px

เรื่อง : ระบบเจ้าสำนัก***(จบแล้ว)***
ตอนที่  17 : เข้าถ้ำเสือ


ตอนที่  17 : เข้าถ้ำเสือ

จนกระทั่งร่างของอู่เฉินหายลับไปจากสายตาของพวกเขา จั่นเฟิงและลัวจวินจึงควักผ้าสีดำออกมา เพื่อปกปิดใบหน้าไว้ โดยเผยให้เห็นแค่ดวงตา

 

ทั้งสองคนต่างมองหน้ากันแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดขึ้นว่า “ ลงมือ”

 

ปลายเท้าของพวกเขาสะกิดพื้นเบาๆ ก่อนที่ร่างจะโผทะยานข้ามกำแพงประหนึ่งนก และตกลงในเขตสำนักคังเฉียง

 

เนื่องจากเวลานี้ค่อนข้างเย็นแล้ว สีของท้องฟ้าจึงมืดขึ้นเล็กน้อย บวกกับเส้นทางของพวกเขานั้นอยู่ห่างจากอู่ซินซินและพวกหลินหมิงมาก จึงไม่มีใครสังเกตเห็นคนแปลกหน้าที่ลักลอบเข้ามา

 

หลังจากที่เข้ามาในสำนักคังเฉียนแล้ว จั่นเฟิงและลัวจวินก็ค่อยๆย่องไปที่ห้องเรียนทันที

 

แม้พวกเขาจะคิดว่าอู่ซินซินและคนอื่นๆไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น ฉะนั้นทั้งสองคนจึงค่อนข้างระมัดระวังตัวมาก ก่อนที่จะไปถึงห้องเรียน พวกเขาต่างพยายามซ่อนตัวให้ได้มากที่สุด

 

เมื่อเห็นว่าห่างจากห้องเรียนแค่ 30 ฟุต ทั้งสองคนก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา

 

“ ใครกัน !” ทันใดนั้น ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขา

 

หลังจากที่เสียงนั้นพูดจบ เงาร่างอรชรก็โผล่ออกมา ท่ามกลางความมืดที่สลัวๆ ทำให้พวกเขามองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัด และเห็นเพียงเงาร่างลางๆเท่านั้น

 

ไม่ต้องเดาเลยว่าร่างนั้นก็คือ เหยามู่หว่าน  ศิษย์หญิงของสำนักคังเฉียงแห่งนี้ !

 

จั่นเฟิงและลัวจวินต่างตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “ โดนพบตัวแล้ว !”

 

พวกเขาไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่พวกเขาก็ระวังตัวกันมาก แทบจะไม่มีเสียงเกิดขึ้นซะด้วยซ้ำ แล้วทำไมพวกเขาถึงได้ถูกพบตัวได้ ?

 

แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลามาคิดหาเหตุผล เมื่อโดนพบตัวแล้ว พวกเขาก็ต้องรีบตัดสินใจ !

 

“ จัดการ” เมื่อจั่นเฟิงและลัวจวินถูกพบตัวแล้ว พวกเขาก็เร่งความเร็วพุ่งไปยังห้องเรียน

 

แม้ว่าพวกเขาจะโดนพบตัวแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าเด็กน้อยที่ยังอยู่ฉีซวนขั้น 3 หรือขั้น 4 จะสามารถหยุดพวกเขาได้ อีกทั้งพวกเขาเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ถ้าหากเด็กเหล่านั้นกล้ามาขัดขวางพวกเขาล่ะก็ พวกเขาก็ไม่รังเกียจที่จะกำจัดอีกฝ่ายทิ้ง !

 

ตอนนั้นเอง ศิษย์ทุกคนที่อยู่รอบๆต่างก็ถูกเสียงตะโกนของเหยามู่หว่านปลุกให้ตื่น เมื่อพวกเขาได้สติ พวกเขาก็เห็นจั่นเฟิงและลัวจวินกำลังมุ่งหน้าไปที่ห้องเรียน

 

“เจ้าสำนักกำลังสอนศิษย์พี่อู่ปรุงยาอยู่ ห้ามพวกเจ้าเข้าไปรบกวน!” เหยามู่หว่านตะโกนออกมา จากนั้นนางก็ชักกระบี่ที่ข้างเอว พร้อมกับไล่ตามผู้บุกรุกทั้งสอง

 

เมื่อพวกเขาเซ็นสัญญานภาไปแล้ว จิตใต้สำนึกจึงมองว่าสำนักคังเฉียงแห่งนี้ก็คือบ้านของพวกเขา ส่วนเจ้าสำนักจางหยูก็คือหัวหน้าครอบครัว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นกับจางหยู  

 

