px

เรื่อง : ดวงตาเทพเหนือโลก
ตอนที่ 24 รอจนทันเวลา


ตอนที่ 24 รอจนทันเวลา

 

ผ่านไปพักใหญ่ๆ ซ่งลุ่ยก็คิดในใจว่าถ้าเป็นแบบนี้ไม่ได้การแล้ว ให้ทำต่อก็ไม่ได้เพราะว่าจะทำให้เสียเวลา! ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เพิ่งจะเข้างาน ยากที่จะหลีกเลี่ยงที่อีกสักพักประธานจางจะเข้ามา หรือว่า จะให้ฮงเหมยไปทำอะไรอีกครั้งดีที่จะไม่ทำให้เขาเสียเวลา

ทันทีที่ซ่งลุ่ยตัดสินใจได้ เขาก็ยื่นมือออกไปดึงฮงเหมยออกจากอ้อมอกของเขาและพูดกับเธอว่า “หยุด หยุดก่อน ฉันมีบางอย่างที่อยากจะขอคำแนะนำจากเธอ”

หลังจากฮงเหมยได้ยิน ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจและเธอไม่เข้าใจว่าซ่งลุ่ยมีเรื่องอะไรถึงมาหาเธอ ในใจก็เกิดความสงสัย ด้วยเหตุนี้เธฮจึงถามขึ้นว่า

“นายพูดออกมาเถอะ! ฉันจะฟังว่าเป็นเรื่องอะไร?ายพูดออกมาเถอะนใจก็เกิดความสัย ากจะข้อคำแนะนำจากเธอออ้อมอกของเขาและพูดกับเธอว่า ไรอีกครั้งดีที่จะไม่ทำให้เขาเสียเวลา” พูดจบเธอก็ยืนขึ้นเดินไปที่เก้าอี้ด้านหลังโต๊ะทำงานแล้วนั่งลงไป พลางจ้องมองไปที่ซ่งลุ่ยอย่างใกล้ชิดและไม่ขยับไปไหน

ซ่งลุ่ยมองฮงเหมยบนเก้าอี้ทำงานและรู้สึกว่าเขานั้นทำตัวไม่เหมาะสมเลย เขาจึงจัดระเบียบเสื้อผ้าของเขาและนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามแล้วพูดต่อ

“ฉันต้องการทราบข้อมูลของบุคคลเหล่านั้นก่อนจะไปที่นั่น ให้ตัวเองรู้ข้อมูลพื้นฐานของคนเหล่านั้นว่าเป็นอย่างไร?” พูดจบ เขาก็มองไปที่ฮงเหมยและหวังว่าเธอจะช่วยให้คำแนะนำเขาได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮงเหมยก็ค่อยๆหลับตาลงและคิดอย่างรอบคอบว่าตอนนี้ซ่งลุ่ยพูดอะไรออกมาเธอขมวดคิ้วเล็กน้อยและพบปัญหา! เธอพูดกับซ่งลุ่ยอย่างจริงจังว่า

“แผนการของนายที่บอกฉันมา แค่คิดฉันก็เจอช่องโหว่แล้ว ตอนนี้ฉันจะพูดให้นายฟังสักหน่อย แล้วนายก็คิดเอาว่าใช้ได้มั้ย”

ซ่งลุ่ยที่ได้ยินว่าฮงเหมยกำลังจะเริ่มต้นอธิบายเรื่องนี้กับเขา เขาก็ยืดตัวขึ้นตรงและตั้งใจฟังฮงเหมยอย่างจริงจัง ระหว่างที่ฮงเหมยอธิบายให้ซ่งลุ่ยฟัง มุมมองของตัวเขาเองก็ดีขึ้น แต่ว่านะ การจะใช้ความคิดก่อนหน้านี้ให้บรรลุผลสำเร็จนั้นไม่น่าจะสามารถทำได้ในความเป็นจริง เพราะว่างานผู้ช่วยค่อนข้างสำคัญ เมื่อมีผู้ช่วยคนใหม่เกิดขึ้น บริษัทจะประกาศให้ทราบตั้งแต่คนระดับสูงไปยังคนระดับล่าง ดังนั้นไม่ว่าตัวเขาเองจะไม่รู้จักใคร ทั้งบริษัทก็จะรู้จักเขาหมด นี่นับว่าเป็นช่องโหว่ใหญ่เลยและสามารถพูดได้ว่านี่เป็นข้อเสียที่ยังไม่ได้รับการวิเคราะห์อีกด้วย

อย่างที่สองคือปัญหาของการแทรกซึมเข้าไป ในเมื่อนายอยากจะแทรกซึมเข้าไปนายก็ต้องมีบทบาท ถ้าจะแสดงบทบาทเป็นคนที่สนใจวัตถุโบราณ ถ้างั้นนายก็ต้องมีความชอบเป็นการดูของวัตถุโบราณ แน่นอนหล่ะยังไงก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดแคลนผู้ลงทุน ที่อยากพาตัวเองเข้ามาที่นี่เพื่อเสี่ยงดวงและพึ่งโชคชะตา ซึ่งจะตัดช่องโหว่ออกไป  และช่องทางเหล่านี้มีปัญหาอยู่น้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นคนเหล่านี้ก็ร่ำรวยมาก พวกเขาทั้งหมดนั้นจะมีความต้องการที่รุนแรงและน่ากลัว

หลังจากที่ซ่งลุ่ยได้ฟังแล้ว ก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ทันใดดวงตาของเขาก็ฉายแววสดใสออกมา! เขาหันหน้าไปทางฮงเหมย พยักหน้าแล้วพูดเบา ๆ ว่า

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว” ใบหน้าแสดงออกถึงการเข้าใจข้อมูลและนึกออกอย่างฉับพลัน ฮงเหมยที่เห็นท่าทางแบบนั้นของซ่งลุ่ย ในใจก็รู้สึกว่าสิ่งที่พูดไปมีประโยชน์ ในเวลานั้นเธอก็รู้สึกดีใจจนตัวลอย เหมือนชี้แนะให้เห็นรสชาติของแม่น้ำและภูเขา เธอพูดต่อกับซ่งลุ่ย

“ที่ฉันพูดไปมันต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรฉันกับประธานจางก็ทำงานด้วยกันมานานแล้ว ยังไงก็ต้องมีวิสัยทัศน์แน่นอน ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉันที่จะพูดเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ และมันไม่ใช่เรื่องท้าทายเลย! เฮ้อ นายนี่ไม่มีใครให้พึ่งพาจนโดดเดี่ยวเดียวดายสินะ” หลังจากพูดจบแล้วเธอก็หันหน้าไปมองออกไปนอกหน้าต่างและไม่สนใจซ่งลุ่ย

ซ่งลุ่ยดูท่าทางของฮงเหมยในใจของเขาก็คิดว่าเธอนั้นดูถูกดูแคลนเหยียดหยามเขามากๆและยังหัวเราะเยาะเย้ยอีกต่างหาก ในตอนแรก เขาทำได้เพียงแค่พูดอย่างสุภาพแค่นั้นและไม่ได้คิดว่าฮงเหมยจะคิดว่าเป็นเรื่องจริง เขาไม่รู้ว่าฮงเหมยไปเอาพลังความคิดนี้มาจากไหนด้วย บีบบังคับเขาให้เชื่อทุกคำพูด เหมือนอย่างคำกล่าวโบราณ เธอพูดว่าอย่างนั้นแล้วคิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆเหรอไง

ซ่งลุ่ยมองดูเวลาและรู้สึกว่าผ่านมาพอสมควร เขาควรจะไปได้แล้ว หลังจากที่คิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ไม่มีอะไรที่อยากรู้อีก ที่ควรถามก็ถามหมดแล้ว เขาจึงลุกขึ้นยืนและจัดความเรียบร้อยเสื้อผ้าของตัวเอง เตรียมพร้อมที่จะกล่าวคำลากับฮงเหมยและไปดำเนินแผนการของตัวเอง!

เมื่อฮงเหมยมองซ่งลุ่ยที่กำลังจะจากไป ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เธอจึงพูดกับซ่งลุ่ยว่า “นายจะจากไปแบบนี้เหรอ?”  น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหงา ซ่งลุ่ยซึ่งกำลังจะจากไปก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าฮงเหมยพูดแบบนี้และเขาก็ใจร้อนเกินไป อย่างไรก็ตามเขาควรจะเล่นกับฮงเหมยสักพัก แต่ว่าเมื่อคิดถึงเขากับฮงเหมยแล้วควรมีขอบเขตที่กำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน เขาก็เลยยืนยันคำตอบของเขาและพูดด้วยใบหน้าที่แสดงความขอโทษกับฮงเหมย

“ฉันขอโทษจริงๆนะฮงเหมย เรื่องที่ฉันต้องไปจัดการให้ประธานจางเป็นเรื่องเร่งด่วน หลังจากนี้พวกเรามาหาเวลาว่างจัดการเรื่องของเราต่อเถอะ ดีไหม!”

หลังจากฮงเหมยได้ยินแล้ว ก็มองดูท่าทางของซ่งลุ่ยที่ดูตั้งใจแน่วแน่ก็ไม่อยากจะถามอะไรอีก แต่ว่าฮงเหมยกลับนิ่งงันไปเหมือนกำลังคิดอะไรบ้างอย่างแบบฉับพลัน เธอจึงพูดกับซ่งลุ่ยว่า “ตอนนายมานายเห็นประธานจางหรือยัง?”

ซ่งลุ่ยเตรียมที่จะหันหลังและเดินจากไป พอได้ยินชื่อของประธานจางก็ถามฮงเหมยอย่างรวดเร็ว “ ประธานจาง? ไม่เห็นนะ ตอนที่ฉันมาเข้างานพอมาถึงห้องทำงานฉันก็โทรศัพท์มาหาเธอเลย หลังจากนั้นเธอก็ให้ฉันมาหาแล้วฉันก็มาที่นี่ ระหว่างทางก็ไม่เจอประธานจางเลย ทำไมเหรอ? เกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อฮงเหมยได้ยินซ่งลุ่ยพูดอย่างนี้ เธอก็ตกใจจนหน้าซีดและพูดกับซ่งลุ่ยอย่างร้อนรน “ลุกขึ้นเร็ว ลุกขึ้นเร็วเข้าแล้วกลับไปที่ห้องทำงานของนายซะ รีบเร็วอย่าชักช้าอืดอาด!”

ฮงเหมยทำให้ซ่งลุ่ยรู้สึกสับสนและวุ่นวาย แต่เขาก็ยังคงไม่ขยับไปไหน ฮงเหมยจึงดันหลังให้ซงลุ่ยเดินออกไปข้างหน้า ในเวลานี้ซ่งลุ่ยจึงถามองเหมยด้วยความงุนงงว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอถามถึงประธานจางเพราะมีเกิดอะไรขึ้นเหรอ? ทำไมพอถามแล้วต้องให้ฉันรีบไปด้วย”

เมื่อฮงเหมยได้ยินคำพูดของซ่งลุ่ยถามแบบนี้ เธอจึงอธิบายให้ซ่งลุ่ยรู้อย่างรวดเร็ว ซ่งลุ่ยจึงได้รู้จากปากของเธอว่าเมื่อวานนี้ที่ฮงเหมยออกไปกับประธานจางเพื่อทำธุรกิจ ระหว่างทางกลับเธอบังเอิญพูดถึงเขา จากนั้นประธานจางจึงถามฮงเหมยเกี่ยวกับความสามารถในการทำงานของเขา แล้วฮงเหมยก็ตอบว่าเขายังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงไม่มีข้อผิดพลาดที่ใหญ่นักสำหรับมือใหม่แบบเขา ยังนับว่าเขายังมีผลงานที่ดีอยู่ หลังจากนั้นประธานจางดูเหมือนจะบอกว่าเขาจะไปที่ห้องทำงานเพื่อดูเขาในวันนี้ นอกจากนี้ยังถือเป็นการไปตรวจสอบแบบลับๆอีกด้วย

หลังจากนั้นฮงเหมยก็พูดออกมาทันทีว่า “อันที่จริงฉันคิดว่าฉันก็รู้เหตุผลด้วย ฉันเดาว่าเมื่อวานนี้ฉันดันชมนายมากเกินไป หลังจากนั้นมันก็ทำให้ประธานจางอยากรู้อยากเห็นและอยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเอง ดังนั้นเขาจึงจะแอบไปดูนายสักหน่อย แต่ไม่มีอะไรหรอก อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแต่ถ้านายยังอยู่ที่นี่ประธานจางก็จะไม่เจอนายอยู่ในห้องทำงานไง”

หลังจากที่ซ่งลุ่ยได้ฟังแล้ว เขายังไม่ทันได้กล่าวคำลากับฮงเหมย ก็รีบหมุนตัวแล้ววิ่งออกไป เขาตะบึงวิ่งไปบนทางเดินอย่างไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่อยู่รอบตัว

ซ่งลุ่ยวิ่งไปซักพัก เมื่อเขามองไปข้างหน้า ก็เห็นห้องทำงานของเขา ดังนั้นเขาจึงชะลอฝีเท้าลง เพื่อใช้มันเพื่อบรรเทาความกังวลใจของเขา เขาเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ครู่หนึ่งก็ถึงห้องทำงานของเขา เมื่อถึงหน้าประตูเขายังคงไม่ผลักประตูเข้าไป แต่เขาแอบใช้ระบบมองทะลุของเขานอกประตูแทน ทันใดนั้นเขาก็เห็นผ่านกำแพง ไปทางห้องทำงานของเขาแต่กลับเห็นฉากที่ทำให้เขาพ่นลมหายใจออกมา

รีวิวผู้อ่าน