินจิตวิญญาณของพวกเขาหายไปหมดแล้ว แต่ในอ้อมแขนของพวกเขากลับมีของอย่างอื่นมาแทนที่

 

คนพวกนั้นอยากจะพูดคุยกัน แต่ก็ล้มเลิกความคิดนั่น เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเอาเสียเลย

 

เพราะความลับของพวกเขาจะถูกเปิดเผย ตอนนี้แค่สูญเสียเพียงเล็กน้อย แม้ทรัพย์สินจะถูกขโมยไปหมด แต่เขาก็ยังมีของบางอย่างในกำมือ ของถูกขโมยไปแล้วย่อมไม่มีวันได้กลับมา อย่างน้อยเจ้าหัวขโมยก็ยังทิ้งบางสิ่งไว้ให้ หากพวกเขาโวยวายล่ะก็ อาจจะไม่เหลืออะไรเลยก็เป็นได้

 

ดังนั้น พวกที่เหลือเมื่อฟื้นขึ้นมา ต่างก็แสดงท่าทางแปลก ๆ แล้วก็นิ่งเงียบ สุดท้ายก็เดินจากไปอย่างเงียบ ๆ

 

นอกจากนี้เมื่อมีโอกาส ก็ยังพยายามฉกฉวยทรัพย์สินจากคนที่อยู่รอบข้างเท่าที่จะทำได้

 

คนทั้งหมดต่างทยอยฟื้นขึ้นมาตามความแข็งแกร่งของแต่ละคน กระทั่งคนสุดท้าย คือ ชายผู้ร่ำรวยที่มีทั้งวงแหวนมิติ และดาบอัคคีเก้างูทอง เขาเป็นคนที่เสียหายมากที่สุด เขาได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ ในตอนที่เขาตื่นก็ยังมีพวกที่น่าสงสารเช่นเขาอยู่อีกสองสามคน ต่างคนก็ต่างดูน่าสังเวชพอ ๆ กัน

 

“ใครทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ได้ ข้าลั่วซีจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้า ! !”

 

เสียงร้องคร่ำครวญดังลั่นทำลายความเงียบสงบในยามเช้า ทำให้นกกลางคืนที่กำลังกลับรังบินหนีแตกตื่น

 

ส่วนโจรต้นเหตุกลับยิ้มจนปากแทบฉีกถึงใบหู

 

ข้าทำสำเร็จแล้ว โชคดีจริง ๆ

 

หลังจากฝางซิงกลับไปถึงกระท่อม และนับหินจิตวิญญาณ เขาก็พบว่า เขามีหินจิตวิญญาณมากกว่า 30 ก้อน ซึ่งหากเป็นศิษย์คนอื่น ๆ ทั่วไป ต้องใช้เวลา 7-8 ปีเลยทีเดียวกว่าจะเก็บได้มากขนาดนี้ นี่ยังไม่นับรวมวงแหวนมิติ และดาบอัคคีเก้างูทองอีกด้วย ชายร่ำรวยคนนั้นพยายามปิดผนึกวงแหวนที่ใช้เก็บดาบของเขา แต่ด้วยฝีมืออันต่ำต้อยของเขา จึงไม่ยากสำหรับฝางซิงที่จะเปิดผนึกออก

 

***จบบท ได้เวลาเก็บเกี่ยว (1)***

 

รีวิวผู้อ่าน