ตอนที่ 25 แผนกโลจิสติกส์
เพราะว่าโต๊ะทำงานของซ่งลุ่ยก็ยังปกติ เก้าอี้ที่อยู่หลังโต๊ะก็เหมือนกัน เพียงแต่เห็นประธานจางนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เขาเคยนั่ง เธอสวมชุดทำงาน ท่อนล่างสวมกระโปรงทรงกระบอก ปากกาและนั่งบนเก้าอี้ แต่เขาสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้กระโปรงของเธอจากด้านล่างสุดของเก้าอี้ ซ่งลุ่ยจึงหยุดอยู่ที่มุมมองที่เห็นชัดเจนที่สุดของการมองทะลุของเขา
ดูไปได้สักพัก ซ่งลุ่ยก็ดึงสติกลับมาเพราะว่าประธานจางที่อยู่ในห้องทำงานของเขากำลังรอการมาของเขาอยู่ แล้วตัวเขายังมัวมาทำอะไรอยู่อีก? มองกำแพง? ไม่ได้ ไม่ได้ ต้องรีบเข้าไป เมื่อซ่งลุ่ยคิดได้ถึงตรงนี้ก็รีบเดินไปที่ประตูห้องทำงานของเขา กำลังจะผลักประตูห้องเข้าไป เขากลับยั้งมือและแอบไตร่ตรองในใจของเขาอย่างลับๆ
ตอนนี้ถ้าเขาจะบุ่มบ่ามเข้าไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง แน่นอนว่าคงพูดอะไรไม่ออกแน่นอน เมื่อมองไปที่ประธานจางก็ดูเหมือนเธอรอเขามาเป็นเวลานานแล้ว ในใจจะต้องเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองแน่นอน ตอนนี้ถ้าหากเขาเข้าห้องไป ประธานจางจะต้องเอาความขุ่นเคืองนั่นมาลงที่เข้าโครมใหญ่แน่นอน ดังนั้นเขาจะต้องหาข้อแก้ตัวที่ดีพอ เอ๊ะ จริงสิ! ซ่งลุ่ยจำได้ว่าเขาเพิ่งเห็นตู้กดน้ำที่มุมห้องทำงานของเขาควรจะเปลี่ยน เขาจึงต้องแบกถังน้ำเข้าไป! เมื่อพูดแล้วก็ทำเลย! เพราะว่าซ่งลุ่ยไม่ได้มีเวลาในการคิดนาน ! เมื่อคิดได้เขาจึงรีบวิ่งไปที่แผนกโลจิสติกส์
หลังจากวิ่งไปซักพักซ่งลุ่ยก็รู้สึกว่าตัวเองนั่นโง่เง่า เนื่องจากแผนกโลจิสติกส์อยู่ไกลจากห้องทำงานของเขา แผนกโลจิสติกส์เป็นแผนกที่ก่อตั้งขึ้นอย่างอิสระ แตกต่างจากแผนกอื่น ๆ ของเมืองเหวินฮว่า แผนกโลจิสติกส์รับผิดชอบงานเบ็ดเตล็ด เรื่องเล็กๆน้อยๆ วัสดุอะไรก็ตามที่ต้องการรวมไปถึงตำราเรียน? จัดซื้อสิ่งของต่างๆ อะไรเสียหรือขาดเหลืออะไร เมื่อแจ้งแผนกโลจิสติกส์ แล้วล่ะก็แผนกโลจิสติกส์ก็สามารถจัดหาให้ได้
แผนกโลจิสติกส์เป็นเหมือนพี่เลี้ยง และกลายเป็นแผนกที่จัดหาสิ่งต่างๆได้สมบูรณ์แบบที่สุดในเมืองเหวินฮว่า แต่เป็นเพราะว่าแผนกนี้เป็นแผนกที่มีงานจิปาถะเล็กๆน้อยๆ เยอะ เนื่องจากความสะดวกสบาย พวกเขาจึงสามารถมาหาสิ่งของที่ต้องการได้ที่แผนกนี้ เป็นเพราะแบบนี้เลยทำให้ดีขึ้นสะดวกสบายขึ้นในการตามหาสิ่งของที่ต้องการ ดังนั้นคลังที่ใช้เก็บสิ่งของต่างๆก็ต้องมีขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน แผนกนี้จึงจำเป็นที่จะต้องอยู่แบบโดดเดี่ยวที่ด้านข้าง การที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าพวกเขาจะได้มีพื้นที่สำหรับการขยายมากขึ้น
ว่ากันว่าแผนกโลจิสติกส์นี้อยู่ไกล แต่ความจริงแล้วก็ไม่ไกล แต่ว่ามันคือบททดสอบสำหรับคนที่นั่งทำงานนานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับซ่งลุ่ยซึ่งในตอนนี้มันเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย เขาเพิ่งได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นในห้องทำงานของฮงเหมย และประสบกับความทรมานที่ไม่มีเสียงของประธานจางในห้องทำงานของเขาอีก ตอนนี้มันเป็นการเคลื่อนไหวที่ท้าทายความสามารถขีดสุด ในเช้าวันนี้ของซ่งลุ่ยช่างมีความหมายจริงๆ!
