ตอนที่ 46 เป้าหมายปรากฎขึ้น
แต่ว่าตัวเองจะไปทดลองที่ไหนล่ะ นี่มันเป็นปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง! ขณะที่ซ่งลุ่ยกำลังคิด ดวงตาทั้งสองข้างก็กวาดสายตาไปรอบๆห้องอย่างไม่ได้ตั้งใจ ระหว่างนั้นเองเขาก็มองผ่านไปเห็นหน้าต่าง และด้านนอกหน้าต่างนั้นเขายังมองเห็นผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าต่างทันที และมันยังทำให้เขาไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกต่อไป! ทันใดนั้นในหัวของเขาก็มีแสงสว่างแวบขึ้นมา เขาคิดอะไรดีๆออกแล้ว ตอนนี้ความสามารถของตัวเองคือสายตาพันลี้ และทักษะนี้ยังมีความสามารถเพิ่มขึ้นอีก ถ้าอย่างนั้นตัวเองก็ยืนอยู่ตรงนี่และมองไปข้างนอก จากนั้นในเวลาเดียวกันก็ใช้ความสามารถใหม่ที่ตัวเองพึ่งได้มา ลองดูซิว่าผลลัพธ์จะเป็นไปอย่างที่ตัวเองคิดไว้ไหม
เมื่อคิดได้ดังนั้นซ่งลุ่ยก็ลงมือทำทันที เขามีความคิดอยู่ในใจแล้ว เขานำความคิดไปทำในทันที ซ่งลุ่ยรีบก้าวเท้าขึ้นมา เขาเดินมาถึงหน้าต่างด้วยความรวดเร็ว มองดูผู้คนด้านล่างที่กำลังเดินสวนผ่านกันไปมา ตามหาเป้าหมายที่ตรงกับใจตัวเอง มองดูว่าจะลงมือกับเหยื่อคนไหนดี หลังจากมองมาสักพัก ซ่งลุ่ยเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีปัญหา เขาพบว่าคนในบริเวณนี้ไม่ใช่เป้าหมายที่ถูกใจ พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นคนแปลกหน้า ทั้งไม่เป็นธรรมและไม่เป็นศัตรู ไม่ว่าจะใช้ใครมาเป็นเหยื่อเขาก็รู้สึกไม่ดีทั้งนั้น หรือว่าการทดลองใช้ครั้งแรกของตัวเองจะต้องมาดับศูนย์ลงทั้งๆที่มันยังเริ่มเลยงั้นหรอ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่งลุ่ยก็รู้สึกหดหู่ในทันที ไม่มีความสุขเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด! แม้ว่าตัวเองจะมีความสามารถแต่กลับใช้มันไม่ได้ มันจะต่างอะไรกับการอ่านหนังสือล่ะ ถ้าตอนนั้นเขาไม่คิด และแค่พูดออกมาเล็กน้อยก็คงดี แต่ตอนนี้พอคิดแล้ว ก็ดันห้ามใจไม่ได้อีก ความคิดแบบนั้นมันเหมือนกับพวกวัชพืช ที่ค่อยๆขยายพันธุ์ และแพร่กระจายไปทั่วอย่างช้าๆ
ขณะที่ซ่งลุ่ยกำลังหมดอาลัยตายอยากอยู่นั้น สายตาที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาหันไปมอง คนที่เดินผ่านไปผ่านมาข้างนอก ทันในนั้นที่ด้านล่างของตึก ก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากที่ห่างไกล และมันเป็นเสียงที่ดังจนหนวกหู เนื่องจากด้านหลังหน้าต่างของห้องทำงานซ่งลุ่ยมีร้านแผงลอยเล็กๆตั้งอยู่ แม้จะบอกว่าเป็นร้านแผงลอยเล็กๆ แต่พ่อค้าแม่ค้าด้านล่างบางคนดัดแปลงรถของตัวเอง เพื่อใช้ในการเรียกลูกค้า ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขายังไม่มีใบขออนุญาตอะไรพวกนั้น แต่อาหารที่พวกเขาขายอร่อยมากจริงๆ ซ่งลุ่ยเคยลงไปกินด้านล่างมาหลายรอบแล้ว และเขายังรู้จักมักคุ้นกับเถ้าแก่หลายคนด้วย
เหมือนกับที่กล่าวไว้ ที่ใดมีร้านแผงลอยที่นั้นย่อมมีเทศกิจ แน่นอน ร้านค้าแผงลอยด้านหลังก็ไม่เป็นที่ยกเว้น เทศกิจมาตรวจสอบเป็นครั้งคราว เมื่อพูดถึงเรื่องตรวจสอบ ที่จริงแล้วมันคือการมาจับคนมากกว่า โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าตัวเล็กๆด้านล่างที่ไม่มีใบอนุญาตแบบนั้น ดังนั้นพวกเทศกิจเหล่านี้จึงยิ่งไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด! เมื่อเห็นคนก็เข้าจับกุมทันที! ทุบตีผู้คนตามใจชอบ! แต่ว่าไม่ใช่เทศกิจทุกคนจะเป็นเช่นนี้ มีเทศกิจบางคนมองเถ้าแก่บางรายด้วยความสงสาร จึงทำเป็นปิดหูปิดตาบ้าง ส่วนคนอื่นๆก็เตือนด้วยการพูด ร่วมมือร่วมแรงกัน ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว แต่พวกเทศกิจดีๆเหล่านี้มีจำนวนน้อยกว่า
ซ่งลุ่ยมองดูผู้คนที่กำลังคึกคัก เขาหาคำตอบในใจเจอแล้ว การที่จะสามารถดึงดูดความปั่นป่วนได้มากขนาดนั้นก็มีเพียงพวกเทศกิจเท่านั้นแหละที่ทำได้ การปั่นป่วนครั้งนี้เหมือนกับระลอกคลื่น มันค่อยๆลามจากต้นทาง ไปจนถึงสุดถนนสายนี้ ถนนทั้งสายกำลังมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ตอนนี้ทุกๆคนต่างกำลังรีบเก็บข้าวของของตัวเอง จากนั้นพวกเขาก็รีบหนีออกไปอย่างกับติดเกียร์สุนัข!
