ดูท่าคนผู้นั้นจะตกใจสุดตัว มันรีบเขวี้ยงผ้าติดไฟในมือโยนใส่กระโจมอย่างรวดเร็ว เช่นนี้เอง คิดจะเผาค่ายรึนี่ !
กระทั่งเว่ยชีชีเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็อดตกใจมิได้ หากผ้าชุบน้ำมันติดไฟชิ้นนี้ไปแตะกระโจมค่ายมันจะลุกลามอย่างรวดเร็ว ถึงตอนนั้นแม้จะช่วยกันดับไฟก็กลายเป็นเรื่องยากจนเกินความสามารถไปเสียแล้ว หญิงสาวไม่สนใจสิ่งใด เธอรีบกระโจนคว้าผ้าติดไฟซึ่งกำลังสะบัดพริ้วอยู่กลางอากาศก่อนจะรีบเขวี้ยงมันลงพื้น
แสงไฟฉุดกระชากความสนใจจากทหารเฝ้าเวรยาม เสียงเอะอะโวยวายดังอึงคะนึง ก่อนกลุ่มทหารจะรีบวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์
เมื่อชายชุดดำผู้นั้นเห็นแผนการล้มเหลวไม่เป็นท่า เขาก็รีบแทรกกายหลบหนีไปในความมืด ความเคลื่อนไหวของคนผู้นี้คล่องแคล่วว่องไว กระทั่งนายทหารที่เหลือมิอาจไล่ตามได้ทันจึงทำได้เพียงส่งเสียงร้องตะโกนโหวกเหวก
“รวดเร็วคล่องตัวถึงเพียงนี้ พวกเจ้าคิดว่าจะจับมันได้กระนั้นรึ ?” ฝ่าเท้าของชีชียังกระทืบผืนผ้าติดไฟบนพื้น ขณะสายตาของเธอกวาดมองเหล่าทหารตรงหน้าด้วยสีหน้าดูถูก
รองผู้บัญชาการหลิววิ่งเลิ่กลั่กเหนื่อยหอบเข้ามา “ที่นี่เกิดเรื่องใด ?”
“มีคนลอบวางเพลิง !” เธอตอบกลับด้วยท่าทีไม่ยี่หระใด จะอะไรกันหนักกันหนา กะอีแค่กระโจมหลังหนึ่ง
“วางเพลิง ? !” รองผู้บัญชาการหลิวหันขวับไปทางกระโจม
“ไม่ต้องจ้องนักหรอก ข้าดับไฟให้แล้ว”
“เว่ยชีชี !” ท่านรองหลิวหย่อนเข่าลงข้างหนึ่งในทันที “โปรดรับการคารวะจากข้า !”
เว่ยชีชีกระเด้งโหยง
“ลุกขึ้น คิดจะเล่นอันใดกันนี่ ? ข้ารับมิได้หรอกนะ !”
“ค่ายนี้เป็นที่เก็บเสบียง หากถูกวางเพลิงเสียแล้ว การเดินทัพในครานี้จะกลายเป็นความล้มเหลว อาจเรียกได้ว่าหายนะอย่างที่สุด ทั้งยังจะพลอยทำให้ท่านอ๋องสามต้องมาติดร่างแหไปด้วย !”
“ก็หากมันถูกเผาขึ้นมาจริง ๆ ท่านก็โยกเสบียงย้ายไปตั้งที่อื่นได้มิใช่รึ ?”
“ไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น หน่วยเสบียงจะเดินทางมาแค่เพียงครั้งในช่วงเวลา 2 เดือน กว่าจะถึงตอนนั้นทัพเราคงอ่อนล้าหมดแรง ทั้งยุ้งฉางคงร่อยหรอหมดสิ้น เมื่อนั้นจะทำการสู้รบเช่นไร ?”
