เมื่อทั้งหลิวจ่งเทียน และแม่ทัพชือต่างเริ่มเห็นท่าทีคล้ายรองผู้บัญชาการหลิวกำลังจะเสียทีเพลี่ยงพล้ำ ทั้งคู่ต่างตื่นตกใจ
“เจ้าหนูนั่นใช้วิชากังฟูใดกัน ท่วงท่าเคลื่อนไหวจึงคล่องแคล่วรวดเร็วถึงเพียงนี้ ?” แม่ทัพชือเอ่ยขึ้นด้วยนึกฉงน
หลิวจ่งเทียนจ้องเว่ยชีชีอย่างนิ่งสงบ ข้อกังขาภายในใจคุกรุ่นซ่านอยู่ในหัวอย่างไม่หยุดยั้ง กระทั่งเว่ยชีชีจัดการท่านรองหลิวผู้นั้นจนหมอบราบอยู่กลางลานฝึก ก่อนจะกระโดดกระเด้งอย่างสุขใจ ราวนกกระจอกแตกรังด้วยความสนุกสะใจอย่างเหลือล้น
หนุ่มน้อยหน้าอัปลักษณ์ยื่นมือช่วยดึงร่างรองผู้บัญชาการขึ้น “เป็นอย่างไรเล่า ? ต่อไปอย่าได้คิดดูเบาคนร่างบางเช่นข้าอีก ตัวข้ายังมีความสามารถอีกล้นหลามจะบอกให้ !”
“ข้าไม่กล่าวเช่นนั้นแล้ว !” รองผู้บัญชาการหลิวยกมือขึ้นปัดฝุ่นตามตัวพลางยกมือขึ้นหมายจะตบไหล่อีกฝ่าย หากทว่าเว่ยชีชีกลับรวดเร็วปานลิงลม หนุ่มน้อยอัปลักษณ์กระเด้งโหยงหลบฝ่ามือกว้างมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพอดี
“อย่ามาทำตีสนิทกับข้า มาจับโน่นจับนี่ข้าไม่คุ้นชิน ไม่ชอบ !”
“ดูเจ้าสิ ! พวกเราล้วนบุรุษด้วยกันทั้งสิ้น แต่เอาเถิด ! เป็นเยี่ยงนี้ดีไหม เดินทัพคราหน้าข้าจะให้เจ้านำหน่วยแสดงความสามารถให้ประจักษ์กันเสียหน่อย !”
“OK ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอน !”
“OK ? มันหมายความเยี่ยงไรกัน ?” รองผู้บัญชาการหลิวเกาหัวแกรก
“ก็หมายถึง ดี ได้เลย อย่างไรเล่า !”
“อ้อ ! เจ้านี่มันชอบพูดจาแปลกหูอยู่เรื่อย !” รองผู้บัญชาการหัวเราะร่วน
เว่ยชีชีกระโดดตีลังกาด้วยความสุขใจอย่างสวยงามทิ้งให้รองผู้บัญชาการตะลึงค้างด้วยความอัศจรรย์ ร่างกายของเจ้าหนุ่มนี่คล่องตัวยืดหยุ่นเสียจริง
แม่ทัพชือผู้ยืนสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ ถึงกับยั้งใจไว้มิได้อีกต่อไป “กระหม่อมขอเข้าไปดูเสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าหนูนั่นเก่งกาจไม่เบาเลยทีเดียว เบื้องหน้าต่อไป หนุ่มน้อยผู้นี้อาจเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก น่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเราอย่างมาก !”
“ไม่ต้องเร่งร้อน รอดูไปก่อน !” หลิวจ่งเทียนรั้งแม่ทัพใหญ่ไว้ ทว่าแน่นอน ภายในใจท่านอ๋องหนุ่มกลับประหลาดใจยิ่งกว่าแม่ทัพชือผู้นี้ ศึกทัพซุยงหนูคราหน้าเห็นทีจะไม่อาจดูเบาเว่ยชีชีผู้นี้ได้อย่างแท้จริง
หนุ่มน้อยหน้าอัปลักษณ์กระโดดตีลังกาอย่างเริงร่าไปอีกหลายตลบ ท่ามกลางเสียงปรบมือ และแรงเชียร์จากกลุ่มทหารที่ห้อมล้อม ยามนี้ชีชีเริ่มรู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมาแล้ว การเป็นทหารยังดีเสียกว่ายอมไปเป็นขี้ข้าให้ท่านอ๋องขี้เต๊ะผู้นั้น เพียงคิด เสียงหัวเราะร่วนของเธอก็ก้องดังออกมาอย่างลืมตัว
ศึกกลางทะเลทรายกำลังจะเริ่มขึ้น เว่ยชีชีนำหน่วยทัพน้อย ๆ ของตนออกเดินทาง เธอติดตามไล่ล่าข้าศึกอย่างไม่ลดละ เพียงอีกฝ่ายได้ข่าวการเคลื่อนทัพน้อยของเธอ พวกมันก็หวาดกลัวจนแทบเสียสติไปแล้ว ผู้ใดเล่าจะเคยประสบพบเจอนายทัพผู้บ้าระห่ำไร้ความหวาดกลัวเยี่ยงนี้
แน่นอนว่าคนเยี่ยงเว่ยชีชีหรือจะมีอุดมการณ์นักรบใด เธอก็เพียงอยากเสือกไสตนไปยังกองหน้า เพื่อหมายหาหนทางเชื่อมเวลาเดินทางทะลุมิติกลับคืนสู่โลกยุคปัจจุบัน ทว่ากลับต้องพบพานความผิดหวัง เมื่อศึกคราแรกสิ้นสุดลง เธอคือผู้นำหน่วยซึ่งกลับคืนฐานพร้อมชัยชนะ โดยไม่สูญเสียกำลังนายทหารในสังกัดแม้เพียงสักคน และเธอ…ยังคงติดแหงกอยู่ในค่ายทัพฮั่นอันเกรียงไกร
