px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 38 หลบหนี


ในค่ำคืนที่เย็นราวกับสายน้ำ เจียงอี้รักษาบาดแผลของเขาจนถึงเที่ยงคืน แผลบนไหล่ซ้ายของเขาเกือบฟื้นตัวเต็มที่แล้ว แต่ขาที่หักของเขานั้นไม่สามารถฟื้นตัวได้ในขณะนี้ เม็ดยาที่ชุนหยาซื้อมานั้นเป็นเพียงระดับมนุษย์ขั้นกลางเท่านั้นและเขากินมันเพียงเม็ดเดียว แม้ว่าหลังจากเสริมด้วยแก่นแท้พลังสีดำ มันก็เพิ่งจะรักษาบาดแผลของเขาให้อยู่ภายใต้การควบคุมได้

ในตอนกลางคืน ภายนอกนั้นไม่มีอะไรนอกจากความเงียบ หลังจากวันแห่งความวุ่นวายผ่านไป ในที่สุดตำหนักเจียงก็อยู่ในความสงบและในที่สุดดวงตาของเจียงอี้ก็ลืมตาขึ้น

เขาพยายามยืนแล้วลากขาที่หักเข้าไปในห้องโถงด้านใน เขาหยิบเนื้อตากแห้งมาและเคี้ยวมันในขณะที่ดื่มน้ำสะอาด หลังจากที่เขากินเสร็จ เขาก็หมุนเวียนแก่นแท้พลังสีดำเข้าสู่เส้นปราณไปใกล้ๆหูซ้ายของเขาเพื่อเพิ่มความสามารถในการได้ยินของเขา

หลังจากฟังได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว ให้แน่ใจว่าไม่มีใครซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ๆเพื่อสอดแนมเขา เขาฉีกผ้าสองสามชิ้นจากผ้าปูที่นอนแล้วใช้ไม้กระดานดามขาไว้ จากนั้นเขาก็ออกไปข้างนอกด้วยกิ่งไม้ที่หักมาตอนนั้น

เขาทำลายขาของตัวเองต่อหน้าทุกคนและสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ในวันนี้ แม้ว่าตระกูลเจียงตั้งใจจะวางแผนและสังหารเขา พวกเขาจะยังคงไม่ทำมันภายในวันสองวันนี้หรอก หากเขาต้องการที่จะหนีออกจากตระกูลเจียง คืนนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ไม่เช่นนั้น เขาจะไม่มีโอกาสอีกต่อไปเมื่อมีคนแอบติดตามเขา

ประตูทางทิศตะวันตกมีทหารยามรักษาการณ์และตำหนักตะวันตกก็มีทหารยามลาดตระเวนด้วยเช่นกัน ถ้าขาของเจียงอี้แข็งแรงดีเขาก็จะสามารถหลุดรอดออกไปได้อย่างง่ายดาย

ทหารยามลาดตระเวนไม่ได้อุทิศให้กับหน้าที่ของพวกเขาขนาดนั้น เพราะไม่ว่ายังไงตระกูลเจียงนั้นถือว่าเป็นตระกูลใหญ่และมีอิทธิพล โจรธรรมดาคงไม่กล้ามาเข้าที่ตำหนักตระกูลเจียงอยู่แล้ว

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เจียงอี้ใช้พลังงานอย่างมากเพื่อไปให้ถึงกำแพงตำหนักตะวันตก เขาไม่กล้าออกไปที่ประตูตะวันตก ซึ่งหมายความว่าเขาจะต้องออกไปข้างนอกด้วยการแอบปีนกำแพง

แก่นแท้พลังสีดำ!

เมื่อมองไปที่กำแพงที่มีความสูงเกือบเจ็ดเมตร เจียงอี้ก็กัดฟันของเขาและหมุนเวียนแก่นแท้พลังสีดำไปที่ขาขวาของเขา จากนั้นเขาก็กระโดดทันทีและพุ่งตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาคาบกิ่งไม้ไว้ที่ปากของเขาและหมุนเวียนแก่นแท้พลังบนฝ่ามือทั้งสองของเขาเพื่อที่จะจับบนผนังได้อย่างรวดเร็ว เขายืมพลังมาใช้เพื่อปีนขึ้นไปบนกำแพง

"ปัง!"

