“กระทั่งบุรุษยังแทบไม่อาจทนสภาพภายใต้ผืนทะเลทราย แล้วเจ้าผู้เป็น…” คำกล่าวสะดุดไปครู่ พร้อมมือที่คลายออกจากชีชีในทันที ก่อนจะหมุนกายกลับตรงเข้ากระโจมหลังใหญ่โดยไม่กล่าวคำใด
“เฮ้ ! เดี๋ยวสิ !”
นางรีบตามไปติด ๆ หลิวจ่งเทียนก้าวฉับ ๆ จากไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งชีชีต้องรีบซอยเท้าสั้น ๆ ของตนวิ่งตาม ที่สุดทั้งคู่จึงกลับเข้าสู่ด้านในกระโจมใหญ่ ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า “เปิ่นหวางนึกเสียใจยิ่งที่แต่งตั้งเจ้าขึ้นเป็นฟูกัวโย่วเจียงจวิน* ยามนี้หางเจ้ามันยกสูงเสียดทะลุฟ้าไปแล้ว !”
*ฟูกัวโย่วเจียงจวิน หมายถึง รักษาการแม่ทัพฝ่ายขวา
“กองทัพมิใช่สนามเด็กเล่น ข้ามิได้กระทำผิดใด เช่นนั้นถึงท่านจะมานึกเสียใจเอายามนี้ก็ไร้ประโยชน์ ข้าจะไปทะเลทรายด้วย !”
“เปิ่นหวางคือท่านอ๋อง สิ่งที่เปิ่นหวางกล่าวออกไปย่อมต้องเป็นตามนั้น ไม่มีที่เหลือสำหรับความไร้สาระของเจ้าแล้ว ! เจ้าอย่าได้สร้างความผิดใดนับว่าดีที่สุด หาไม่เปิ่นหวางจะปลดเจ้าออกจากตำแหน่งเจียงจวิน”
กล่าวจบเขาก็หย่อนกายลงนั่งพลางชี้ไปที่หัวไหล่ของตน “มานวดให้เปิ่นหวางหน่อย”
ชีชีทำตาโตเสียงเขียว “ไม่นวด !”
“ว่ากระไรนะ ?”
“ข้าไม่อยากรับใช้ท่านอีกแล้ว ! อ๋องขี้ยัวะ !”
ใบหน้าของนางบ่งบอกความเกรี้ยวกราด กระทั่งเมื่อนางวิ่งหนีออกไปสีหน้านั้นก็ยังไม่เปลี่ยน หลิวจ่งเทียนมองไล่หลังตามนางไปด้วยความหงุดหงิดหัวเสีย จะให้อิสตรีเช่นนางตะลุยฝ่าออกไปในฐานะหน่วยหน้าเดนตายได้เยี่ยงไร สตรีย่อมต้องได้รับการปกป้องจากบุรุษ !
นายทหารผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้ามาด้วยอาการร้อนรน “รายงานท่านอ๋อง อู๋เจียนจวิน*มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
*เจียนจวิน คือผู้ตรวจการ ทำหน้าที่ตรวจสอบดูแลการศึก
“อู๋เจียนจวิน ?” หลิวจ่งเทียนลุกขึ้นทันที เห็นทีครานี้ฝ่าบาทคงจะส่งคนมารังควานเขาอีกเป็นแน่ ฝ่าบาทเลือกแต่งตั้ง อู๋จงอวี้ขึ้นเป็นผู้ตรวจสอบทัพ ย่อมแสดงให้เห็นว่าพระองค์ตระหนักดีว่าผู้ที่เขาชังหน้าที่สุดนั้นคืออู๋จงอวี้ เช่นนั้นพระองค์จึงจงใจส่งคนผู้นี้มาเป็นผู้ตรวจสอบเขา เห็นที กระทั่งศึกซุยงหนูก็มิอาจระงับการฟาดฟันระหว่างเขากับฮ่องเต้ได้
“เขาอยู่ที่ใด ?”
“เข้ามาในค่ายแล้วพ่ะย่ะค่ะ !”
