“ฮ่าฮ่าฮ่า ! น้องสาม ! อย่าตำหนิว่าข้า*โหดร้ายเลย นี่เป็นเพราะเจ้าบีบคั้นข้าเอง ! ความสำเร็จของเจ้านั้นสูงส่งแทบจะเป็นเทพเจ้าไปแล้ว !”
*เมื่อฮ่องเต้เรียกแทนตนเองกับผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่าจะเรียกแทนตนเองว่า เจิ้น แต่ถ้าสนิทสนมกันจะเรียกแทนตนเองตามปกติว่าข้า เหมือนทั่วไป
โอรสสวรรค์ผู้นี้ใคร่อยากได้พบหน้าหญิงอัปลักษณ์น่าสยดสยองผู้สามารถผลักดันทัพให้คว้าชัยมาได้ราวกับมีเวทมนตร์นั่นเสียจริง ทั้งยิ่งอยากเห็นสีหน้าสลดสิ้นหวังของน้องสาม คงช่วยให้จิตใจกระชุ่มกระชวยได้อย่างดีเยี่ยม
ล่วงเวลาไปกว่าขวบเดือน เว่ยชีชีจึงปรากฏกายขึ้นด้วยใบหน้าที่สดใสมีชีวิตชีวาในลานกว้างกลางค่าย เบื้องหน้าคือค่ายใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางผืนทะเลทรายที่กว้างไกลสุดสายตา ล้มป่วยไปกว่าเดือน นี่จึงเป็นคราแรกที่นางได้ทอดสายตามองค่ายซุยงหนูอย่างละเอียดถ้วนถี่ ในวันนี้คือผืนทะเลทราย วันพรุ่ง พวกเขาจำต้องบุกตะลุยให้ถึงถิ่นเมืองเกิดพวกซุยงหนู ต้องทำลายล้างพวกซุยงหนูให้หายราบไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ท่านรองหลิวเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีนอบน้อม “ชีเจียงจวิน อาการของท่านดูจะทุเลาขึ้นมาก”
“ไยจึงชอบเรียกข้าว่าชีเจียงจวินนักเล่า เรียกข้าชีชีสิ !”
“ยามนี้แตกต่างจากเดิมแล้ว ยามนี้ชีเจียงจวินคือแม่ทัพผู้นำของผู้น้อยแล้ว”
ชีชีหันมาตบไหล่อีกฝ่าย “ข้าก็ยังคงเป็นเว่ยชีชีคนเดิมนั่นล่ะ ไม่มีอันใดแปรเปลี่ยน ยังอีกทั้งที่สุดข้าคือผู้ที่จะต้องจากไป ไม่อยู่เป็นแม่ทัพให้พวกเจ้านานนักหรอก !”
เมื่อท่านรองหลิวเห็นชีชียังคงเป็นคนไม่ถือตนเช่นนั้น เขาจึงค่อยผ่อนคลายลงมาก “ไม่ว่าท่านจะไปที่ใด ท่านจะยังคงเป็นแม่ทัพฮั่นอันเกรียงไกรอยู่เสมอ !”
“แม่ทัพฮั่นอันเกรียงไกร ?” เธอถอนหายใจ
ด้วยรู้ดีว่าจะกล่าวไปก็ป่วยการ ดินแดนที่เธออยู่หาได้มีอาณาจักรฮั่นอันยิ่งใหญ่ไม่ คงมีเพียงมหานครอันมีตึกสูงเสียดฟ้า สิ่งอำนวยความสะดวกที่พรั่งพร้อมในยุคที่ทันสมัย อาณาจักรฮั่นเป็นแค่เพียงบันทึกหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้น
รองผู้บัญชาการคล้ายกำลังจะเอ่ยปาก ทว่านายทหารผู้หนึ่งกลับวิ่งพรวดพราดเข้ามาเสียก่อน “ชีเจียงจวิน ท่านอ๋องเรียกให้ท่านไปพบที่กระโจม”
นี่เพิ่งออกมายืดเส้นยืดสายได้เพียงครู่ จะให้กลับไปอีกแล้วรึ ? ล้มป่วยคราเดียว กลับถูกอ๋องผู้นั้นริดรอนเสรีภาพไปเสียสิ้น
ชีชีรีบกลับไปยังกระโจม จึงพบหลิวจ่งเทียนวางชามโอสถลงบนโต๊ะ
“ดื่มเสีย !” เสียงออกคำสั่งดังขึ้นทันที
“ไม่ดื่ม ขมจะตาย ข้าหายดีแล้ว !”