ในที่สุดร่างของเขาก็อยู่ห่างจากกำแพงอีกเพียงสองเมตร เมื่อเริ่มสูงขึ้นเขาก็หยิบมีดที่เขาคว้ามาจากหม่าเฟยออกมาและแทงมันเข้าไปที่กำแพง จากนั้นเขาก็ดึงตัวเองเพื่อข้ามกำแพงไปและเริ่มหาทางลง

การปีนขึ้นกำแพงนั้นเป็นเรื่องง่าย สิ่งที่ยากกว่าก็คือการหาวิธีลงมา ร่างกายของ เจียงอี้กำลังจะตกลงไปที่อีกฝั่งอย่างกะทันหัน ขาข้างหนึ่งของเขาบาดเจ็บสาหัสซึ่งมันทำให้เขาสูญเสียความสมดุลโดยสิ้นเชิง

ด้วยความกลัวว่าเขาจะทำให้อาการบาดเจ็บที่ขาซ้ายของเขาแย่ลง เขาสามารถทำได้เพียงลงด้วยขาขวาก่อนแล้วจับข้างที่บาดเจ็บไว้แล้วจากนั้นก็หมุนตัวและตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

"อึก…"

เจียงอี้ประคองอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องขาที่บาดเจ็บของเขา แต่คงช่วยไม่ได้เรื่องการกระแทก ความเจ็บปวดทำให้เขาปะทุด้วยเหงื่อที่เย็นเยียบและทำให้ร่างกายของเขาบิดเบี้ยวเกินกว่าจะควบคุมได้ เขาหยุดพักครู่หนึ่งและยืนขึ้นทันทีด้วยกิ่งไม้และพุ่งตรงไปที่โถงวรยุทธ

กฎของตระกูลเจียงระบุไว้ว่าคนในตระกูลไม่ควรออกไปข้างนอกโดยไม่มีเหตุผลที่สมควรและไม่สามารถออกจากเมืองเทียนอวี่ไปโดยไม่ได้รับอนุญาต

ไม่อย่างนั้น พวกเขาก็จะถูกประกาศชัดเจนว่าเป็นคนทรยศ และหากพวกเขาถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ ตระกูลเจียงก็จะส่งหมายจับ จากนั้นสมาชิกตำหนักยุทธก็จะถูกส่งไปตามล่าและคนภายในตระกูลเจียงที่พบเห็นบุคคลนั้นจะมีสิทธิ์ฆ่าคนทรยศได้ทันที

เหตุผลที่เจียงอี้สามารถออกมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหัวหน้าหรงและการเป็นบุคคลที่ไม่สำคัญต่อตระกูลเจียง

แต่ว่าในครั้งนี้ คงจะมีคนจำนวนมากที่คอยติดตามเขาอย่างใกล้ชิด และเมื่อพวกเขารู้ว่าเจียงอี้หายตัวไปแล้ว ตระกูลเจียงก็จะออกหมายจับอีกในไม่ช้า

เจียงอี้รู้ตัวดีว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องหลบหนีออกมาในคืนนี้ ไม่อย่างนั้น เขาจะเหลือเพียงเส้นทางสู่ความตายเท่านั้น เจียงหยุนสือต้องการหัวของเขา เจียงหยุนเฉอและเจียงหยุนซานก็เช่นกัน

มีเพียงที่เดียวที่ตระกูลเจียงไม่สามารถติดตามเขาได้ คือการหนีเข้าไปในโถงวรยุทธเท่านั้น เจียงอี้ไม่รู้ว่าชีวิตต่อจากนี้ของเขาจะเป็นอย่างไร เขาทำได้เพียงวางแผนที่จะก้าวไปข้างหน้า การเอาตัวรอดจะต้องมาก่อน

ในอดีตที่ผ่านมา เขายังคงมีความหวังต่อตระกูลเจียง มีหลายครั้งที่เขาต้องการหนีไปกับเจียงเสี่ยวนู๋ แต่เขาก็ไม่เคยกล้าที่จะจากไป หากพวกเขาจากไปเพียงครั้งเดียวพวกเขาจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศและจะต้องเร่ร่อนไปชั่วชีวิต

ชื่อเสียงของผู้อาวุโสไฮ่ก็จะถูกทำลายเช่นกัน ตอนนี้เขารู้สึกท้อแท้และหมดหวังกับตระกูลเจียงมาก เขาต้องใช้เส้นทางแหกข้อและวางทุกอย่างเป็นเดิมพัน..เพื่อการอยู่รอดและเพื่อประโยชน์ของเจียงเสี่ยวนู๋!