แทบจะพร้อมกันนั้น อู่ซินซินและพวกหลินหมิงก็เข้ามาล้อมผู้บุกรุกเอาไว้  โดยมีเหยามู่หว่านไล่ตามมาจากทางด้านหลัง กลายเป็นว่าพวกเขาทั้งสองคนต่างถูกขวางทางเอาไว้

 

ความเร็วของผู้บุกรุกทั้งสองคนช่างเร็วมาก แต่อู่ซินซินและพวกหลินหมิงเองก็ไม่ได้ช้า  ก่อนที่ผู้บุกรุกจะไปถึงห้องเรียน อู่ซินซินและหลินหมิงก็ล้อมพวกนั้นไว้ได้

 

“ปฏิกิริยาตอบสนองช่างไวยิ่งนัก!” จั่นเฟิงและลัวจวินต่างหยุดวิ่ง สีหน้าของพวกเขาปรากฏความแปลกใจขึ้นมา

 

เมื่อกวาดสายตามองเหล่าลูกศิษย์ที่ล้อมพวกเขาเอาไว้ ทั้งสองคนก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของลมปราณบนร่างเด็กๆ ดังนั้น ลัวจวินจึงเผยรอยยิ้มออกมา “กลุ่มเด็กน้อยฉีซวนขั้นที่ 3 และขั้นที่ 4 อยากจะมาขวางทางพวกเรางั้นรึ ?” ศิษย์ที่ล้อมพวกเขาไว้สี่ทิศ มีทั้งหมด 8 คน ในบรรดาเด็กเหล่านี้ อู่ซินซินคือคนที่มีการบ่มเพาะสูงที่สุด นางอยู่ขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 5 สูงสุด ส่วนศิษย์คนอื่นๆ นอกจากหลินหมิงที่อยู่ฉีซวนขั้นที่ 4 แล้ว คนที่เหลือนั้นอยู่ขั้นที่ 3 กันหมด

 

ในยามปกติ ผู้บ่มเพาะที่อ่อนแอแบบนี้ ลัวจวินคงฆ่าด้วยการตบเพียงครั้งเดียว

 

“พอเถอะ อย่ามัวเสียเวลาพูดไร้สาระกับเด็กเหล่านี้ พวกเรารีบทำภารกิจเร่งด่วนให้สำเร็จกัน” จั่นเฟิงขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นมา

 

“ปล่อยเด็กพวกนี้ให้ข้าจัดการเถอะ ส่วนเจ้าไปฆ่าจางหยูได้เลย” ภายใต้ผ้าคลุมสีดำนั้นมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า “ข้าจะอยู่เล่นสนุกกับเด็กพวกนี้เอง !”

 

จั่นเฟิงคิดสักพัก ก่อนจะพยักหน้า “ ได้ งั้นระวังตัวด้วย”

 

ลัวจวินหัวเราะเสียงดัง พลางพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก็แค่กลุ่มเด็กน้อยขั้น 3และขั้น 4 แม้ว่าคนของตระกูลอู่จะอยู่ขั้น 5 แต่ข้าอยู่ถึงขั้น 9  พวกนั้นจะเอาชนะข้าได้รึไง ?”

 

ในสายตาของเขาแล้ว อู่ซินซินและคนอื่นๆเป็นเพียงแค่ลูกแกะที่รอโดนเชือด

 

หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น จั่นเฟิงก็รู้สึกว่าเขากังวลเกินไป  เขาหยุดพูดและรีบมุ่งหน้าไปที่ห้องเรียนทันที

 

“หยุดนะ! ห้ามเข้าไปรบกวนเจ้าสำนักในการสอนการปรุงยาให้กับพี่ชายข้า !”

 

เมื่อสังเกตเห็นว่าจั่นเฟิงไม่สนใจพวกเขา และคิดจะมุ่งหน้าไปที่ห้องเรียนอย่างเดียว อู่ซินซินจึงโมโหมาก ใบหน้าน่ารักแสดงความไม่พอใจออกมา

 

จางเฮิงหยางที่ยืนอยู่ข้างกายของหลินหมิงก็พูดขึ้นมาว่า “สมกับเป็นเทพธิดาของข้าเลย แม้แต่ตอนโกรธก็ยังดูดีขนาดนี้”

 

หลินหมิงกรอกตาใส่ แล้วขยับตัวหนีจางเฮิงหยางพลางกระซิบว่า “ นางอายุแค่ 15 ปีเองนะ เจ้าบ้า!”

 

“พูดยังกับว่าตัวเจ้าอายุมากอย่างงั้นแหละ”จางเฮิงหยางบ่นออกมา “หากข้าจำไม่ผิด เจ้าเองก็อายุ 15 ไม่ใช่รึไง ?”

 

หลินหมิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเถียงกลับไปอย่างจริงจังว่า “มันไม่เหมือนกัน อีกไม่กี่วันข้าก็จะอายุ 16 ปีแล้ว  !”