ท่านอ๋องหนุ่มลุกขึ้นทันที “ดื่มเดี๋ยวนี้ หาไม่ข้าจะจับกรอกปากเสีย !”
“หลิวจ่งเทียน อย่าคิดว่าเพียงได้รู้ความจริงเรื่องที่ข้าเป็นอิสตรีแล้วจะ…” ยังมิทันกล่าวจบก็ถูกอีกฝ่ายยกมือขึ้นปิดปากแน่น ลากตัวกลับมาที่ด้านหลังฉากกั้นเสียแล้ว
หลิวจ่งเทียนจ้องสาวน้อยในมือผู้มิได้รู้ตัวเลยว่าตนจะได้มีชีวิตอยู่หรือตายตกกันแน่ หากความลับทั้งหลายถูกแพร่งพรายออกไป
“เอะอะตึงตังเช่นนี้ อยากให้ทหารทั่วค่ายรู้กันหมดหรือไร ? หากเจ้าอยากหัวหลุดจากบ่าก็เร่งป่าวประกาศออกไปเสีย เปิ่นหวางจะช่วยให้เจ้าสมประสงค์ในทันที”
เกือบลืมไปเลย นี่มันค่ายทหาร จะพูดกล่าวคำใดล้วนต้องระมัดระวัง เธอรีบปิดปากแน่น หลิวจ่งเทียนจึงยอมคลายมือออก
ชีชีเดินออกมาทำหน้ายุ่ง ก่อนจะยกโอสถขึ้นอย่างว่าง่าย เธอแลบลิ้นแตะน้ำโอสถชิมรสก่อนทำหน้าเบ้ นี่หากมิใช่เพื่อรักษาตัว เฆี่ยนให้ตายเธอก็จะไม่ยอมกินเป็นเด็ดขาด
“คราหน้าเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมทัพ !” เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“เหตุผลคือ ?”
“เจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ !”
“ยังไม่แน่ชัด !”
“เว่ยชีชี !” เขาลุกพรวดขึ้นด้วยความเดือดดาล นี่หากเป็นเมื่อก่อน เขาจะต้องลงโทษเว่ยชีชีผู้มิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้อย่างแน่นอน ทว่านับแต่ได้ล่วงรู้ว่านางคืออิสตรี เขากลับอ่อนโยนกับนางขึ้นกว่าเดิมมาก
ชีชีกระแทกชามโอสถลงด้วยอาการฉุนเฉียว ก่อนจะกระฟัดกระเฟียดออกไปนอกกระโจม เจ้าอ๋องบ้านั่นเอาแต่ใจชะมัด ให้อยู่แต่ในค่ายเฉย ๆ ไม่ทำสิ่งใดก็เบื่อแย่สิ
เธอค่อยก้าวเดินพร้อมกับสางเรือนผมที่เริ่มยาวประบ่า มุ่งหน้าตรงไปยังผืนทะเลทรายที่กว้างใหญ่อย่างเชื่องช้าด้วยความคิดที่พรั่งพรูอยู่ในหัว หากกลับไปมิได้จริง ๆ ก็ควรปล่อยผมยาวเกล้ามวยขึ้นศีรษะให้เหมือนบุรุษทั้งหลายในยุคสมัยนี้ หากใบหน้าไม่เสียโฉม เธอคงหล่อเหลาสูสีกับท่านอ๋องสามผู้นั้น ทว่าความสง่างามน่าเกรงขาม และยิ่งใหญ่ของคนผู้นั้น คือสิ่งที่เธอไม่อาจเทียบได้เลยแม้เพียงน้อย
อย่าบอกนะว่าเธอจะต้องติดอยู่ในยุคฮั่น จำต้องเป็นบุรุษไปตลอดกาลเช่นนี้ ? ต้องสวมใส่เสื้อผ้าบุรุษ อยู่ร่วมปะปนกับพวกบุรุษ ไล่เข่นฆ่าศัตรูด้วยความองอาจห้าวหาญเช่นนี้ จะอย่างไรเธอก็คืออิสตรี ทว่าด้วยใบหน้าที่อัปลักษณ์สิ้นดีเพียงนี้เธอจะไขว่คว้าชีวิตสงบสุขเยี่ยงสตรีทั่วไปได้อย่างไร ?