เพื่อที่จะหาทางหลบหนี เขาจะต้องฟื้นฟูบาดแผลของเขาก่อนและโถงวรยุทธก็เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับเขาในการฟื้นฟู

นอกเหนือจากตระกูลเจียงแล้ว แม้แต่ตระกูลจีก็ยังไม่กล้าฆ่าคนในโถงวรยุทธเลย ยิ่งไปกว่านั้น เขามีชื่อเสียงในโถงวรยุทธซึ่งคงไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเขาเป็นหมาป่าเดียวกายในตอนนี้หรอก

"ตึกๆ!"

หลังจากนั้นสองชั่วโมง ในที่สุดเจียงอี้ก็มาถึงชานเมืองของโถงวรยุทธ จัตุรัสขนาดใหญ่นั้นว่างเปล่าในยามค่ำคืน ประตูหลักของโถงวรยุทธปิดตัวลง แต่ประตูด้านข้างยังคงเปิดอยู่

ทหารยามหุ้มเกราะสีดำยืนนิ่งเหมือนเสาแข็งทื่อระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของเขา ใครจะรู้ว่าเขาหลับหรือไม่กัน?

“ใครอยู่ตรงนั้น?”

การเดินมาของเจียงอี้ทำให้ทหารยามตื่นตกใจ เขามองอย่างรวดเร็วและเห็นหน้ากากหมาป่าเดียวดายที่น่ากลัวภายใต้แสงจันทร์ที่มืดสลัว เขาปล่อยลมหายใจออกอย่างโล่งอก แต่ถามด้วยความระมัดระวังว่า "เจ้าคือหมาป่าเดียวดายรึ?"

"ข้าเองขอรับ!"

ร่างกายของเจียงอี้ผ่อนคลายลงอย่างกระทันหัน ทหารยามนี้เป็นบุคคลคนแรกที่พาเขาเข้าไปที่โถงวรยุทธ พวกเขาคุ้นเคยและกลายเป็นเพื่อนกัน

ทหารยามที่หุ้มเกราะสีดำรีบเดินไปช่วยเจียงอี้เดินเข้าไปในโถงวรยุทธ จากนั้นเขาก็ถามว่า "เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า หมาป่าเดียวดาย ขาของเจ้าหักหรือเปล่า หากผู้ดูแลหยางรู้เรื่องนี้ เขาจะตำหนิเจ้าอย่างแน่นอน!"

เจียงอี้หัวเราะอย่างขมขื่นและหยิบตำลึงทองขึ้นมาสองตำลึง จากนั้นเขาก็พูดเบาๆ "ท่านพี่ ได้โปรดอย่าถามมากความเลยขอรับ ข้าจะรบกวนท่านช่วยพาข้ากลับไปที่ห้องของข้าและช่วยเก็บเป็นความลับได้ไหม? อย่าให้ผู้ใดรู้ว่าขาของข้าบาดเจ็บเช่นนี้ ได้ไหมขอรับ"

ดวงตาทหารยามหุ้มเกราะสีดำสว่างขึ้นเมื่อเขาเห็นตำลึงทองสองก้อน เขารับตำลึงทองมาแต่โดยดีและพยักหน้า "ไม่ต้องห่วง พี่ชาย ข้าจะไม่บอกใครเป็นอันขาด"

ทหารยามหุ้มเกราะสีดำนำเจียงอี้เข้ามาในห้องซ้อมและไม่มีใครอยู่ที่นี่ตอนดึก ในที่สุดเจียงอี้ก็ผ่อนคลายลงเมื่อเขาไปถึงห้องของตัวเอง