ที่จริงตั้งแต่แรกเริ่ม ซ่งลุ่ยก็เห็นเทศกิจแล้วล่ะ ตอนนั้นใจของเขาก็ร้อนแรงขึ้นมาทันที! เพราะตัวเองมีคนที่เลือกไว้ใช้ในการทดลองความสามารถเรียบร้อยแล้ว! ก็หาจากกลุ่มเทศกิจเหล่านั้นนั่นแหละ แต่จะเป็นใครกันแน่นั้น เขาคงต้องเสี่ยงโชคดูแล้วล่ะ!
ซ่งลุ่ยตัดสินใจได้แล้ว เขามองผู้คนอย่างเงียบๆ เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ แต่เขาเห็นเพียงผู้คนที่กำลังอลหม่า พวกเขาต่างเดินเข้ามาใกล้ที่ที่ซ่งลุ่ยอยู่เรื่อยๆ แต่ซ่งลุ่ยไม่ได้กำลังมองคนกลุ่มนั้น เขามองไปที่ด้านหลังของคนกลุ่มนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะมองไปทางไหน ภาพที่เขาเห็นเหมือนกับฝูงผึ้ง ที่กำลังแตกรัง!
ขณะที่ซ่งลุ่ยมองเหตุการณ์ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ คุณว่าพวกคุณคุยกันดีดีไม่ได้หรือไง จำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรงแบบนั้นด้วยหรอฮะ ยังดีที่ผลออกมาไม่เลวร้ายมาก แต่ถ้ามองจากเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่เพียงมันจะไม่ส่งผลดีอะไร มันยังทำให้ใจของประชาชนเกลียดชังพวกเขาด้วย!
ตอนเริ่มต้น ซ่งลุ่ยยังทนได้อยู่บ้าง เพราะเทศกิจพวกนั้นต่างเหมือนกับผู้คนที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาทั้งสองต่างเป็นคนที่พึ่งรู้จักกันโดยบังเอิญ ตัวเองนั้นไม่เคยพูดคุย และไม่เคยเกลียดชังพวกเขามาก่อน ขณะนั้นเองเขากคิดว่าถ้าตัวเองใช้ความสามารถของตัวเองแบบวู่วาม เกรงว่าตัวเองอาจจะทำเกินเลยไปบ้าง แต่ตอนนี้เมื่อเห็นการกระทำทั้งหมดของเทศกิจที่อยู่ด้านล่าง ใจที่คิดว่าจะอดกลั้นเอาไว้ก็ถูกโยนทิ้งไปอีกด้าน ในเมื่อตัวเองมีความสามารถนี้แล้ว งั้นก็ใช้ตัวเองลงโทษแทนสวรรค์ละกัน ยังไงก็ถือว่าทำเรื่องดีงาม ถือว่าเป็นการปลอบใจตัวเองด้วยก็แล้วกัน!
ซ่งลุ่ยมองดูภาพเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ และในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็กำลังรอโอกาส หาเวลาที่ดีที่สุด ให้พวกเทศกิจเหล่านั้นได้รู้ฤทธิ์ของความสามารถนี้ และในเวลาเดียวกันเขาก็ค้นหาผู้ที่จะเลือกใช้ความสามารถนี้ด้วย ตอนนี้เขาเห็นแค่ว่าเทศกิจแต่ละคนกำลังเป็นพวกชั่วร้าย รูปร่างสูงใหญ่ที่ดูแข็งแรงบึกบึน เมื่อเทียบกับพ่อค้าแม่ค้าตัวเล็กๆเหล่านั้นมันต่างเทียบกันไม่ได้เลยสักนิด ภาพตรงหน้าเหมือนกับรถถังที่กำลังพุ่งเข้าไปบดขยี้ ซ่งลุ่ยมองดู เมื่อเห็นแบบนั้นเขาก็ไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป เพราะเขาอยากให้เรื่องนี้จบลงโดยด่วน!