ชีชีนึกขึ้นมาได้ทันที เธอลืมไปได้อย่างไรนี่ว่าการเดินทางในยุคสมัยนี้มิได้สะดวกสบายเหมือนโลกยุคใหม่ซึ่งมีทั้งรถไฟ และเครื่องบิน
“แม้เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องมาคารวะข้าเสียยกใหญ่เช่นนี้หรอก !”
“น้องเว่ย เจ้าคงยังไม่รู้ ที่ท่านอ๋องต้องเดินทัพมาเช่นนี้เพราะนี่คือคำสั่ง ท่านอ๋องสามทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญการศึกสงคราม พระองค์ทั้งกล้าหาญทั้งมีพระสติปัญญาหลักแหลม และด้วยเหตุนั้นพระองค์จึงเป็นพระโอรสที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงโปรดปรานยิ่งนัก ทว่านับแต่ฮ่องเต้สวรรคต และด้วยเหตุที่ท่านอ๋องสามทรงได้รับเกียรติยศทั้งยังสร้างผลงานไว้อีกมากมาย จึงมีผู้สร้างข่าวลือว่า ท่านอ๋องคิดขัดราชอำนาจหมายช่วงชิงราชบัลลังก์สถาปนาตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ เช่นนั้นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจึงทรงหวาดระแวง และมอบหมายให้ท่านอ๋องสามเดินทางมาปราบปรามพวกซุยงหนูด้วยพระองค์เอง ! หากการศึกครานี้ได้รับความแพ้พ่ายกลับไป ก็คงเพราะเจ้าพวกชั่วช้านั่นทำลายแผนการของเรา ทั้งเรื่องนี้จะกลับกลายเป็นภัยใหญ่หลวงต่อท่านอ๋องสามอีกด้วย”
“ถึงกระนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ รีบลุกขึ้นเร็ว !” เดิมทีเธอยังจ้องจะหาโอกาสสั่งสอนคนผู้นี้ให้หลาบจำ ทว่ามาเห็นเขากระทำเช่นนี้ กลับกลายเป็นเธอเสียเองที่รู้สึกลำบากใจ
รองผู้บัญชาการถูกชีชีดึงให้ลุกขึ้น เขายังกล่าวคำต่อด้วยน้ำเสียงติดสำนึกผิด
“ข้าเคยกล่าวหาว่าเจ้าเป็นหน่วยสอดแนม ทว่าเจ้าน้องชายกลับใจกว้างไม่คิดถือสา ข้าละอายแก่ใจยิ่งนัก !”
“ไม่ต้องมากพิธี ! ขอเพียงท่านไม่เห็นว่าข้าเป็นไส้ศึกก็เพียงพอแล้ว !” ยามนี้ชีชีสุขใจยิ่งนัก หากท่านรองหลิวผู้นี้ไม่คอยเกาะแกะหาเรื่องเธออีก ชีวิตคงสุขขึ้นอีกอักโข
“เจ้าคือผู้มีพระคุณของข้า หากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยการสิ่งใดขอจงเร่งกล่าวอย่าได้เกรงใจ !”
“จริงรึ ?”
“อย่างที่สุด คำไหนคำนั้น !”
“ขอแท่งเหล็กให้ข้าหน่อยสิ ! ยิ่งบางเท่าไรก็ยิ่งดี !” ชีชีนับเป็นสตรีผู้หนึ่งที่รู้กาลน้ำขึ้นให้รีบตัก ขอเพียงสามารถกลับคืนสู่โลกยุคปัจจุบัน แม้ต้องแลกมาด้วยสิ่งใดเธอก็พร้อมยอมทุ่มเท
“ขอข้าคิดดูก่อนว่าจะหาได้จากที่ใดกัน ? เป็นแท่งเหล็กบางคือใช้ได้ใช่หรือไม่ ?”
“ถูกต้อง !”
“เช่นนั้นข้าจะรีบหาให้เจ้าโดยเร็ว !”
รองผู้บัญชาการแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า “ผู้ใดจะรู้ได้ว่าฝั่งทัพท่านอ๋องจะเป็นเช่นไร ?”