ชีชีแหงนหน้ามองฟ้า สวรรค์ต้องบ้าไปแล้วจึงส่งเธอมาในสภาพน่าทุเรศทุรังทั้งยังมาโผล่ในสถานที่เฮงซวยแห่งนี้อีกด้วย เป็นบุรุษก็มิใช่ เป็นสตรีก็มิเชิง หน้าตาน่าขยะแขยงถึงเพียงนี้จะมีผู้ใดมาชอบใจได้เล่า ? โธ่ ! ความรัก ความรักที่เธอเฝ้าคอยถวิลหา เห็นจะสิ้นหวังเสียแล้วกระมัง โธ่ ! ชีวิตของสาวน้อยวัยสะคราญเว่ยชีชีกลับต้องพบความหม่นหมองอับเฉาลงเสียแล้ว
ชีชียกมือขึ้นจับชุดเกราะที่สวมใส่อยู่บนร่าง เพื่อปลอบใจตนเอง เอาเถิด ๆ อย่างน้อยก็ยังได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพผู้องอาจ บางทีในอีกสักปีสองปีข้างหน้า อาจพอมีหนทางคืนสู่ชีวิตคนธรรมดาสามัญ เราต้องอยู่ด้วยความหวัง
หลิวจ่งเทียนก็หงุดหงิดงุ่นง่านใจเช่นกันจึงออกมาเดินดูการฝึกซ้อมเหล่าทัพที่ลานฝึก ทว่ามองเหล่าทหารอยู่นานกลับไม่พบเห็นชีชีผู้สะบัดก้นหนีออกมาด้วยท่าทีฮึดฮัด
สาวน้อยอัปลักษณ์ผู้นั้น ไยจึงดื้อรั้นถึงเพียงนี้ เขามิรู้จะงัดไม้ไหนมาจัดการนางอีกแล้ว
ท่านอ๋องหนุ่มหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ข้างลานฝึก รถม้าคันหนึ่งมุ่งตรงเข้ามาในค่าย พร้อมด้วยพลทหารม้าชั้นยอดแห่งอาณาจักรฮั่นขี่ตามมาด้านหลังอีกสองถึงสามนาย ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าผู้ใดมาเยือน ย่อมต้องเป็นผู้ตรวจการทัพอู๋ที่น่ารำคาญผู้นั้นอย่างแน่นอน
และเป็นดังที่คาด อู๋จงอวี้เลิกผ้าม่านในรถม้าขึ้นก่อนกระโดดลงมา สายตาคนผู้นี้ก็ช่างคมกริบนัก เพียงปราดเดียวเขาก็เห็นท่านอ๋องสามนั่งชมการฝึกอยู่ข้างลานซ้อมรบแล้ว ท่านผู้ตรวจทัพวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาหาท่านอ๋องหนุ่มในทันที
“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋อง ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ !”
***จบตอน ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋อง***