px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 42 ที่ว่างสุดท้ายต้องเป็นของข้า!


 


         จัตุรัสกลางเมืองเทียนอวี่เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน พื้นที่ทั้งหมดถูกปิดล้อมและถูกแทนที่ด้วยลานประลองทั้งหนึ่งร้อยห้าแห่ง
 


         สำนักจิตอสูรไม่ได้ไปเยือนทุกเมือง ในความเป็นจริง มันนานกว่าศตวรรษที่สำนักจิตอสูรมายังเมืองเทียนอวี่เพื่อเปิดรับสมัครศิษย์ สำหรับเมืองเล็กๆแห่งนี้ ช่วงเวลาไม่กี่วันของการแข่งขันคือโอกาสอันยิ่งใหญ่ มันคึกคักเสียยิ่งกว่างานเทศกาลดาราสวรรค์ที่จัดขึ้นทุกปีเสียอีก
 


         ตัวแทนทั้งสามที่มาจากสำนักจิตอสูร มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เผยตัวในวันนี้ แล้วยังมีรองแม่ทัพผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเจ้าเมืองเทียนอวี่, จีเทียน

 

 

         จีเทียนได้กล่าวสุนทรพจน์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่ารุ่นเยาว์ หลังจากเสร็จสิ้นการเปิดงานในตอนเที่ยง จำนวนผู้เข้าร่วมทั้งหมดก็พุ่งทะยานไปถึงสองพันห้าร้อยคน!
 


         เจียงอี้ไม่ได้อยู่ในงานเปิดพิธี ปัจจุบันตัวเขายังคงค้นคว้าทักษะต่อสู้แบบใหม่ในโถงวรยุทธอยู่
 


         “ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้!”
 


         เขายืนอยู่หน้ากำแพงสีดำพร้อมกับหลับตาลง ในขณะเดียวกันเจียงอี้ก็เริ่มเหนี่ยวนำแก่นแท้พลังและส่งผ่านไปยังเส้นลมปราณ หลังจากโคจรครบสิบสามรอบ ปริมาณแก่นแท้พลังของเขาก็หายไปถึงสองในสามส่วน

 

 

         จากนั้นเจียงอี้ก็โยกย้ายแก่นแท้พลังไปสู่ฝ่ามือ ทันใดนั้นเองดวงตาของเขาก็เบิกโพลงพร้อมกับกระแทกฝ่ามือไปยังกำแพงสีดำที่อยู่ตรงหน้า
 


         ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!
 

 

         เสียงระเบิดห้าครั้งดังติดต่อกัน ดวงตาของเจียงอี้ส่องประกายแต่ไม่นานนักเขาก็ขมวดคิ้ว

 


         “นี่มันไม่ถูกต้อง ข้ามั่นใจว่าข้าฝึกฝนทักษะฝ่ามือระเบิดแก่นแท้พลังสำเร็จแล้วอย่างแน่นอน แต่ทำไมพลังทำลายของมันถึงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย? ตามตำราไม่ใช่ว่ามันจะมีพลังเพิ่มขึ้นสามเท่าหรอกหรือ? เป็นไปได้ไหมว่าตำราเล่มนี้จะมีปัญหา? หรือว่าข้าเข้าใจอะไรผิดไป?”
 


         กำแพงสีดำคือหินทดสอบพลัง ที่ตระกูลเจียงเองก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหินทดสอบพลังของโถงวรยุทธซึ่งไม่น่าจะเกิดข้อผิดพลาด แต่มันกลับปรากฏวงแหวนขึ้นเพียงแค่ห้าวงเท่านั้น ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงพละกำลังที่เทียบเท่ากับม้าห้าตัว
 


         แม้ว่าเจียงอี้จะไม่ได้ออกแรงจนสุดกำลัง แต่ก็ถือว่าเป็นพลังจำนวนมากอยู่ดี ถึงอย่างนั้นมันก็ยังอยู่ห่างไกลจากที่เขาคาดหวังไว้มาก


         หลังจากที่พึมพำกับตัวเองอยู่ชั่วครู่ เจียงอี้ก็โคจรแก่นแท้พลังและโจมตีไปที่กำแพงอีกครั้ง กำแพงสีดำสั่นสะเทือนในเวลาเดียวกันก็ปรากฏวงแหวนออกมาสี่วง

 

 

         ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาคือขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่และมีพละกำลังเทียบเท่ากับม้าสี่ตัวซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าหินทำสอบพลังไม่ได้มีปัญหาใดๆ
 


         เช่นนั้นคงต้องลองใช้แก่นแท้พลังสีดำแล้ว!
 


         เจียงอี้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่อาจหาข้อผิดพลาด เขารวบรวมส่วนหนึ่งของแก่นแท้พลังจากตันเทียนและผสานมันเข้ากับแก่นแท้พลังสีดำ จากนั้นก็ไหลเวียนพวกมันไปยังฝ่ามือก่อนที่จะกระแทกไปที่กำแพง
 


         ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!
 


         หินทดสอบพลังสั่นสะเทือน จากนั้นไม่นานก็ปรากฏวงแหวนขึ้นมาแปดวง เมื่อแน่ใจแล้วว่ามันคือจำนวนคงที่ ดวงตาของเจียงอี้ก็เผยให้เห็นถึงความผิดหวัง
 


         พละกำลังเทียบเท่ากับม้าแปดตัว!
 


         การผสานแก่นแท้พลังสีดำเข้ากับฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ทำให้พลังทำลายเพิ่มขึ้นจากเดิมสองเท่าซึ่งเทียบเคียงได้กับการโจมตีของผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปด แต่ผลลัพธ์นี้ช่างอยู่ห่างไกลจากที่เขาคาดคิดไว้มากนัก

 

 

         เนื่องจากสิ่งที่เพิ่มขึ้นมีเพียงพละกำลัง แต่ความเร็วและพลังป้องกันของเจียงอี้ยังอยู่ห่างจากผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปดที่แท้จริงอีกหลายช่วง หากไม่ใช่เพราะดวงตาของเขาถูกเสริมพลังโดยแก่นแท้พลังสีดำซึ่งทำให้ปฏิกิริยาการตอบสนองรวดเร็วขึ้น เขาคงไม่กล้าที่จะเข้าร่วมพิธีเปิดรับศิษย์ในครั้งนี้
 


         แม้ว่าเจียงอี้จะเคยประมือกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปดรวมไปถึงขั้นที่เก้าอย่างเจียงเฮิ่นซุ่ย แต่ในกรณีนั้นแก่นแท้พลังของทั้งสองฝ่ายได้ถูกผนึกไว้ ยิ่งไปกว่านั้นเจียงเฮิ่นซุ่ยก็ทำเพียงแค่หลบหลีกไปมาโดยไม่ตอบโต้ แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาตอบสนองของเจียงอี้จะน่ากลัวเช่นนี้ หากเจียงเฮิ่นซุ่ยใช้แก่นแท้พลังแล้วล่ะก็ คงเป็นเจียงอี้ที่ต้องตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถแทน

 

         มันผิดพลาดตรงไหนกันแน่?
 


         เจียงอี้ลดศีรษะลงและพิจารณาอยู่นาน เขาหลอมรวมแก่นแท้พลังสีดำเข้ากับแก่นแท้พลังสีน้ำเงิน แต่เขาก็ตระหนักได้ว่ามันเพิ่มพลังให้เขาจนมีพละกำลังเทียบเท่ากับม้าเพียงแค่เจ็ดตัวเท่านั้น เขาในตอนนี้เริ่มเข้าใจบางอย่างมากขึ้น เนื่องจากระดับการบ่มเพาะพลังที่สูงขึ้น การเพิ่มพลังจากแก่นแท้พลังสีดำก็ยิ่งด้อยประสิทธิภาพลง

 

 

         ดูเหมือนว่าความคิดในตอนแรกของเจียงอี้ที่ว่าการผสานแก่นแท้พลังสีดำเข้ากับฝ่ามือระเบิดแก่นแท้จะทำให้เขามีชัยเหนือผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งทุกคนนั้น ดูท่าจะไร้เดียงสามากเกินไป
 


         “ข้าไม่ควรคิดให้มากความ การแข่งขันกำลังจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ ดูเหมือนว่าชะตากรรมของข้าคงขึ้นอยู่กับความเมตตาจากสวรรค์เสียแล้ว”
 


         เจียงอี้เดินกลับไปยังห้องพักด้วยสีหน้ามืดมนและมุ่งสมาธิไปยังการบ่มเพาะพลังแทน ในบางครั้งเขาก็ยังพยายามที่จะพิจารณาฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ไปพร้อมกันโดยหวังว่าจะค้นพบอะไรใหม่ๆ แต่จวบจนยามราตรีมาเยือน เขาก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจอะไรเพิ่มเลย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่เข้านอนเพื่อรอวันใหม่
 


         เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงอี้ตื่นนอนและทานอาหารเช้าแบบง่ายๆก่อนที่จะออกจากห้อง สีหน้าของเขายังคงแสดงให้เห็นถึงความผิดหวัง แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
 


         “หมาป่าเดียวดาย พยายามให้เต็มที่ล่ะ!”
 


         ระหว่างทาง เสียงที่ดูมีอายุก็ดังมาจากด้านหลัง หัวใจของเจียงอี้รู้สึกอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยเขาหันหลังกลับไปและพยักหน้าให้กับผู้ดูแลหยาง
 


         เมื่อก้าวออกจากโถงวรยุทธ เจียงอี้ก็เห็นผู้คนจำนวนมากเดินขวักไขว่ไปมา แม้ว่าการแข่งขันจะยังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการก็ตาม
 


         เจียงอี้ผู้ซึ่งสวมหน้ากากหมาป่าได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนในทันที ปัจจุบันชื่อเสียงของ ‘หมาป่าเดียวดาย’ โด่งดังมากในเมืองเทียนอวี่ ผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อยที่พยักหน้าให้เขาเป็นการทักทาย ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เจียงอี้ได้กลายเป็นคู่ซ้อมประลองยุทธให้กับคนอย่างน้อยหนึ่งถึงสองร้อยคน พวกเขาส่วนใหญ่ต่างมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดดังนั้นมันจึงทำให้พวกเขามีความประทับใจในตัวเขา
 


         เจียงอี้ยืนอยู่เงียบๆ เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนในจัตุรัสก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ใจกลางของจัตุรัสมีลานประลองอยู่หนึ่งร้อยห้าแห่ง เขาคอยสังเกตผู้คนรอบๆเป็นครั้งคราว บางครั้งเขาก็มองเห็นเพื่อนเก่าอย่าง อี้หลิงเสวี่ยและอี้หลงยวี รวมไปถึงหม่าเฮยฉี, หลิ่วเหอและเจียงกู้ซุ่ย แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อไม่พบเจียงเฮิ่นซุ่ย, จีทิงยวี่ หรือ เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยน


         “ว้าว!”

 


         แต่จู่ๆเจียงอี้ก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นจากทางทิศตะวันออกซึ่งดึงดูดความสนใจจากเขา เมื่อหันไปมอง เขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามา ด้านหน้าสุดนำมาด้วยชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีเทาอันหรูหรา ดูแล้วเขามีความสูงเท่ากับเจียงหยูหลงแต่ดูมีสัดส่วนรูปร่างที่แข็งแรงกว่า พร้อมทั้งยังแผ่กลิ่นอายพิเศษ ในบางจังหวะเขาจะหันไปพูดคุยกับคนที่สวมชุดทีขาวทั้งสามคนรวมไปถึงชายที่มีท่าทางคล้ายกับทหารซึ่งสวมชุดออกศึกสีดำ
 


         ท่านเจ้าเมืองจี? แล้วสามคนนั้นที่สวมชุดสีขาวใช่ตัวแทนจากสำนักจิตอสูรหรือไม่? อืม… แต่พวกเขาช่างดูเยาว์วัยและงดงามยิ่งนัก!
 


         ดวงตาของเจียงอี้ ไม่สิ… ดวงตาของบุรุษเพศทั้งหมดจับจ้องไปยังตัวแทนที่เป็นสตรีของสำนักจิตอสูร นางดูแล้วจะมีอายุราวๆยี่สิบปี มันคือช่วงอายุที่หญิงสาวจะสูญเสียรูปลักษณ์อันไร้เดียงสาและก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เรือนร่างของพวกนางจะพัฒนาและเติบโตอย่างเต็มที่ นางยังมีใบหน้าอันงดงามไม่ด้อยไปกว่าจีทิงยวี่ แต่ก็ยังเผยให้เห็นถึงความเย็นชา
 


         นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงอี้เห็นผู้หญิงที่แสดงออกอย่างเย็นชาแม้ในยามที่หัวเราะก็ตาม พวกเขาอยู่ห่างจากกันครึ่งจัตุรัส แค่เจียงอี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกจากหญิงสาวที่ราวกับถูกสร้างจากน้ำแข็ง
 


