ชีชียกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าจึงรู้สึกถึงร่องรอยแผลเป็นที่น่ากลัวอันผุดพรายขึ้นทั่วผิวหน้า เธอหันไปถามท่านรองหลิวด้วยความฉงน “ข้าอัปลักษณ์ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?”
“ถูกต้องที่สุด !”
“พอแล้ว ๆ ออกไปกันให้หมด เปิ่นหวางยังมีรายงานรอตรวจอยู่” เขารีบห้ามทัพเล็กของสองหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่ พลางหันไปหาชีชี “มาฝนหมึก !”
รองผู้บัญชาการพานายทหารออกไป ส่วนชีชีก็เดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของหลิวจ่งเทียน ฝนหมึก ? เคยเห็นแต่ในซีรีย์ เพิ่งได้เห็นของจริงก็วันนี้ล่ะ
ขณะกำลังขูดฝนน้ำหมึกเธอก็มัวแต่ปลื้มปลิ่มยินดีซาบซึ้งใจอยู่กับหินฝนหมึก นี่มันสมบัติโบราณที่หาได้ยากยิ่ง แม้ท่านปู่จะชอบสะสมของโบราณ ทว่าไม่มีสิ่งใดเทียบกับสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ได้เลย หากเธอสามารถคว้ามันกลับไปได้ ท่านปู่จะต้องดีใจอย่างมากเป็นแน่
ขณะที่ท่านอ๋องหนุ่มกำลังตรวจรายงานการศึกอยู่นั้น สายตาของเขาพลันเหลือบไปเห็นฝ่ามือของหนุ่มน้อยผู้กำลังฝนหมึกอย่างตั้งใจ ความเคลือบแคลงสงสัยผุดขึ้นในใจ
“มือเจ้าไม่เหมือนคนทำการค้า นิ้วเจ้าเรียบเนียนเรียวบางอีกทั้งยังขาวนวลดุจหิมะ เรื่องที่เจ้าเล่าเมื่อครู่นั้นโป้ปด”
ยังมิทันที่ชีชีจะตอบคำ อีกฝ่ายก็คว้ามือไปกุมไว้ ฝ่ามือท่านอ๋องหนุ่มทั้งกว้างใหญ่ทั้งทรงพลัง อุ้งมือของเธอถูกรั้งไว้ในฝ่ามือของเขา ชายหนุ่มจับจ้องมองอย่างละเอียดลออ นี่มัน มือของอิสตรีโดยแท้ ! ไม่เพียงเท่านั้น ย่อมต้องเป็นลักษณะมือของคุณหนูแรกรุ่นผู้สูงส่งในตระกูลผู้ดีอีกด้วย
ท่านอ๋องอย่างเขาย่อมต้องพบพานอิสตรีมากหน้าหลายตา หากทว่าไม่มีอุ้งมือของสตรีใดสามารถเทียบได้กับฝ่ามือของชีชี ไยบุรุษจึงมีฝ่ามือที่งดงามถึงปานนี้ ?
ชีชีรีบแก้ตัวด้วยท่าทีขัดเขิน “อันที่จริงข้ามักป่วยกระเสาะกระแสะมานับแต่เยาว์วัย เช่นนั้นรูปร่างจึงอ่อนแอผ่ายผอม ดูเอาเถิด กระทั่งยามนี้ร่างกายของข้าก็ยังคงเฉกเช่นเดิม ข้าจึงทำอะไรได้ไม่มากเท่าไรนัก”
“เช่นนั้นจริงรึ ?” หลิวจ่งเทียนยอมปล่อยมืออีกฝ่าย เขายังคงยังไม่เชื่อคำในทุกสิ่งที่ได้ฟังผ่านหู เพราะหนุ่มน้อยผู้นี้อาจเป็นหน่วยสอดแนมของซุยงหนูจริง สำหรับเขาแล้วเพียงคิดว่าหนุ่มน้อยเป็นคนแปลกยิ่งนัก ยิ่งโดยเฉพาะแววตาคู่นั้นยังสร้างความกังขาให้เขารู้สึกเคลือบแคลงใจ
“ไม่ต้องฝนหมึกแล้ว ไปจัดเตรียมที่นอนได้แล้ว ข้าจะเอนหลังสักครู่”
หญิงสาวเดินหลีกมาอย่างว่าง่าย ด้านหลังฉากกั้นนั้นคือผืนผ้ายาวปักลวดลายดอกบัว และเตียงนอนหนาที่ดูแข็งแรง อ้อ อ๋องสามผู้นั้นนอนบนเตียงหลังนี้เอง หากจะเปรียบกับเตียงนอนขนาดใหญ่ที่ทั้งนุ่ม และแสนสบายของเธอแล้วนับว่าต่างกันราวสวรรค์กับผืนดิน เห็นทีกระทั่งเตียงนอนแห่งองค์ฮ่องเต้ก็อาจเป็นเช่นนี้ดุจกันกระมัง
“มองอันใด ?”