หลังจากทหารยามออกไปแล้ว เจียงอี้ก็นั่งขัดสมาธิและเริ่มฟื้นฟูกับการบ่มเพาะของเขา หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นเขาก็ถูกปลุกด้วยเสียงรอยเท้าจากภายนอก

ทหารยามหุ้มเกราะสีดำรายงานต่อผู้ดูแลหยาง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ผู้ดูแลหยางเดินเข้ามาและเห็นขาที่หักของเจียงอี้ เขามีอาการที่รุนแรง

เจียงอี้เป็นแหล่งเงินสำหรับเขา และตอนนี้ที่สำนักจิตอสูรและกองทัพทหารตะวันตกกำลังจะเริ่มรับสมัคร ซึ่งการต่อแถวสำหรับคู่ซ้อมที่ลงทะเบียนไว้นั้นยาวเหยียดมากกว่าสิบวันแล้ว

ผู้ดูแลหยางกระพริบสองสามครั้งแล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "หมาป่าเดียวดาย เจ้าเพียงแค่กลับบ้านและกลับมาพร้อมกับขาที่หักเนี่ยนะ? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ากลับมากลางดึกเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากัน?"

เจียงอี้ยิ้มออกมาและคร่ำครวญว่า “ไม่มีอะไรมากมายหรอกผู้ดูแลหยาง ข้าปะทะกับคนในตระกูลนิดหน่อย ข้าทำร้ายเขาและเขาหักขาข้า ข้าแค่เกรงว่าเขาจะขอให้คนอื่นมาแก้แค้นข้า ดังนั้นข้าจึงต้องกลับมากลางดึกเช่นนี้ ข้าขออภัยผู้ดูแลหยางจริงๆกับเรื่องนี้"

"เฮ้ออ ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ!"

ผู้ดูแลหยางส่ายหัวของเขา ในขณะที่ยิ้มด้วยใบหน้าที่ขมขื่น จากนั้นเขาก็ถามว่า "โอ้ แล้วตระกูลของเจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นหมาป่าเดียวดายหรือไม่? เขามีทีท่าอย่างไรบ้างเรื่องที่เจ้าจะมาอยู่ที่โถงวรยุทธในระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน?"

“หึๆ”

เจียงอี้ส่ายหัวของเขาในขณะที่หัวเราะและตอบว่า "ผู้ดูแลหยาง ท่านคิดว่าหากตระกูลของข้ารู้ว่าข้าเป็น 'หมาป่าเดียวดาย' พวกเขาจะอนุญาตให้ข้ามาเป็นคู่ซ้อมให้กับที่นี่งั้นหรือ? ไม่ต้องกังวลเลย ข้าไม่มีความหมายในตระกูลและไม่มีใครสนใจข้าเช่นกัน คงไม่มีใครสนใจอะไรด้วยซ้ำหากข้าตายอยู่ในโถงวรยุทธนี่"

"เอาล่ะ!"

ผู้ดูแลหยางเงียบไปครู่หนึ่ง "ข้าจะให้เม็ดยาระดับมนุษย์ขั้นสูงแก่เจ้าโหลหนึ่ง เจ้าควรฟื้นฟูอาการบาดเจ็บโดยเร็วและอย่าปล่อยให้เหลือบาดแผลใดๆ แต่ ... เงินสำหรับค่ายา มันจะถูกหักออกจากเงินเดือนของเจ้า"

"ขอบคุณมากผู้ดูแลหยาง" เจียงอี้มีชีวิตชีวาขึ้นและโค้งคำนับผู้ดูแลหยาง

"เฮ้อ ..."

ผู้ดูแลหยางถอนหายใจขณะที่เขาเดินออกไป เขารู้สึกปวดใจและพูดพึมพำ "เหลือเวลาอีกยี่สิบวันเท่านั้นก่อนที่สำนักจิตอสูรจะเปิดรับสมัคร และตอนนี้เด็กเหลือขอนี่ยังบาดเจ็บขึ้นมาอีก ซึ่งมันเป็นผลเสียมากเหลือเกิน"

การรับสมัครของสำนักจิตอสูร?