แผนกโลจิสติกส์ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นแผนกหนึ่ง แต่ก็กล่าวได้ว่าเสมือนหนึ่งเป็นบริษัทเล็กๆ มียามรักษาความปลอดภัย, ยาม, เจ้านายของตัวเองและมีไปทำธุระแทนคนอื่น วันนี้ แผนกโลจิสติกส์เป็นเวรของเหลาหลี่ เขากำลังนอนอยู่ในห้องทำงาน มองไปที่ประตูใหญ่อย่างน่าเบื่อ และด้ยินมาว่ามีชายหนุ่มชื่อซ่งลุ่ยมาทำงานตำแหน่งผู้ช่วย อีกทั้งยังเป็นผู้ช่วยของประธานจาง ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กหนุ่มนั้นไม่เลวเลยทีเดียว
ซ่งลุ่ยวิ่งไปยังเขตพื้นที่ของแผนกโลจิสติกส์อย่างกระหืดกระหอบ แต่ว่าเขาก็ยังวิ่งไปถึงเพียงแค่ส่วนในของเขตแผนกโลจิสติกส์ ยังคงวิ่งไปไม่ถึงประตูแผนก ดูไปดูมาแล้วยังเหลืออีกไกลกว่าเขาจะวิ่งไปถึงประตูแผนก เมื่อเขาหันไปมองทางด้านหลังที่วิ่งมาก็กัดฟันแล้ววิ่งไปข้างหน้าต่อไป!
เหลาหลี่ในแผนกโลจิสติกส์เห็นใครบางคนวิ่งเข้ามา ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยในใจ ถ้าหากมีคนต้องการให้ไปส่งน้ำหรือเครื่องจักรขัดข้องที่ไหน เพียงแค่โทรศัพท์มาก็พอแล้ว เขาเป็นใคร แถมยังวิ่งมาที่แผนกของเขาอีก ช่างโง่เสียจริง!
หลังจากนั้นไม่นาน เหลาหลี่ก็เห็นภาพชัดเจนขึ้น เขาขยี้ตาและมองไปที่ชายคนนั้นอย่างละเอียด เขาหยิบรูปภาพข้างๆขึ้นมาแล้วเปรียบเทียบกับคนที่กำลังวิ่งมาอย่างละเอียด ทันใดนั้นเขาก็ตบต้นขาของเขาอย่างรวดเร็ว เขาเพิ่งจะนึกถึงคนคนนี้ในใจไปเอง นี่ใม่ใช่ผู้ช่วยซ่งคนใหม่เหรอ! อะไรดลใจให้เขาวิ่งมาที่นี่? คิดไม่ออก คิดไม่ออกเลย ไม่แปลกใจเลยที่สามารถไปเป็นผู้ช่วยได้ เขาเองก็เป็นเพียงแค่คนที่เฝ้าประตูของแผนกโลจิสติกส์
ในที่สุดซ่งลุ่ยก็วิ่งไปที่ประตูของแผนกโลจิสติกส์ เขาหอบหายใจแฮกๆก่อน หลังจากนั้นก็มองไปที่ผู้ชายที่อยู่หลังประตูที่กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน ในใจก็อดที่จะประหลาดใจได้ เขาเหมือนเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน!