เสียงเอ็ดของหลิวจ่งเทียนที่ดังขึ้นจากด้านหลังส่งให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวด้วยความแตกตื่นตกใจ เธอรีบหันกลับมาพร้อมชี้ไปที่เตียง
“เช่นนี้ใช้ได้ไหม ?”
“ได้ ! มาช่วยเปิ่นหวางปลดอาภรณ์ !” เขาเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าชีชี
ใบหน้าของเธอแดงก่ำกระทั่งแทบกลับกลายเป็นความโกรธเกรี้ยวด้วยการร้องขอเช่นนี้ หากทว่าเธอย่อมพึงสังวรตนไว้เสมอว่ายามนี้เธอเปนเพียงเบี้ยกระจอกที่ทำหน้าที่อารักขาท่านอ๋องเท่านั้น เธอในยามนี้หาใช่เว่ยชีชีผู้สามารถกระทำทุกสิ่งได้ตามประสงค์ไม่ จำต้องอดทน หาไม่แล้วแม้ชีวิตก็จะต้องสิ้นสูญ ทั้งจะไม่เหลือโอกาสกลับคืนสู่ยุคเดิมของตนเองอีกด้วย
ชีชีค่อย ๆ ถอดชุดคลุมของอีกฝ่ายออกด้วยท่าทีอิดออด เธอก้มหน้างุดหลุบสายตาลงต่ำเลี่ยงสายตามองไปทางอื่นด้วยใจที่เต้นโครมคราม ไม่กล้าเผชิญกับใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษเบื้องหน้า นอกจากท่านพ่อกับท่านปู่แล้ว เธอไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดมากถึงเพียงนี้มาก่อน
“มัวแต่มองทางโน้นทีทางนั้นทีอยู่นั่น เมื่อไรจะปลดอาภรณ์เสร็จ ? ไป ไป ! เปิ่นหวางทำเอง !” เขาปัดมือเธอออกพลางชี้นิ้วไปที่พื้นหลังฉากบังตาซึ่งอยู่นอกส่วนที่นอนของตน “เจ้าไปนอนตรงนั้น ! กลางดึกจะได้เรียกใช้สะดวก”
“ให้ข้านอนที่พื้นเนี่ยนะ ? !” ชีชีประท้วงขึ้นทันควัน มันเหลือเชื่อจนเกินไป
“ไม่นอนที่พื้น เช่นนั้นเจ้าจะนอนที่ใด ?”
หญิงสาวชี้ไปที่เตียงนอนของเขา “ข้าจะนอนตรงนั้น ส่วนท่านก็ไปนอนที่พื้นแล้วกัน !”
เป็นครั้งแรกที่หลิวจ่งเทียนพบเจอคนคิดประหลาดเช่นนี้ เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้กล้าชี้นิ้วสั่งให้ท่านอ๋องอย่างเขาลงไปนอนกับพื้น ! เห็นที เว่ยชีชีผู้นี้จะเบื่อที่จะต้องมีชีวิตอยู่เสียกระมัง ยามนี้ชีชีทำให้ท่านอ๋องสามเกรี้ยวกราดขึ้นมาแล้วจริง ๆ
“เจ้าท่าจะขวัญกล้ามิเบา ถึงกับกล้าขึ้นนอนบนที่นอนของเปิ่นหวางเชียวรึ ?” เขาคว้าปลายคางเธอกุมแน่น แม้ชีชีจะรู้สึกเจ็บยิ่งนักทว่ากลับไม่กล้าส่งเสียง หญิงสาวได้เพียงจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่พอใจ
กะอีแค่เตียงนอนห่วย ๆ หากมิใช่เพราะเธอไม่เหลือตัวเลือกใดล่ะก็ กระทั่งหางตาเธอยังไม่อยากจะแลมันด้วยซ้ำ
***จบตอน หนุ่มน้อยมืองาม***