“เจ้าขี่อาชาไม่เป็นกระนั้นหรือ ?”
“หากข้าขี่เป็นคงได้ควบไล่ประหัตถ์ประหารศัตรูไปนานโขแล้ว !” เธอหันมามองอีกฝ่ายด้วยท่าทีสลด
“มา เปิ่นหวางสอนให้ !” ม้าของหลิวจ่งเทียนขยับเข้ามาเทียบข้างชีชี แล้วจู่ ๆ เขาก็เอื้อมมือมาตบแผ่นหลังของเธอ
“ขี่อาชาท่านี้ย่อมเมื่อยนัก ยังจะก้นของเจ้าอีก…” ว่าแล้วฝ่ามือก็ตบ ป้าบ เข้าให้ที่บั้นท้ายอีกฝ่าย “เอ้า ไปได้ !”
“นี่ อย่ามาตีก้นข้าสิ !” เธอบ่นด้วยความหัวเสีย
“อย่าเรื่องมาก ดูท่าเจ้าสิ หากอาชาควบเร็ว เจ้าเป็นได้พลัดตกลงมาแน่ !” เขากล่าวเคล้าเสียงหัวเราะร่วน
“จับเชือก ดึงบังเหียนอาชาให้แน่น วางท่าทางเช่นนี้ล่ะ ถูกแล้ว ดี เอาล่ะ ครานี้ตบเท้าทั้งสองข้างท้องอาชา !”
ชีชีทำตามคำแนะนำของอีกฝ่าย ม้าตัวนั้นก็ควบวิ่งไปข้างหน้าอย่างลิ่วโลด หญิงสาวตื่นตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี เธอรีบหันขวับมาส่งสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือจากหลิวจ่งเทียน ยังดีที่หลิวจ่งเทียนควบตามจับได้ทันเธอจึงถอนใจยาวด้วยความโล่งอก จากนั้นทั้งคู่ก็สามารถควบม้าไปด้วยกันได้ภายในช่วงเวลาอันสั้น
“ขี่อาชาด้วยการจัดวางท่าทางเช่นนี้ เจ้ายังรู้สึกเหนื่อยอีกไหม ?”
แม้จะเมื่อยล้าอยู่บ้าง หากแต่ชีชีกลับหัวเราะร่าอย่างสุขใจ “นี่หากที่ข้าเรียนมีวิชานี้ ข้าจะต้องได้หน้ายกใหญ่แน่นอน”
“กระไรนะ ?” เขาจ้องเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าเคยไปสถานศึกษาด้วยกระนั้นหรือ ?”
“อ๊ะ ! อ้อ ใช่ ๆ ข้าก็ได้ร่ำเรียนวิชามาบ้างนิดหน่อย !” เธอรู้ดีว่าไม่ควรปากมากจนเกินควร เช่นนั้นหญิงสาวจึงแอบหลบหน้าหลิวจ่งเทียน และรีบขี่ม้าขยับไปด้านหน้า
กระทั่งค่ำมืด กองทัพจึงมาหยุดที่ด้านข้างของทะเลทราย หลิวจ่งเทียนบัญชาการตั้งค่าย พวกเขาจะอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง ฐานทัพซุยงหนูอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
เว่ยชีชีวิ่งวุ่นเข้า ๆ ออก ๆ หยิบโน่นจับนี่อยู่กับการตั้งค่ายนานพอควร กระทั่งที่สุดจึงได้พักกับเขาบ้าง หญิงสาวล้มกายลงแหมะกับเสื่อบนพื้นอย่างหมดสภาพ ยามนี้เธอก้มหน้ารับชะตากรรมที่ต้องนอนจุ้มปุ๊กอยู่บนพื้นเช่นนี้แล้ว เดินทางมาตลอดทั้งวัน เหม็นกลิ่นเหงื่อไคลจนคลุ้ง หากได้อาบน้ำชำระกายบ้างคงดี ทว่าย่อมเป็นไปมิได้
“ชีชี มาขัดหลังให้เปิ่นหวางหน่อย !” เสียงเจ้านายร้องเรียกหาผ่านมาจากหลังม่านบังตา
“ขัดหลัง ?” เธอกระเด้งโหยง เขา...เขา มาอาบน้ำตั้งแต่เมื่อไร นี่เธอเหนื่อยจัดกระทั่งเข้ามาในกระโจมยังมิรู้เรื่องเชียวล่ะหรือ ?