         จีเทียนนำแขกของเขาขึ้นไปยังบริเวณของแขกผู้มีเกียรติและก้าวเข้าสู่ศาลาอันงดงาม เหล่าทหารยามของเมืองเทียนอวี่กระจายกำลังและเข้าดูแลตามพื้นที่ของผู้ชมรวมไปถึงลานประลองทั้งหนึ่งร้อยห้าแห่ง

        
         จากอีกด้านหนึ่ง มีคนอีกกลุ่มกำลังเดินเข้ามายังจุดของผู้รับชมการประลองซึ่งทำให้ม่านตาของเจียงอี้หดแคบลง พวกเขาคือผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเจียง ส่วนคือที่เหลือก็เห็นได้ชัดว่าเป็นบุคคลสำคัญของสามตระกูลใหญ่



         “พิธีเปิดรับศิษย์ของสำนักจิตอสูรจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้!”
 


         ชายผู้ซึ่งดูเต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ผู้หนึ่งก้าวออกมายังใจกลางผู้คนและโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบ จากนั้นเขาก็กวาดสายตาไปมองรอบๆและกล่าว

 

 

         “ก่อนที่การแข่งขันแบบแพ้คัดออกจะเริ่มขึ้น ตามประเพณีของเรา มีใครที่ต้องการจะอาสาประลองในการแข่งแบบนัดเดียวตกรอบเพื่อประเดิมการแข่งขันหรือไม่? หากไม่มี การแข่งขันแบบแพ้คัดออกจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ ข้าจะทำการประกาศหมายเลข จากนั้นผู้ที่ถูกประกาศหมายเลขจงขึ้นมาบนลานประลองและทำการต่อสู้ได้เลย หากผู้ใดไม่ขึ้นมาจากถือว่าสละสิทธิ์”
 


         ในเวลานี้ผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ต่างก็ตื่นเต้น การแข่งขันในครั้งนี้สามารถพลิกชะตาของพวกเขาได้เลย ณ จุดรองรับแขกผู้มีเกียรติ ไม่เพียงแค่ตัวแทนทั้งสามจากสำนักจิตอสูรเท่านั้น แต่ยังมีเหล่าแม่ทัพจากกองทัพทหารตะวันตก ในบริเวณใกล้เคียงนั้นยังมีสมาชิกอีกจำนวนนับไม่ถ้วนจากตระกูลใหญ่จากเมืองอื่น แม้ว่าจะไม่สามารถกลายเป็นศิษย์ของสำนักจิตอสูรได้แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะได้รับเลือกจากขั้วอำนาจอื่นที่อยู่รองลงมา
 


         การแข่งขันแบบนัดเดียวตกรอบเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการแข่งขัน นั่นเป็นเพราะพวกเขาจะได้แสดงความสามารถให้กับผู้เข้าชมทั้งหมดได้เห็น แต่ก็ไม่มีใครกล้าหาญมากพอที่จะทำเช่นนั้น ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่เข้าร่วมจะต้องชนะการต่อสู้หนึ่งร้อยครั้งซึ่งหมายความว่าจะต้องประลองอย่างน้อยสิบยกต่อวันและหากพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียวก็จะถูกคัดออกทันที

 

 

         หากผู้ใดกล้าที่จะลอง เขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับผู้แข่งขันอันน่าเกรงขามที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อบดขยี้คนผู้นั้นให้พ่ายแพ้ มิฉะนั้นพวกเขาจะสูญเสียที่ว่างสำหรับการเข้าเป็นศิษย์ของสำนักจิตอสูรไป หากคนผู้นั้นชนะครบหนึ่งร้อยยก
 


         เจียงอี้เองก็ไม่ได้โง่เขลาขนาดนั้น การแข่งขันแบบแพ้คัดออกมีพื้นฐานมาจากการสุ่มจับคู่ซึ่งทำให้แต่ละกระบวนการเป็นไปด้วยความเชื่องช้า แต่ก็ไม่ได้ยากเย็นจนเกินไป นอกเสียจากว่าเขาจะโชคร้ายหากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีความแข็งแกร่งจนน่ากลัว แต่ก็ยังดีกว่าการแข่งขันแบบนัดเดียวตกรอบ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งขึ้นในทุกครั้งที่ประลอง
 


         “ข้าจะเข้าร่วมการแข่งขันแบบนัดเดียวตกรอบ!”
 


         ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงที่ฟังดูไพเราะและอ่อนโยนก็ดังมาจากทางทิศตะวันออกของจัตุรัส จากนั้นร่างเงาสีเหลืองร่างหนึ่งก็กระโจนออกมาจากฝูงชนและร่อนลงบนเวทีราวกับผีเสื้อ
 


         จีทิงยวี่!
 


         ในสายตาของบุรุษนับไม่ถ้วน นางคือหญิงสาวที่งดงามที่สุดใสเมืองเทียนอวี่และยังเป็นสาวงามในดวงใจของใครหลายๆคน
 


         “ฮ่าฮ่าฮ่า!”
 


         ในเวลาไล่เลี่ยกัน เสียงหัวเราะที่ไร้ซึ่งความกังวลก็ดังขึ้นมาจากฝั่งของผู้ชม เห็นได้ชัดเลยว่าจีเทียนภูมิใจและชื่นชมลูกสาวของตัวเองมาก
 


         “ฮ่าๆๆ ข้าเองก็ขอร่วมด้วยคน!”
 


         ร่างเงาสีขาวร่างหนึ่งกระโจนออกมาจากฝูงชน ร่างของเขาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศชั่วครู่ก่อนที่จะร่อนลงบนเวที เขายิ้มเล็กน้อยและโค้งคำนับอย่างสุภาพให้กับผู้ที่มาชมการแข่งขัน
 


         เจียงเฮิ่นซุ่ยปรากฏตัวแล้ว!
 


         โดยไม่ทันที่เจียงอี้จะได้ตั้งตัวก็มีร่างอันใหญ่โตพุ่งขึ้นไปบนเวทีราวกับกระสุนปืนใหญ่พร้อมกับดาบยักษ์สีทองที่ถูกสะพายอยู่บนหลัง แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากหญิงถึกเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยน!
 


         ก่อนที่ฝูงชนจะได้ทันตอบสนองอีกครั้ง ร่างเงาสีน้ำเงินก็กระโจนออกมาจากกลุ่มคน ร่างของเขาดูกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมและมีปฏิกิริยาการตอบสนองของเขารวดเร็วไม่แพ้เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนและคนอื่นๆเลย



         “หืมม…”

 


         ความโกลาหลระเบิดขึ้นกลางจัตุรัส ส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่มีใครรู้ว่าผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินผู้นี้เป็นใคร แต่ที่แน่ๆ ระดับพลังของเขาต้องไม่ต่ำกว่าขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปด บางทีอาจจะเป็นขั้นที่เก้าเสียด้วยซ้ำ
 


         ที่ว่างสำหรับการเข้าเป็นศิษย์ของสำนักจิตอสูรมีเพียงแค่ห้าที่เท่านั้น และมีถึงสี่คนที่เข้าร่วมการแข่งขันแบบนัดเดียวตกรอบ หากพวกเขาแต่ละคนเอาชนะการประลองทั้งหนึ่งร้อยยกได้ ก็จะเหลือที่ว่างเหลืออีกเพียงที่เดียวเท่านั้น แต่ผู้แข่งขันทั้งหมดมีถึงสองพันกว่าคน….
 


         บัดซบ!!
 


         เจียงอี้ตื่นตระหนก คนทั้งสี่ถือว่าเป็นตัวเต็งของการแข่งขันและมีโอกาสที่จะชนะการประลองทั้งหนึ่งร้อยรอบ ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น จะยังมีที่ว่างเหลือให้เขาอยู่อีกหรือไม่? แล้วเขาจะเอาชนะการแข่งขันได้อย่างไร?
 


         ฟุ้ววว!
 


         จากหางตาของเจียงอี้ เขามองเห็นอีกร่างเงาหนึ่งกำลังพุ่งตรงไปยังเวทีและสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาตื่นตระหนกมากที่สุด! หากที่ว่างทั้งห้าถูกผู้อื่นยึดไป เขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะทาสของโถงวรยุทธ!
 


         ที่ว่างสุดท้ายต้องเป็นของข้า!

 

 

         โลหิตถูกสูบฉีดเข้าสู่สมองของเจียงอี้ เขาคำรามจากนั้นทะยานไปบนเวทีด้วยความเร็วทั้งหมดที่มีและดูเหมือนว่าเขาจะเร็วกว่าอีกฝ่ายอยู่ก้าวหนึ่ง…
 

รีวิวผู้อ่าน