ตอนที่ 33 อยากรู้อยากเห็น
ซ่งลุ่ยตัดสิดอยู่ภายในใจของเขาแล้ววิ่งสองสามก้าวไปตรงหน้าของฮงเหมย ก่อนจะเหยียดแขนออกไปขวางฮงเหมยไว้!ไม่รอให้ฮงเหมยมีปฏิกิริยาตอบกลับมา ริมฝีปากของทั้งคู่ก็ประกบเข้าด้วยกันแล้ว!
แต่ว่าซ่งลุ่ยที่จูบก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ! เนื่องจากลิ้นในปากมีเพียงแค่ลิ้นของเขาที่ขยับแต่ลิ้นของฮงเหมยกลับไม่มีการตอบสนองอะไรเลย มีเพียงลิ้นของขาเองที่ตวัดไปตวัดมา ลิ้นของฮงเหมยตอบกลับเพียงแค่สองสามทีแบบขอไปที ซ่งลุ่ยจ้องมองฮงเหมยในขณะจูบ พบว่าตาของฮงเหมยเป็นเหมือนเมื่อก่อนและไม่มีแววตาสั่นไหว! ซ่งุล่ยคิดกับตัวเองว่าเธอมีภูมิคุ้มกันต่อเล่ห์เหลี่ยมของเขาแล้วใช่ไหม? เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน! ในเวลานี้ซ่งลุ่ยก็มีความคิดดีๆ!
ซ่งลุ่ยคิดในใจ ในเมื่อเขาจูบเธอด้วยวิธีแบบนี้แล้ว งั้นเขาควรจูบไปด้วยใช้มือไปด้วย แบบที่เขาไม่เคยทำมาก่อน! นางก็ไม่ควรจะเฉยชา ในขณะที่ซ่งลุ่ยทำแบบนั้นไปด้วย สังเกตอารมณ์ของฮงเหมยไปด้วย ก็เห็นเพียงแต่ฮงเหมยที่เบิกตากว้างแล้วผลักเขาออกอย่างไม่รู้ตัว เพราะว่าเธอเองไม่ได้เตรียมตัวมาสำหรับในสถานการณ์แบบนี้ เธอก็เลยผลักเขาออก!
ในเวลานี้ซ่งลุ่ยเก้อเขินจนวางตัวไม่ถูก ไม่รู้จะวางสายตาไปที่ไหน ในขณะเดียวกันในใจก็คิดว่าแบบนี้ฮงเหมยหมายความว่าอย่างไร เธอไม่อยากทำแบบนี้กับเขาแล้ว? ไม่จริงน่า ตามนิสัยขององเหมยแล้ว ถ้าหากเธอไม่อยากทำเรื่องอย่างว่ากับ ตอนที่จูบก่อนหน้านี้ เธอก็ควรจะผลักเขาออกแล้วสิ ไม่ใช่เพิ่งจะมาผลักเขาออกตอนนี้ ทำให้บรรยากาศมันน่าอึดอัดไปเลย! หรือว่าคำพูดของเขาทำให้เธอเข้าใจผิดหรือว่ามีเรื่องอะไร?
ในเวลานี้ฮงเหมยก็ถูกการกระทำของตัวเองจนดูโง่เขลาไปเลย เพราะว่าพฤติกรรมการป้องกันตัวเองจากจิตใต้สำนึกของเธอ ใครจะไปคิดว่าซ่งลุ่ยจะทำแบบนั้นหล่ะ? ไม่ให้ฉันได้คุ้นชินกับมันเลยก็เลยผลักเขาออกไปแบบนั้น สถานการณ์ตอนนี้ เธอเองจะแก้สถานการณ์อย่างไรก็ไม่ช่วยอะไรเลย งั้นก็ปล่อยเลยตามเลยไปละกันเถอะ!
