ใบหน้าสดใสน่าเอ็นดูนั่นจ้องมองนักพรตที่อาวุโสกว่า "เจ้าหมูอ้วน อย่าคิดทำอะไรโง่ ๆ น่าละอายสิ้นคิดเด็ดขาด หากเจ้ากล้าทำเช่นนั้น ก็ดูกันว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย" นักพรตอ้วนหยูซานเหลียงได้ยินเสียงอันดุดันเต็มสองรูหูของเขา
"เด็กคนนี้บ้าแน่ ๆ !" นักพรตอ้วนคิดกับตัวเอง
"เอาล่ะ..ครั้งนี้เจ้าเป็นฝ่ายชนะ แต่รอดูครั้งต่อไป เราจะได้เห็นดีกัน..."
"อา..ใช่..เจ้าจะได้พบกับข้าอีกครั้ง ในไม่ช้า ขอบใจเจ้าที่ทำให้ข้ารู้ว่าข้าสามารถเป็นศิษย์นอกได้แล้ว "
ครั้นหวนนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่สามารถใช้พลังลมปราณของเขาป้องกันตัวเองจากฝางซิงได้เลย พลันหัวใจของนักพรตอ้วนก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า "เจ้า...เจ้าสามารถควบคุมพลังลมปราณได้ด้วยหรือ ?"
"ถูกต้อง มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรนี่" ฝางซิงโอ้อวดอย่างไม่เกรงใจ
"บอกนายน้อยสิว่า เจ้าคิดว่าข้าเข้าสู่ขั้นลมปราณระดับหนึ่งหรือยัง ?
นักพรตอ้วนปิดตาของเขาลงอย่างขมขื่น เขาถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยก่อนพูดว่า "ทำไมข้าต้องมาเจอเรื่องแบบนี้... ? เอาล่ะ เมื่อพลังลมปราณของเจ้าคุ้นชินกับเส้นลมปราณของเจ้า เจ้าจะสามารถไหลเวียนมันได้อย่างเต็มที่โดยปราศจากการติดขัดใด ๆ นั่นแสดงว่าเจ้าก้าวมาถึงระดับแรกของขั้นลมปราณแล้ว "
"อะไรนะ ?" ฝางซิงอุทานเสียงดัง เขาผ่านมาถึงจุดนี้ตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว
แท้จริงแล้ว เส้นทางการฝึกฝน ช่วงที่ถือว่ายากที่สุด นั่นคือ ช่วงก่อนที่จะได้รับพลังลมปราณ ที่เรียกกันว่า "คอขวด" อีกทั้งยังจะพบในขั้นตอนต่อ ๆ ไป เมื่อผู้ฝึกฝนเดินลมปราณไหลวนในร่างกายทุกวัน การฝึกฝนจะยากลำบากเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งร่างกายจะเริ่มพัก เพื่อปรับตัวให้เข้ากับพลังที่พัฒนาขึ้น กล่าวได้ว่ามันเป็นความฉลาดของร่างกายที่ปรับตัวให้เข้ากับการฝึกฝน
ทุกครั้งที่ผ่านมา นักพรตน้อยที่กำลังอยู่ระหว่างเส้นทางการฝึกฝน มักจะรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนต่อสำนักทันที เพื่อจะสามารถเปิดรูขุมขนให้กับพลังลมปราณได้ แต่ฝางซิงนั้นเพียงเห็นความแข็งแกร่งจากศิษย์หลักของสำนัก จึงประเมินขั้นลมปราณแรกสูงเกินไป
น่าเสียดายที่ตำราวิวรณ์ไม่มีประโยชน์ในเรื่องนี้ การให้เขาประเมินค่าเองก็ยากที่จะรู้ได้
"อา..ข้าขอล้างหน้าหน่อย..." ดวงตาของนักพรตอ้วนเตี้ยบวมมากจนเขาลืมตาแทบไม่ขึ้น
เหมือนเพิ่งนึกได้ ว่านักพรตอ้วนยังอยู่ที่นี่ ฝางซิงเตะหวังจื้อที่ยืนข้าง ๆ และสั่งว่า "เจ้ายืนบื้อทำอะไรอยู่ที่นี่ ! ไม่เห็นหรือว่าศิษย์พี่จู (ศิษย์พี่หมู) ต้องการน้ำเพื่อล้างหน้า เจ้าหน้าตกกระ..อย่ามัวแต่ยืนเฉยรีบไปเอาเนื้อที่เหลือมา ! เอ่อ..มีขวดเหล้าชั้นดีอยู่ใต้เตียงของหวังจื้อ เอามันมาด้วย คืนนี้ข้าจะดื่มฉลองกับศิษย์พี่จู (ศิษย์พี่หมู) สักหน่อย !"
"ข้าแซ่หยู...ไม่ใช่จู ... "
เมื่อหวังจื้อหิ้วน้ำกลับมาให้นักพรตหยู เขาหันหน้าไปทางฝางซิงถามอย่างงงงวยว่า "เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า มีเหล้าอยู่ใต้เตียงของข้าสี่ขวด ?"
"เหลือแค่สามขวดหรือเปล่า ?" ฝางซิงหัวเราะเยาะ ก่อนจะกล่าวว่า “ใคร ๆ ต่างก็ซ่อนของดี ๆ ไว้ใต้เตียงของตัวเองทั้งนั้นไม่ใช่หรือ ?
หวังจื้อร้องครวญ เขารีบวิ่งไปที่ห้องของเขาเพื่อตรวจสอบเหล้าอันมีค่าที่แอบเก็บเอาไว้
หลังจากนักพรตอ้วนล้างหน้าเสร็จแล้ว เขาคิดว่าจะทำอย่างไรให้ตื่นจากฝันร้ายนี่เสียที แต่ฝางซิง และบรรดานักพรตน้อยที่เหลือต่างก็ได้จัดเตรียมเนื้อสัตว์ และสุราไว้ให้เขาแล้ว นักพรตหยูจึงนั่งลงอย่างขัดไม่ได้ แม้ตอนแรกหยูซานเหลียงจะมีทีท่าเหมือนถูกบังคับ แต่พอเจออาหาร และสุราวางอยู่ข้างหน้า เขาก็กินอย่างเอร็ดอร่อย
นักพรตอ้วนอาจจะเป็นคนพาลแต่เขาไม่โง่ เขารู้แล้วว่าแม้ฝางซิงจะเป็นเพียงเด็กเล็ก ๆ หากแต่ก็มีความสามารถพอที่จะกลายเป็น นายใหญ่ ของสวนโอสถแห่งนี้ได้ภายในไม่กี่วัน ควบคู่ไปกับความจริงที่ว่าฝางซิงได้สำเร็จขั้นจิตวิญญาณแรกของพลังลมปราณแล้ว นั่นหมายความว่าฝางซิงจะกลายเป็นศิษย์นอกได้ตลอดเวลา ดังนั้นพวกเขาก็อาจจะต้องพบกันบ่อยขึ้น จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเป็นปฏิปักษ์กับฝางซิงอีกต่อไป
“โหดเหี้ยม และใจเด็ด ใครจะอยากเป็นศัตรูกับคนแบบนี้”
ด้วยความคิดแบบนี้ นักพรตอ้วนจึงตัดสินใจที่จะใช้โอกาสนี้ตีสนิทกับฝางซิงแทน ภายหลังจากเหล้าหมดไปสามขวด ใบหน้าของคนทั้งสองก็แดงจัด และรื่นเริง ดูราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เกิด
สำหรับสมุนไพรชั้นดีที่ใช้วางแผนใส่ร้ายนักพรตอ้วนหยูซานเหลียง ตอนนี้ถูกนำกลับไปปลูกไว้ในสวนโอสถเหมือนเดิมแล้ว แม้ว่าพวกมันดูคล้ายจะตายแหล่มิตายแหล่ แต่ต่อให้มันตายก็ดูไม่ผิดปกติอะไร เพราะเป็นธรรมดาที่สมุนไพรย่อมมีตายบ้างอยู่แล้วในแต่ละเดือน ตราบใดที่ส่วนใหญ่ยังคงปกติดี และยืนต้นอยู่ได้ก็ไม่มีปัญหา
ในตอนค่ำ ฝางซิงได้รู้ในสิ่งที่เขาอยากรู้ และได้รับการยืนยันจากนักพรตหยูอีกครั้ง
"คือ..ตราบใดที่ข้าเคาะระฆังที่อยู่บนยอดเขาได้ ข้าก็จะสามารถกลายเป็นศิษย์นอกได้ใช่ไหม ?"
"ถูกต้องน้องชายข้า ! พรุ่งนี้เช้าเจ้ารีบไปทำเลยนะ ข้าจะรอฉลองกับเจ้าทันทีหลังเสร็จจากนั้น ! "
***จบบท ใส่ร้ายป้ายสี (2)***