“ปล้นค่ายซุยงหนูกลางดึกนี่มันสนุกไหมท่านรอง ?” ชีชีเอ่ยถามทั้งสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
“นี่คือสงคราม หาใช่สนามเด็กเล่นไม่ คือสถานที่ซึ่งทุกคนลงเดิมพันไว้ด้วยชีวิต เจ้ามันยังเด็กน้อยนัก !” รองผู้บัญชาการทอดถอนใจ ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความห่วงใยอย่างยิ่งในตัวท่านอ๋องผู้เป็นนาย เห็นทีอ๋องเลือดเย็นผู้นั้นยังพอจะมีลูกน้องที่ภักดีกับเขาอยู่บ้างเหมือนกัน
รองผู้บัญชาการยังไม่วางใจ จึงนำนายทหารออกเดินตรวจเวรยามอีกครา
เว่ยชีชีทอดตามองท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยหมู่ดวงดาราให้รู้สึกไปว่า ฐานะลูกพี่แห่งซวนเต๋อช่างไร้ค่าเมื่อต้องตกอยู่ ณ ที่แห่งนี้ หญิงสาวเดินคอตกกลับกระโจม และล้มแหมะลงนอนก่ายพื้น ให้ตายเถอะ ! เจ้าพรมนี้ก็ไม่สบายตัวเอาเสียเลย ครั้นเมื่อสายตากวาดไปเห็นเตียงนอนซึ่งอยู่หลังฉากบังตา… แหม่ ! ทิ้งให้เตียงนั่นต้องว่างเปล่าเดียวดายอยู่เช่นนี้ก็ดูจะเสียของใช่ที่
ว่าแล้วเธอก็ตัดสินใจเดินไปที่หลังฉากกั้น ล้มตัวลงแปะบนที่นอน แม้จะไม่นุ่มสบายเท่าที่ควร ทว่าก็ยังดีกว่าพรมปูพื้นแล้วกันน่า หญิงสาวรวบผ้าห่มนุ่มเข้ามากอด ความง่วงอย่างเต็มกำลังถาโถมเข้ามา กระทั่งเธอผล็อยหลับลงอย่างง่ายดาย
กว่าชีชีจะตื่นก็สายตะวันโด่ง เมื่อเธอคลานขึ้นจากเตียงจึงพบว่าหลิวจ่งเทียนกลับเข้ามาในกระโจมแล้ว ยามนี้เขากำลังนั่งเช็ดคราบโลหิตที่ติดอยู่บนปลายดาบอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ แววตาคู่นั้นบวมแดงคล้ายอดนอนมาทั้งคืน
“ท่าน กลับมาตั้งแต่เมื่อไร ?”
“เพิ่งกลับ !” เขาอ้าปากหาว พลางวางม้วนกระดาษในมือลงก่อนจะหันมาหาเธอ “ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าปีนขึ้นมานอนบนเตียงเปิ่นหวาง ?”
“แหม จะทิ้งให้มันว่างอยู่เฉย ๆ ก็น่าเสียดาย ซ้ำที่พื้นก็นอนไม่สบายเอาเสียเลย ! อะ ! คืนเตียงให้ท่านก็ได้ !” เธอกระโดดลงจากเตียงพลางหันไปมองที่พื้นด้วยอาการเจี๋ยมเจี้ยม
“ถือเป็นรางวัลสำหรับวีรกรรมเมื่อคืนของเจ้า ครั้งนี้เปิ่นหวางจะไม่ตำหนิ !”
“ข้าหรือ ? เมื่อคืน ?” ครั้นเธอหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าท่านรองหลิวต้องเป็นผู้รายงานต่อท่านอ๋องเป็นแน่ ท่าทางเรื่องบังเอิญครานี้คงทำให้เธอสามารถปลดเปลื้องภาพลักษณ์การเป็นหน่วยสอดแนม อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากกองทัพขึ้นมาบ้างแล้วสิเนี่ย
***จบตอน ผู้ใดให้เจ้าปีนขึ้นเตียงเปิ่นหวาง***