ฮงเหมยตัดสินใจภายในใจและพยักหน้าอย่างลับๆแสร้งทำเป็นโกรธมากและพูดกับซ่งลุ่ยว่า
"ฉันพูดทุกอย่างไปหมดแล้ว ประธานจางกำลังเรียกหาฉัน นายไม่ฟังอะไรเลย ตอนนี้มันถึงเวลาพอดีและฉันก็ดูเวลาแล้ว ฉันกับประธานจางมีนัดหมายเวลากันเอาไว้ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ดังนั้นฉันจะต้องรีบไปแล้ว “พูดจบเธอก็เอียงตัวผ่านซ่งลุ่ยแล้งเดินออกไปที่ประตู!
ฮงเหมยเดินมาที่ประตู มือของเธอเพิ่งแตะที่จับประตู ทำท่าเหมือนนึกบางอย่างออกมาอย่างฉับพลัน เธอหันหลังกลับมาแล้ววิ่งไปกอดซ่งลุ่ยจากด้านหลัง ในขณะเดียวกันหัวของเธอวางไว้บนไหล่ของซ่งลุ่ย ปากก็อยู่ใกล้กลับหูของซ่งลุ่ย เธอจึงกระซิบเบาๆไปที่หูของซ่งลุ่ย
“ฉันมีธุระจริงๆ ครั้งหน้าพวกเราค่อยมาสานต่อกันดีไหม? ฉันต้องไปแล้ว วางใจได้เลย ฉันจะเป็นของนายแค่คนเดียว!” พูดจบเธอก็จูบเบาๆไปที่หูของซ่งลุ่ยและไม่รอให้ซ่งลุ่ยตอบกลับ เธอก็หมุนตัวแล้วผลักประตูห้องเดินออกไป
ซ่งลุ่ยสับสนมากในเวลานี้ ฮงเหมยมากอดเขา แล้วยังพูดอะไรแบบนั้นในหูของเขาอีก จากนั้นก็หมุนตัวแล้วจากไป นี่คิดว่าเป็นเหมือนการตบหัวแล้วลูบหลังหรือเปล่า? เขาคิดเรื่องนี้ตั้งนานก็ยังคงหาสาเหตุไม่ได้อยู่ดี ซ่งลุ่ยส่ายหัวไปมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เขาต้องพักเรื่องฮงเหมยไว้ก่อนแล้วจดจ่อกับเรื่องที่ประธานจางฝากมาบอกเขา อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า
เมื่อซ่งลุ่ยคิดถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจยาวๆออกมา มองไปที่นาฬิกาแขวนแล้วจัดสรรเวลาอยู่ภายในใจ พบว่าเวลายังพอมีเหลืออยู่ จากนั้นเขาจึงวางแผนตารางเวลาช่วงบ่ายอย่างรอบคอบ ตามแผนของซ่งลุ่ยแล้วถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเขาควรไปเก็บค่าเช่าในวันพรุ่งนี้ แต่ก่อนที่ซ่งลุ่ยจะไปเก็บค่าเช่าพรุ่งนี้ เขาควรจะไปสำรวจอย่างละเอียดก่อน หลังจากนั้นก็เตรียมตัวที่จะไปดูด้วยตนเอง ยังไงวันนี้ช่วงบ่ายก็ไม่มีเรื่องอะไรอยู่แล้ว จะไปวันนี้ก็คือไปวันนี้แหละ!
ในเวลานี้ซ่งลุ่ยลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อแต่งตัว แต่เมื่อตอนที่เขากำลังเดินไปที่ห้องน้ำ เขาก็นึกไปถึงการแจ้งเตือนของระบบ เขายังต้องเอาความคิดเห็นไปบอกประธานจางเพื่อให้เธอให้คำแนะนำกับเขาสักหน่อยไหม เพื่อให้ประธานจางเห็นว่าเขาจริงจังกับเรื่องนี้มากและยังสามารถแสดงให้เห็นว่าเขาไม่บกพร่องต่อหน้าที่ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว ซ่งลุ่ยที่กำลังจะเดินไปที่ประตูห้องน้ำกลับหวนกลับออกมาอีกครั้ง และตรงไปทางห้องทำงานของประธานจาง เตรียมที่จะรายงานความคิดของเขาให้ประธานจางได้ฟัง หลังจากนั้นไม่นาน ซ่งลุ่ยก็เดินมาถึงประตูห้องทำงานของประธาน เตรียมที่จะผลักประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงอึกทึกดังลอดออกมาจากในห้องเหมือนประธานจางกำลังโต้เถียงกับใครสักคนอยู่ เมื่อซ่งลุ่ยได้ยินเสียงของสถานการณ์นี้มาจากข้างในห้อง เปลวเพลิงของการนินทาและความอยากรู้ก็ลุกโชนขึ้นในจิตใจของเขาทันที นิสัยสอดรู้สอดเห็นไม่ได้มีไว้สำหรับผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้ชายก็มีด้วย!