เว่ยชีชีกลับมายืนอยู่กลางลานฝึกอีกครา เธอยืนมองเหล่านายทหารทั้งหลายที่กำลังส่งเสียงแซ่ซ้องยินดีในชัยชนะ หากแต่เธอกลับไม่รู้สึกยินดีแต่อย่างใด เหตุใดเล่า ? เหตุใดสวรรค์จึงเล่นตลกกับเธอเช่นนี้ ? เหตุใดไม่ยอมส่งสัญญาณใดออกมาบ้าง ? ทั่วท้องนภาสว่างไสว แสงอาทิตย์เจิดจ้าร้อนแรง ไม่มีสัญญาณแห่งสายฟ้าหรือพายุแต่ประการใดเลย
แม่ทัพชือไม่อาจทนอดใจได้อีกต่อไป เขาอยากมาดูเจ้าหนุ่มอัปลักษณ์ผู้นี้จะแย่อยู่แล้ว เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ไม่เพียงจะมีศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม เชาว์ปัญญาของมันยังหลักแหลม หากไม่ดึงความสามารถของเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ออกมาใช้ให้เต็มที่ย่อมนับว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
เว่ยชีชีถูกเรียกเข้าไปยังกระโจมท่านแม่ทัพ เธอแหงนมองดูแม่ทัพอาวุโสผู้คล้ายจะอยู่ในวัยราว 50 ปี หากเป็นยุคสมัยปัจจุบัน คนผู้นี้ย่อมต้องได้รับตำแหน่งจอมพล
ทว่าสายตาที่เขาจับจ้องราวจะดูดกลืนเธอเข้าไปได้ทำให้ชีชีรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
“เจ้าคือเว่ยชีชีกระนั้นรึ ! ไยจึงผ่ายผอมเยี่ยงนี้ !”
“เรียนท่านแม่ทัพ ข้ากินน้อย ทั้งก็ยังเยาวว์วัยอยู่ เช่นนั้นร่างกายจึงยังเล็ก ! ทว่าข้าก็แข็งแกร่งมากนักนะท่าน !”
“ฮ่าฮ่าฮ่า !” แม้เจ้าหนุ่มเว่ยชีชีผู้นี้ยังเยาวว์วัย หากแต่ความขวัญกล้ากลับน่ายกย่องยิ่งนัก
“หลิวอวิ๋นคือรองผู้บัญชาการฝ่ายซ้าย เช่นนั้นข้าจะขอเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการฝ่ายขวาก็แล้วกัน !”
“รองผู้บัญชาการฝ่ายขวา ?” ชีชีแหงนหน้ามองแม่ทัพชือด้วยท่าทีตื่นเต้นดีใจ “นี่ท่านพูดจริงกระนั้นรึ ? ให้ข้าเป็นผู้บัญชาการฝ่ายขวา เช่นนั้นย่อมหมายความว่าข้าย่อมมีศักดิ์ และสิทธิ์เทียบเท่ากับรองผู้บัญชาการหลิวล่ะสิ !”
“การทัพไม่มีพูดเล่น ! แม้นเจ้ายังเยาว์วัย ทว่ากลับเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ทั้งวิชาการต่อสู้นับว่าไม่ธรรมดา คราหน้าพวกเราจะเข้าพบท่านอ๋อง เพื่อสนทนาถึงกลศึกต่อไปในการจัดการกับพวกซุยงหนู”
ในครานี้ เว่ยชีชีหาได้ต้องเข้าไปอยู่ในกระโจมของหลิวจ่งเทียนในฐานะนายทหารชั้นผู้น้อยไม่ ส่วนท่านอ๋องหนุ่มนั้นเพียงชายตาเหลือบมองเว่ยชีชี ก็ยิ่งให้รู้สึกว่า เพียงออกไปสู้ลมสู้แดดคราเดียวเจ้าหนุ่มน้อยผู้แสนบอบบางก็เนื้อหนังไหม้เกรียมไม่ชวนมองเสียยิ่งกว่าเก่าก่อน คงมีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังคงให้ความรู้สึกยั่วยวนชวนมองเท่านั้น
แม่ทัพชือลุกขึ้นกล่าวคำอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้พวกเราต้องสู้ศึกท่ามกลางทะเลทราย ย่อมอยู่ในฐานะเสียเปรียบ พวกซุยงหนูมีความชำนาญบนสมรภูมิรบกลางทะเลทรายอย่างยิ่ง หน่วยสืบของเรารายงานว่า พวกซุยงหนูคิดซุ่มโจมตีครั้งใหญ่ หากพวกมันบุกทลายทัพที่มั่นของเราจริง เห็นทีพวกเราอาจปราชัยได้พ่ะย่ะค่ะ !”
“หากบนหลังม้า ประฝีมือดาบ เจ้าพวกเถื่อนซุยงหนูย่อมไม่อาจรับมือชาวฮั่นได้อย่างแน่นอน สิ่งที่ท่านแม่ทัพชือกล่าวมาล้วนเป็นเช่นนั้น ทะเลทรายนับเป็นจุดตายของพวกเรา !” สีหน้าของหลิวจ่งเทียนเคร่งเครียดอย่างหนัก “พวกเราต้องรับมือทั้งกับองค์ฮ่องเต้ และต้าชันอวี่แห่งซุยงหนู เช่นนั้นยิ่งต้องรอบคอบให้มาก”
“ความหมายของท่านอ๋องก็คือ…”
***จบตอน รองผู้บัญชาการฝ่ายขวา ! ข้างั้นสิ !***