เมื่อได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นศิษย์นอก เนื้อหาในตำราเสริมสร้างพลังลมปราณสำนักชิงหยุนก็จะเน้นไปที่การฝึกเดินพลังไปยังฝ่ามือทั้งสองข้าง ส่วนหลักการพื้นฐานอื่น ๆ ก็ยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่จะบรรยายรายละเอียดเพิ่มเติมมากขึ้น และเน้นการเดินพลังไหลเวียนในเส้นลมปราณ ทำให้พลังเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ในตำรายังเน้นประสบการณ์ในโลกของการฝึกทั้งสถานที่ และวิธีการต่าง ๆ ที่สามารถใช้ฝึก รวมถึงการใช้หินจิตวิญญาณเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของพลังลมปราณ
ในช่วงเวลากลางคืน ฝางซิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ในห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย สะอาด และเงียบสงบ
ด้านหน้าเขามีตำราเสริมสร้างพลังลมปราณของสำนักชิงหยุนสำหรับศิษย์นอกวางอยู่
เนื้อหาวิธีการฝึกฝน และกลยุทธ์ในตำราเล่มใหม่นี้ไม่แตกต่างจากเล่มแรกที่ได้รับมากนัก เพียงแต่มีการเพิ่มเติมในรายละเอียดมากขึ้น โดยเน้นไปที่การปฏิบัติ และการฝึกหายใจ ฝึกเดินลมปราณ และฝึกหมุนเวียนพลังลมปราณง่าย ๆ
แต่ความเป็นจริงแล้วเด็กที่ฝึกตามตำรานี้ก็จะฝึกฝนพลังได้เพียงผิวเผินไม่ได้ล้ำลึกอะไรมาก
เพราะเด็กน้อยเหล่านี้เมื่อฝึกฝนครบ 10 ปี ก็จะลงจากเขา เพื่อไปสร้างชื่อเสียง และความมั่งคั่งของตนเอง ซึ่งอาจทำให้วิชาของสำนักรั่วไหลได้ง่าย ๆ
ศิษย์นอกที่ฝึกผ่านไปสามปี ถ้าไม่สามารถพัฒนาตนเองไปสู่ขั้นที่สองได้ ก็จะถูกขับลงจากเขา
และภายหลังจากฝึกอย่างหนักจนผ่านไปขั้นที่ 3 แล้ว หากภายใน 5 ปีไม่ทะลุคอขวดขึ้นไปถึงขั้นที่ 4 ได้ ก็จะถูกขับลงจากเขา เช่นเดียวกับขั้นอื่น ๆ ที่เหลือก็จะมีกำหนดระยะเวลาเช่นกัน เพราะสำนักชิงหยุนจะไม่เก็บศิษย์ที่ไม่พัฒนาเหล่านี้ไว้
ในกรณีที่ศิษย์คนใดมีทรัพยากรในการฝึกฝนน้อย แล้วมีความต้องการมากขึ้น ก็สามารถจ่ายเงินให้สำนักเพื่อซื้อเครื่องรางเวท หรือออกปฎิบัติหน้าที่ตามแผนกต่าง ๆ เหมือนกับนักพรตอ้วนก็จะได้รับทรัพยากรการฝึกที่ขาดแคลนนั่นได้
“ฮึ่ย..”