ซ่งลุ่ยมองไปรอบ ๆ และพบว่ามีคนไม่กี่คนในทางเดินในเวลานี้ ซ่งลุ่ยดึงสายตากลับมาและคิดในใจว่า ตอนนี้อยากรู้ก็อยากรู้ ก็ถือซะว่าเขาเข้าไปรอข้างในแล้วกัน ยิ่งไปกว่านั้นการขัดจังหวะแบบวู่วามกับประธานจางดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย หรือว่าเขาจะยืนรอตรงนี้แล้วแอบฟังดีกว่ากันนะ ถ้ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเขาเองก็ยังช่วยเหลืออะไรได้บ้าง! อีกอย่างหนึ่ง เขาเองก็ยังธุระกับประธานจางด้วย เอาว่ะเป็นไงเป็นไง รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ให้ยาตรงกับโรคก็คือการรักษาที่ดีที่สุด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่งลุ่ยก็เอนตัวเอาหูไปแนบกับประตูห้องทำงานของประธานจางอย่างเป็นธรรมชาติ และตั้งใจฟังอย่างละเอียดว่าเสียงที่ดังเล็ดลอดออกมาจากในห้องสรุปแล้วมันคือเรื่องอะไร? และมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แต่ทันทีที่หูของซ่งลุ่ยแนบติดกับประตู เขาก็ตบหัวตัวเอง เขานี่จะโง่อะไรขนาดนี้ได้! เขามีสายตาที่มองทะลุได้! แค่ยืนอยู่นอกประตูและเปิดระบบมองทะลุ แล้วมองไปทางด้านในก็ได้แล้ว เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่งลุ่ยที่ยืนอยู่ที่หน้าห้องของทำงานของประธานจางก็มองไปรอบๆและเมื่อพบว่าไม่มีคน จึงเปิดระบบมองทะลุ แล้วมองเข้าไปในห้อง กลับพบว่าประธานจางกำลังว่ากล่าวฮงเหมยอยู่ ด้วยใบหน้าที่จริงจัง เธอยื่นมือออกไปชี้หน้าฮงเหมย แต่ฮงเหมยก็ไม่ตอบโต้กลับเธอเพียงแค่ก้มหัวลงและไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เมื่อซ่งลุ่ยเห็นสถานการณ์ตรงหน้านี้แล้ว ในใจก็มั่นใจขึ้นและเขาก็แน่ใจว่าฮงเหมยไม่ได้โกหกเขา เรื่องที่ประธานจางเรียกหาเธอ แต่เป็นเพราะว่าฮงเหมยผิดเวลาที่นัดหมายกับประธานจางเอาไว้ เธอก็เลยถูกตำหนิ ไม่อย่างนั้นก็คือฮงเหมยนำเรื่องที่ประธานจางฝากมาบอกไม่ดีก็เลยโดนตำหนิ
ในเวลานี้ซ่งลุ่ยก็เกิดความลังเลขึ้นมา เขาควรจะเข้าไปดูหน่อยไหม? ควรจะเข้าไปอธิบายสักหน่อย แต่ว่าหลังจากที่คิดไปคิดมาแล้ว ตัวเขาเองก็อดปฏิเสธความคิดของตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรฮงเหมยก็คือคนที่อยู่ข้างกายของประธานจางมาก่อน เพียงแค่อธิบายก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้นี่!