ในเวลานี้ ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออกและพูดอย่างรีบร้อนกับซ่งลุ่ย
“ผู้ช่วยซ่ง ฉันเป็นคนเฝ้าประตูของแผนก เรียกฉันว่าเหลาหลี่ก็พอแล้ว!” พูดจบเหลาหลี่ก็ยิ้มออกมาอย่างไม่มีเล่ห์เหลี่ยม
ซ่งุล่ยรู้สึกพูดอะไรไม่ออกเลย จากนั้นเขาก็ตรงไปที่หัวข้อหลักและถามเหลาหลี่ว่า “เหลาหลี่ ขอถามหน่อยว่าจะที่ไหนสามารถเปลี่ยนถังน้ำได้? ในห้องทำงานของฉันไม่มีน้ำแล้ว ฉันอยากจะเอาถังไปเปลี่ยนสักหน่อย”
หลังจากที่เหลาหลี่ได้ยิน สีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นงงงวยมากและถามซ่งลุ่ยด้วยความสงสัยว่า “ผู้ช่วยซ่ง คุณแค่โทรศัพท์จากในสำนักงานของคุณมา แล้วเราจะส่งน้ำไปให้คุณ ทำไมต้องลำบากมาที่นี่เองด้วย”
ซ่งลุ่ยได้ยินเหลาหลี่เรียกชื่อของเขา เขาไม่อยากจะเชื่อในตอนแรก แต่จากนั้นเขาก็คิดออกทันทีที่ฮงเหมยพูดกับเขาในห้องทำงาน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบุคลากรใหม่ในแผนกที่สำคัญ รายชื่อบุคลากรที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่จะมีรูปถ่ายแนบมาด้วยและจะส่งให้ทั้งคนบริษัทรับรู้กันโดยทั่ว
เมื่อซ่งลุ่ยคิดถึงตรงนี้ ก็ดูเหมือนว่าข้อสงสัยของเขาก็ชัดเจน แต่เมื่อเขาได้ยินเหลาหลี่ถามตัวเขาเอง ความเขินอายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แต่ในไม่ช้ามันก็หายไปจนเหมือนเก่า ซ่งลุ่ยรีบตอบคำถามของเหลาหลี่ในนาทีต่อมา
“คืองี้นะ ฉันนั่งอยู่ในออฟฟิศนานก็เลยอยากจะออกมาขยับแข้งขยับขาบ้าง” พูดจบเขาก็ชูแขนขึ้นและโบกไปมาสองสามครั้ง
เหลาหลี่ได้ยินซ่งลุ่ยพูดแบบนั้น ก็อดใจไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้ซ่งลุ่ย ในเวลาเดียวกันปากของเขาก็พูดว่า
“ดูสิ สุดท้ายแล้วคนที่จะเป็นผู้ช่วยได้มันก็ต้องมีความสามารถเช่นนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นผู้ช่วยได้อย่างไรกัน? แต่ฉันกลับเป็นได้แค่คือคนเฝ้าประตูแผนก นี่แหละความจริง คุณดูสิ! ”
ซ่งลุ่ยไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาก่อน ทันใดนั้นเขาก็โบกมือให้เหลาหลี่และในเวลาเดียวกันเขาก็พูดกับเหลาหลี่อย่างอายๆว่า “ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้น ฉันเพียงแค่โชคดี”
ทันทีที่พูดออกไปหลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีเขาก็ถามเหลาหลี่ว่า “เหลาหลี่นายบอกฉันได้ไหมว่าน้ำอยู่ที่ไหนฉันจะเอาไปเอง!”
เหลาหลี่ที่ได้ยินซ่งลุ่ยพูดแบบนั้น ในเวลานั้นเหลาหลี่ก็ไม่ยินยอมและพูดกับซ่งลุ่ยว่า
“ทุกอย่างอยู่ที่นี่จะให้คุณเอาน้ำกลับไปด้วยตัวเองได้ยังไงกัน? แบบนั้นมันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่บกพร่องของพวกเราจริงๆ” จากนั้นเขาก็รีบเรียกคนรอบๆ ให้เข้าไปที่โกดังเพื่อขนย้ายน้ำแล้วเอาไปส่งที่ห้องทำงานของซ่งลุ่ย