ท่านอ๋องหนุ่มส่งเสียงหัวร่อออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะลงนั่งคลี่หนังสือม้วนไม้ไผ่ออกอ่านด้วยท่วงท่าองอาจหยิ่งผยอง ท่านอ๋องสามเยี่ยงเขา มีหรือจะหวั่นเกรงต่ออู๋จงอวี้ ?
“อู๋เจียนจวินมาถึงแล้ว” เสียงนายทหารด้านนอกประกาศอย่างชัดเจน
อู๋จงอวี้พร้อมผู้ติดตามเดินหัวเราะร่วนเข้ามาในกระโจมหลังใหญ่ “ท่านอ๋องสาม จงอวี้ขอถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ”
“อู๋จงอวี้ เสด็จพี่มีรับสั่งส่งท่านมาได้ควรแก่เวลา !” ท่านอ๋องหนุ่มใช้สายตาอันเชือดเฉือนทิ่มแทงใส่อีกฝ่ายในทันที อู๋จงอวี้รีบยกมือขึ้นจับคอตนด้วยความหวาดระแวง กล่าวกันว่าท่านอ๋องสามคือผู้ที่ยากจะเข้าถึง ครานี้เขาได้ประสบด้วยตนเองแล้ว ควรกล่าวเจรจาเยี่ยงไรดี ?
หลิวจ่งเทียนวางหนังสือม้วนไผ่ลง “วันพรุ่งทัพของเราจะบุกเข้าทะเลทราย อู๋เจียนจวินเร่งเดินทางมาได้เหมาะยิ่งนัก ท่านจะได้ร่วมการศึกบุกเข้าทะเลทรายพร้อมกันกับพวกเราทุกคน”
อู๋จงอวี้เกาหัวแกรก ลุยทะเลทราย ? มิเท่ากับส่งตนไปตายกระนั้นรึ ?
คิดเช่นนั้นแล้วเขารีบขยับยิ้ม “ท่านอ๋องสามทรงมีอารมณ์ขันยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋น* หากกระหม่อมเข้าร่วมเดินทัพด้วยเกรงจะกลายเป็นภาระของผู้อื่นเสียกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
*ขุนนางมีฝ่ายบู๊ และฝ่ายบุ๋น ฝ่ายบู๊คือฝ่ายออกรบ ฝ่ายบุ๋นคือที่ปรึกษา
“อู๋เจียนจวินเห็นทีจะกลัวตาย กลายเป็นซากศพตากแห้งอยู่กลางทะเลทรายเสียกระมัง ?”
“ท่าน… ท่านอ๋องสาม…” อู๋จงอวี้พูดติดอ่างอ้ำอึ้งในทันที เพียงเหยียบถึงถิ่นเขาก็ถูกรุกฆาตเอาเสียแล้ว ผู้ตรวจการทัพยกมือขึ้นปาดหยาดเหงื่อเย็นบนใบหน้า
“ถึงท่านจะไป เปิ่นหวางคงไม่ปล่อยให้ท่านไปด้วยหรอก เปิ่นหวางจะเอาเวลาใดมาคอยดูแลบุคคลพิเศษเยี่ยงท่าน” กล่าวไป เสียงท่านอ๋องหนุ่มก็หัวเราะลั่น เสด็จพี่ไม่ส่งขุนนางฝ่ายบู๊ ทว่ากลับส่งอู๋จงอวี้จอมเจ้าเล่ห์นี้มา ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่าหมายจะหาเรื่องเขาอีกเป็นแน่
เมื่อไรที่หลิวจ่งเทียนต้องรับมือคนปลิ้นปล้อนกลับกลอกประเภทนี้ เขาไม่เคยปรานี
“เช่นนั้นย่อมดีพ่ะย่ะค่ะ” อู๋จงอวี้หัวเราะเจื่อน ๆ
“ฝ่าบาทได้ทราบข่าวการศึกที่ท่านอ๋องสามารถกวาดต้อนพวกซุยงหนู กระทั่งแตกพ่ายไปได้หลายคราทำให้ฝ่าบาททรงเบิกบานพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์ทรงมีรับสั่งให้กระหม่อมนำสุราจำนวน 100 ไหมอบเป็นรางวัลให้แก่สามเหล่าทัพพ่ะย่ะค่ะ !”
***จบตอน อู๋เจียนจวิน***