....

 

เมื่อได้ยินคำพูดของอู่ซินซิน จั่นเฟิงก็หยุดเท้าพลางแสยะยิ้มออกมา “อย่างที่พวกเราคาดเดาไว้ไม่มีผิด จางหยูเป็นนักปรุงยาจริงๆด้วย !” แน่นอนว่าตำแหน่งนักปรุงยานั้นสูงส่งและน่าเคารพมาก ถ้าหากสามารถดึงมาเป็นพวกได้ จะทำให้ขุมอำนาจหนึ่งทรงพลังยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นถ้าหากเป็นศัตรูกับนักปรุงยาล่ะก็ จะส่งผลเสียเป็นอย่างมาก

 

ลัวจวินไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เขาขมวดคิ้วพลางคิดว่า “เด็กน้อยพวกนี้ไม่กลัวข้าเลยงั้นรึ ?”

 

ทั้งอู่ซินซิน หลินหมิน เหยามู่หว่านและคนอื่นๆ ต่างไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา กลับกันแล้ว ในสายตาของพวกเขานั้น กลับแสดงความคาดหวังที่จะทดสอบฝีมือตัวเองอยู่

 

ท่าทางของอู่ซินซินและคนอื่นๆนั้น ทำให้ลัวจวินไม่พอใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ผู้บ่มเพาะฉีซวนขั้นที่ 9 กลายเป็นเพียงธาตุอากาศในสายตาคนอื่น?

 

“ไม่สิ....เด็กพวกนั้นไม่รู้ถึงระดับการบ่มเพาะของข้า !” ลัวจวินบอกตัวเอง

 

ระดับการบ่มเพาะของเขาค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมองการบ่มเพาะของพวกอู่ซินซินออก แต่พวกอู่ซินซินกลับมองการบ่มเพาะของเขาไม่ออก ดังนั้นจึงไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา  

 

“ฮิฮิ สาวน้อยคู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า” ลัวจวินที่คิดว่าตัวเองคาดเดาคำตอบถูก ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แม้ว่าใบหน้าของเขาจะมีผ้าดำปกปิดไว้ แต่สายตาที่เขาแสดงออกมาก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดได้  เห็นได้อย่างชัดเจนว่า อีกฝ่ายกำลังยั่วโมโหอู่ซินซินอยู่ “มา มาเล่นกับลุงเจ้าหน่อย....”

 

อู่ซินซินราวกับไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย นางยังคงจ้องมองไปที่จั่นเฟิงอย่างไม่ละสายตา และแสดงท่าทีเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา

 

เมื่อเห็นระดับสติปัญญาของลัวจวินแล้ว จั่นเฟิงก็ขมวดคิ้วแน่น พลางเอ่นเตือนขึ้นมา “ลัว....เด็กคนนี้คือลูกสาวของอู่เฉิน  เจ้าไม่ควรเล่นกับไฟ ! ภารกิจของเราคือฆ่าจางหยู จะดีที่สุดหากไม่ต้องไปยั่วโมโหตระกูลอู่!”

 

หากเล่นกับไฟ บทสรุปที่ออกมาคงไม่สวยเท่าไหร่ !

 

“ใจเย็นๆไว้ ข้ารู้ตัวน่า” ลัวจวินยิ้มออกมาเล็กน้อย แน่นอนเขารู้ว่าอู่ซินซินเป็นใคร และก็รู้ด้วยว่าอู่เฉินเป็นคนที่เขาไม่ควรหาเรื่องด้วยในตอนนี้ แต่มันก็แค่การปะมือเล็กๆน้อยๆเท่านั้น มันจะมีปัญหาอะไรกันเชียว?

 

เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน อู่ซินซินก็มองไปที่พวกนั้นอย่างแปลกใจ และถามขึ้นมาว่า “พวกเจ้าต้องการสังหารเจ้าสำนักงั้นรึ ? แค่พวกเจ้าสองคนเนี้ยนะ  ?”

 

หลินหมิงและคนอื่นๆต่างแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา และมองดูสองคนนั้นราวกับมองคนโง่

 

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นจางหยูแสดงฝีมือ แต่ก็รู้ว่า ความแข็งแกร่งของจางหยูนั้นน่ากลัวมาก กระทั่งอู่เฉินเองก็ยังไม่กล้าประมือกับจางหยูเลย

 

พวกเขาถึงกับเคยได้ยินอู่เฉินบอกว่า จางหยูนั้นคือผู้บ่มเพาะขอบเขตว่อซวนในตำนาน!

 

“แค่พวกเราสองคนงั้นรึ ? เด็กน้อยเจ้าช่างพูดจาใหญ่โตจริงๆ !” เมื่อเห็นสีหน้าของอู่ซินซินและคนอื่นๆแล้ว ลัวจวินก็รู้สึกราวกับว่ากำลังโดนดูถูก ดังนั้นเขาจึงพูดเสียงเย็นชาว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอยู่กับใคร? ข้าจะบอกความจริงให้พวกเจ้ารู้ก็ได้ พวกเราคือผู้บ่มเพาะขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 9 แค่กระดิกนิ้วก็สามารถฆ่าคนที่พวกเจ้าเรียกว่าเจ้าสำนักได้แล้ว ! เป็นยังไง กลัวกันรึยัง !”

 

อู่ซินซินกลับถามอย่างมึนงงว่า “ฉีซวนขั้นที่ 9 แข็งแกร่งมากเลยหรือ?”

 

ไม่นานมานี้ อู่โม่และนางได้ลองประมือกับอู่เฉินแล้ว ถึงแม้ว่าพ่ายแพ้ แต่ก็ยังสามารถรับกระบวนท่าของบิดาได้หลายสิบกระบวนท่า ตามที่อู่เฉินบอกมา แม้ว่าสองพี่น้องจะอยู่ขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 5 แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขานั้นเทียบได้กับผู้บ่มเพาะฉีซวนขั้น 9 ทั่วไปได้

 

ผู้บุกรุกสองคนนี้อยู่ที่ขั้น 9  ไม่ใช่ว่าความแข็งแกร่งก็ควรจะทัดเทียมกันรึไง ?

 

ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วมีอะไรที่นางจะต้องกลัวด้วย?

 

“ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าแล้ว เจ้าคงเป็นคนที่นี่ แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่นี่ แต่ก็คงอยู่ที่เมืองนี้มาหลายปีแล้ว” ในบรรดาศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ เหมาฉางเฟิงมีอายุมากที่สุดและมีบุคลิกที่หนักแน่น  เขาหรี่ตาลงและวิเคราะห์ออกมา “มีผู้บ่มเพาะฉีซวนขั้นที่ 9 เพียงไม่กี่คนในเมืองทะเลทราย คนที่สามารถเรียกใช้ผู้บ่มเพาะขั้นที่ 9 ได้ หากตัดตระกูลอู่ออกไปแล้ว ก็มีแค่สำนักเฉินกวงและสำนักหยุนซานเท่านั้น เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนตระกูลอู่  งั้นความเป็นไปได้เดียวก็คือ....”

 

เขามองไปที่จั่นเฟิงและลัวจวิน ราวกับมองออกว่าพวกเขาเป็นใคร “พวกเจ้ามาจากสำนักเฉินกวงหรือไม่ก็สำนักหยุนซาน ! หรือไม่....ก็มาจากทั้งสองสำนัก !”

 

“ เจ้าเด็กนี่  !” ลัวจวินมองไปที่เหมาฉางเฟิงด้วยท่าทีแปลกใจ เด็กคนนี้อายุไม่มาก  แต่กลับสามารถระบุตัวตนของพวกเขาได้ นับว่าไม่ธรรมดาเลย

 

“เลิกพูดแล้วรีบจัดการเร็วเข้า!” ดวงตาของจั่นเฟิงฉายแววเอือมระอาออกมา ในใจสถบด่าลัวจวินอย่างโมโห ถ้าไม่ใช่เพราะว่าชายคนนี้มัวแต่พล่ามไร้สาระออกมา พวกเขาคงไม่ถูกเด็กพวกนี้รู้สถานะที่แท้จริงหรอก ตอนนี้มีเพียงแค่วิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือสังหารจางหยูให้เร็วที่สุด แล้วหลบหนีไป ยังไงซะพวกเขาก็ปิดบังใบหน้าเอาไว้แล้ว แม้ว่าจะมีคนสงสัยพวกเขาแต่พวกเขาก็หาทางเอาตัวรอดได้

 

ก่อนที่ลัวจวินจะได้ตอบกลับ หลินหมิงที่อยู่อีกด้านก็หัวเราะออกมา “  จัดการ ? ดี ! มาเริ่มกันเลย พวกเราเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าผู้บ่มเพาะฉีซวนขั้นที่ 9 จะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน!”

 

ตั้งแต่ที่เข้าร่วมสำนักคังเฉียงมา เขาไม่เคยประมือกับใครเลย ตอนนี้ได้เวลาทดสอบผลของการบ่มเพาะมากว่า 1 เดือนแล้ว

 

“พวกเราด้วย !” เหมาฉางเฟิง, ซูเลี่ย , เหยามู่หว่าน, จางเฮิงหยาง และคนอื่นๆเองก็ยิ้มร่าออกมา พวกเขาก็อยากทดสอบด้วยเช่นกัน

รีวิวผู้อ่าน

kantapong
1543 วันที่แล้ว

5ดาว


  แสดงความคิดเห็น