ซ่งลุ่ยมองดูเทศกิจด้านล่าง ตอนนี้เขากำลังมองหาคนที่มีตำแหน่งสูงที่สุดเพื่อนำมาใช้ทดลองความสามารถของตัวเอง ถ้าเสาหลักของพวกมันพังลง พวกนั้นจะต้องตกใจและสับสนแน่ จะต้องรีบวิ่งเข้ามาช่วยหัวหน้าของพวกมันแน่นอน และสุดท้ายเรื่องนี้ก็จะจบลง!
แต่คนที่อยู่บนตึกอย่างซ่งลุ่ยมองแล้วมองอีกก็ยังไม่เห็นหัวโจกของกลุ่มซะที บนตัวของหัวหน้าก็ไม่ได้เขียนคำว่าเขาเป็นหัวหน้าเอาไว้ด้วยซิ ดังนั้นการไร้เป้าหมายเช่นนี้จึงสร้างความลำบากให้กับซ่งลุ่ย! ในขณะที่ซ่งลุ่ยไม่อาจแสดงฝีมือออกมาได้ จริงๆแล้ว มันทำให้เขาค้นพบกฎข้อหนึ่ง!
แม้จะพูดว่ากลุ่มคนด้านหลังนั้นยืนอยู่ด้วยกัน แต่พวกนั้นกำลังยืนเป็นรูปครึ่งวงกลม และล้อมรอบคนๆหนึ่งไว้ตรงกลาง และทั้งหมดยังปกป้องคนๆนั้น ในขณะเดียวกัน การห้อมล้อมก็เป็นการปกป้องคนๆนั้นที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของพวกเขา
กฎข้อนี้ทำให้ดวงตาของซ่งลุ่ยเป็นประกาย! รู้ว่าตัวเองหาคนที่ต้องการหาพบแล้ว! ตอนนี้เขาก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาทันที เผยสีหน้าที่กระตือรือร้น แต่ ทันใดนั้นเขาก็กลับมาคิดอีกครั้ง แล้วจะทำยังไงให้เขามาสนใจตัวเองได้ล่ะ ความสามารถนั้นต้องการให้เขาและตัวเองมองตากัน ต้องเริ่มทำกับเขาก่อน ฤทธิ์ของมันถึงจะส่งผลกับเขาได้ ถ้าเขามองไม่เห็นตัวเอง แล้วแบบนั้นฉันจะทำยังไงล่ะ! คิดไม่ถึงความสามารถของตัวเองนั้นยังไม่เริ่มก็จะจบเห่แล้วงั้นหรอ
เนื่องจากเขายังไปไม่ถึงเงื่อนไขแรกที่เหมาะในการใช้ความสามรถ ดังนั้นซ่งลุ่ยทำได้เพียงแสดงสีหน้าที่เศร้าสร้อยและมองไปยังผู้คนที่กำลังโหวกเหวกโวยวายอยู่ด้านล่าง ตอนนี้มันกลับทำให้เขารู้สึกเบื่อแทน ขณะที่เขากำลังหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้องทำงาน ทันใดนั้นเองเขาก็พบว่ามีบางสิ่งทำให้ดวงตาของตัวเองระคายเคือง! จนทำให้ดวงตาของตัวเองแทบลืมไม่ขึ้น! เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเล็กน้อย จากนั้นเขาหันไปมองที่แหล่งกำเนิดแสงโดยไม่รู้ตัว ที่แท้มันก็คือแสงสะท้อนที่เกิดจากแสงแดดกระทบกับเศษแก้วบนพื้นด้านล่างนั้นเอง ลำแสงของดวงอาทิตย์หักเหมากระทบที่ดวงตาของตัวเอง ดังนั้นมันถึงได้ดึงดูดความสนใจจากตัวเองได้
เมื่อซ่งลุ่ยเห็น ที่แท้มันก็เป็นเศษแก้วนี่เองที่ทำจนตัวเองเกือบลืมตาไม่ขึ้น ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะในใจ ตัวเองกับเศษแก้วมีอะไรที่เทียบกันได้นะ คงเป็นเพราะฉันโกรธจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เฮ้ย คิดไม่ถึงแสงจากเศษแก้วเล็กๆแบบนี้จะดึงดูดตัวเองได้ และตัวเองยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจของหัวหน้าคนนั้นได้ มันช่างน่าขันจริงๆ! เมื่อคิดถึงจุดนี้ซ่งลุ่ยก็หัวเราะออกมา หมุนตัวแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็หยุดเดิน ท่าทางเหมือนเขาคิดอะไรออก ตอนนี้หัวสมองที่ชาญฉลาดของเขา คิดหาวิธีดีๆออกแล้ว!
เมื่อคิดได้ดังนั้นซ่งลุ่ยไม่รอช้าเปิดประตูห้องแล้ววิ่งไปที่ห้องทำงานของฮงเหมยอย่างรีบร้อนทันที