“ชักช้าอันใดอยู่ ?”
“มาแล้ว ๆ…ท่านอ๋อง !” แผ่นหลังของชีชี คือสิ่งแรกที่ขยับผ่านมาหลังฉากบังตา ที่สุดเธอก็มาหยุดยืนอยู่หลังหลิวจ่งเทียน เขาเหยียดมือออกมานอกอ่างไม้เผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อที่เรียงรายอยู่บนแผ่นหลัง พร้อมกับท่อนแขน ผืนผ้าที่พาดอยู่บนหัวไหล่ถูกส่งต่อให้ชีชี “ขัดให้หน่อย เดินทางมาทั้งวัน เหนื่อยยิ่ง !”
แล้วเขาเหนื่อยได้คนเดียวหรือไงกัน ? เธอก็เหนื่อยเหมือนกัน ทว่า ท่านอ๋องก็คือท่านอ๋องอยู่วันยังค่ำ รู้เพียงตนต้องการสิ่งใด ทว่าไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่น หญิงสาวรับผืนผ้าเช็ดกายขึ้นขัดถูอย่างเชื่องช้า
“ดี นวดไหล่ให้หน่อย !” เสียงออกคำสั่งสำทับตามมา
“นวด ?” เธอจ้องผืนผ้าในมือ มันน่าเขวี้ยงใส่หัวอีตานี่ จับกดน้ำให้หนำใจสักที ! ทว่า คงได้เพียงคิด เมื่อเธอยังไม่ลืมตัวว่ายามนี้ตนเป็นเพียงนายทหารชั้นผู้น้อยที่ไร้ศักดิ์ไม่อาจปริปากร้องขอสิ่งใด หากยังทำตัวดื้อด้านเห็นทีหัวบนบ่าคงได้กลิ้งหลุน ๆ อยู่กับพื้นเป็นแน่ เช่นนั้นหญิงสาวจึงทำได้เพียงโยนผืนผ้าทิ้งไปด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด ก่อนจะยกมือขึ้นวางบนไหล่อีกฝ่าย และเริ่มนวดเฟ้นอย่างเบามือ
“มือเจ้านุ่ม สบายเสียจริง สงครามเสร็จสิ้นลงเมื่อใด เปิ่นหวางจะพาเจ้ากลับตำหนัก เจ้าจักได้ดูแลรับใช้เปิ่นหวางไปตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่เลยทีเดียว !”
“เพ้อ…” เธอบ่นพึมพำ
“เจ้าว่ากระไรนะ ?” หลิวจ่งเทียนหันมาจ้องชีชีด้วยสายตาพิกล
“อ้อ ! ข้าบอกว่า วิเศษไปเลย !” พร้อมรอยยิ้มเก้อ ๆ บนใบหน้า
ที่เธอเอ่ยกล่าวออกมาเมื่อครู่ เขาได้ยินชัดเต็มสองรูหู ชายหนุ่มได้เพียงหัวเราะรัว ไม่มีผู้ใดขัดความต้องการของเขาได้ รวมถึงเจ้าหนุ่มอัปลักษณ์ผู้นี้ด้วย
ท่านอ๋องหนุ่มถอนใจยาวพลางลุกขึ้นยืดท่อนแขนทั้งสองข้างออกอย่างไม่ทันบอกกล่าว ครั้นเมื่อบิดกายหันมาหาอีกฝ่าย เจ้าหนุ่มน้อยอัปลักษณ์กลับยกมือขึ้นปิดตาปี๋แล้ววิ่งพรวดพราดหนีออกไปในทันที เขาเพียงจะให้เจ้าหนุ่มรับใช้ข้างกายช่วยเช็ดตัวให้ ทว่าเพียงหันมาอีกฝ่ายก็ลุกลี้ลุกลนหนีไปเสียแล้ว ไยจู่ ๆ เจ้าหนุ่มนั่นถึงได้รีบหุนหันออกไปเช่นนี้ ?
***จบตอน มาขัดหลังให้เปิ่นหวาง***