ฝางซิงเริ่มใช้กำลังภายใน กดดันลงสู่ใจกลางของพลังลมปราณให้มันไหลเวียน และควบคุมลมปราณ
เบื้องหน้าเขา หินจิตวิญญาณสีแดงค่อย ๆ ลอยขึ้นลงตามลมหายใจเข้าออกของเขา ก่อนจะลอยคว้างกลางอากาศ ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
วิธีการฝึกพลังลมปราณเช่นนี้ จะทำให้ร่างกายของเขาเกิดพลังไหลเวียนภายในไปตามเส้นลมปราณ
ภายหลังจากกลายมาเป็นศิษย์นอกของสำนักอย่างเป็นทางการ เขาก็รับรู้ได้ถึงความยอดเยี่ยมของหินจิตวิญญาณ ตอนนี้ฝางซิงไม่ได้ใช้หญ้าฮั่วจิงเฉ่ามาเป็นทักษะช่วยในการฝึกฝนอีกแล้ว เพราะมันสร้างความเจ็บปวดต่อร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาสองเดือนที่เขากินหญ้าฮั่วจิงเฉ่าเพื่อสร้างพลังแก่นชีวิต นั่นทำให้ร่างกายของเขาต้องทนทุกข์กับอาการบาดเจ็บเล็กน้อยอย่างสม่ำเสมอ
ตอนนี้เขามีอายุเพียง 10 ขวบ แต่กลับมีผมสีเทาแซมบนหัวแล้วในเวลาเพียงแค่สองเดือน
เขาไม่ใช่พวกมีพรสวรรค์สูง ๆ ที่เพียงแค่กำหนดลมหายใจเพื่อเสริมสร้างลมปราณก็สามารถเพิ่มพูนพลังลมปราณได้ง่าย ๆ หินจิตวิญญาณเป็นแร่วิเศษที่มีคุณสมบัติรวบรวมพลังลมปราณไว้ภายใน ซึ่งฝางซิงอาศัยการหายใจชักนำพลังของหินจิตวิญญาณเข้าสู่ร่าง จากนั้นก็ดูดซับพลังลมปราณในหินจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของตน เพื่อการฝึกฝนการไหลเวียนพลังลมปราณ
วิธีนี้จะไม่ทำอันตรายต่อผู้ฝึก หรือในกรณีนี้ก็คือไม่ทำอันตรายต่อร่างกายของฝางซิง ในทางตรงกันข้ามมันจะช่วยให้การฝึกก้าวหน้าเร็วขึ้นกว่าเดิม และดีขึ้นตามลำดับ
เป็นผลให้ความต้องการในหินจิตวิญญาณนี่มีสูงขึ้นตามไปด้วย ตอนนี้ฝางซิงอาจจะใช้หินจิตวิญญาณได้ไม่ชำนาญนัก แต่ก็คาดการณ์ได้ว่าหินจิตวิญญาณนี้จะใช้งานต่อไปได้อีกไม่เกินสิบวัน
อย่างไรก็ตามการฝึกด้วยวิธีนี้ เหมือนการล่องเรือในมหาสมุทร หากไม่ได้หินจิตวิญญาณมาเพิ่มพลังในตัวเขาภายใน 50 วัน พลังนั่นก็จะค่อย ๆ สลายหายไป
อย่างนักพรตอ้วนหยู เป็นศิษย์นอกมาได้ 7 ปีแล้ว และเนื่องจากไม่มีทรัพยากรเพียงพอ เขาจึงไปได้แค่เข้าใกล้ขั้นที่สองแต่ไม่อาจผ่านไปได้ มีอยู่สองครั้งที่เขาเกือบจะถูกส่งลงไปที่หมู่บ้าน แต่เพราะเขามีเส้นสาย และยอมติดสินบนเพื่อที่จะได้อยู่ต่อ อีกทั้งยังทุ่มเททำงานอย่างขยันขันแข็งในแผนกธุรการจึงทำให้เขายังคงอยู่ที่นี่ได้
แต่ยิ่งเขาทำเช่นนั้นมากเท่าไหร่ ทรัพยากรของเขาก็ยิ่งลดน้อยลงเท่านั้น ทั้งยังไม่มีเวลาฝึกฝนเพิ่มเติมอีกด้วย
"ไม่ ถ้ามัวฝึกวิชาอยู่อย่างเดียว ไม่กล้าออกไปเผชิญสิ่งใด ข้าคงอดตายกันพอดี ข้าไม่อยากอยู่แบบเช้าชามเย็นชามเหมือนศิษย์พี่จู (หยู) ข้าต้องทำอะไรบางอย่าง ... "
ฝางซิงพูดเบา ๆ กับตนเอง ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างฉับพลัน พร้อมกับหยุดฝึก ขณะนี้หินจิตวิญญาณไม่ได้ส่องประกายแสงสีแดงเจิดจ้าอีกต่อไป มันร่วงลงบนตักของเขา
***จบบท ทรัพยากรเพื่อการฝึกฝน (1)***