ร่างกายของเจียงอี้สั่นเทาเมื่อความคิดมากมายถาโถมภายในจิตใจของเขา ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกายราวกับแสงดาวและพูดอย่างตื่นเต้นว่า "ใช่แล้ว! สำนักจิตอสูร! ข้าสามารถเข้าร่วมในการทดสอบการรับสมัครของสำนักจิตอสูรได้! หากข้าได้รับการยอมรับว่าเป็นศิษย์พิเศษที่นั่น ตระกูลเจียงจะไม่สามารถฆ่าข้าได้และจะต้องปกป้องและยกข้าเป็นที่โปรดปราน จากนั้นข้าก็จะสามารถนำเสียวนู๋ออกจากเมืองเทียนอวี่ได้อย่างมีเกียรติ "

สำนักจิตอสูรเป็นหนึ่งในสามสำนักที่สำคัญของทวีป ผู้ที่ถูกคัดเลือกจะได้รับการยกย่องอย่างมากจากอาณาจักรต่างๆ หลังจากที่พวกเขาสำเร็จการศึกษาพวกเขาจะได้รับตำแหน่งขุนนางชั้นสูง ซึ่งจะมีอนาคตที่ดีอย่างไร้ขอบเขต

ถ้าเขาถูกคัดเลือกเข้าสำนักได้สำเร็จ ตระกูลเจียงก็คงไม่กล้าที่จะฆ่าเขาแน่ๆ ไม่เพียงแต่เป็นการกู้ชื่อเสียงให้ผู้อาวุโสไฮ่เท่านั้น แต่เขาก็จะไม่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศและเร่ร่อนไปทั่วโลกด้วย

“ แต่…ข้ามีข้อตกลงกับโถงวรยุทธนี่นา! ข้าจะต้องเป็นคู่ซ้อมของโถงวรยุทธเป็นเวลาห้าปี....”

เจียงอี้เริ่มปวดหัวอีกครั้ง คนของโถงวรยุทธคงบ้าไปแล้วที่จะปล่อยให้เจียงอี้ไป เพราะเจียงอี้เป็นเหมือนต้นไม้ที่ทำให้เงินงอกออกมาได้เป็นหมื่นๆตำลึงทอง!

การไม่คำนึงถึงเรื่องต่างๆเลยในตอนที่จะขายร่างกายของตัวเองในตอนนั้น แม้แต่ตระกูลเจียงเองก็คงจะเป็นเรื่องยากที่จะสร้างความมั่งคั่งจำนวนมหาศาลเช่นนี้ ใช่ไหมนะ?

"ตึกๆๆ.."

ในขณะที่เจียงอี้พึมพำ ผู้ดูแลหยางก็นำขวดยามาให้เขาสามขวด เขาเลิกคิดและพูดคุยกับผู้ดูแลหยางอย่างเหม่อลอย จากนั้นเขาก็กินเม็ดยาและเริ่มฟื้นฟูบาดแผลของตนเอง

หลังจากผู้ดูแลหยางออกไปแล้ว เจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นทันที ความสดใสเปล่งประกายออกมาจากดวงตาของเขา เขาคิดอย่างพิถีพิถันและมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่สำนักจิตอสูร มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบันของเขาแล้ว

"ฟื้นฟู ข้าจะต้องฟื้นฟูสภาพของข้าก่อน แล้วลุยต่อเพื่อทำความเข้าใจกับฝ่ามือระเบิดแก่นแท้พลัง เมื่อข้าทำความเข้าใจกับกระบวนท่านี้ได้ ข้าจะสามารถผ่านการคัดเลือกได้อย่างปลอดภัย จากนั้นข้าจะทำการเจรจากับโถงวรยุทธ ตราบเท่าที่ข้าสามารถออกไปได้ ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขใดๆข้าก็รับได้! เมืองเทียนอวี่...ข้าไม่ต้องการอยู่ที่นี่แม้แต่เพียงวินาทีเดียว! "

เจียงอี้ยังคงพึมพำ เพื่อล้างความคิดของเขา เขาขับไล่ทุกสิ่งที่ทำให้ไขว้เขวจากความคิดของเขา และเริ่มตั้งใจฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มที่

รีวิวผู้อ่าน