px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 25 เทียบเชิญจากตระกูลอี้


 


         “หืม? นายน้อย ทำไมวันนี้ท่านกลับมาเร็วจังเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าท่านต้องไปโถงวรยุทธหรือ?”
 


         เจียงเสี่ยวนู๋ที่กำลังซักผ้าอยู่ในสวนได้ยินเสียงฝีเท้าและหันมาเจอเจียงอี้ นางกล่าวทักทายพร้อมกับยิ้มให้ด้วยความอ่อนโยน
 


         เจี้ยงอี้ลูบหัวเสี่ยวนู๋และกล่าว “เสี่ยวนู๋  มานี่สักครู่ ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะบอกเจ้า”
 


         ราวกับสัมผัสได้ถึงความหนักอึ้งในหัวใจของเจียงอี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็จางหายไป นางรีบตามเขากลับเข้าไปในบ้านและรินน้ำใสแก้วขณะที่เอ่ยถาม

 

 

         “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะนายน้อย?”
 


         เจียงอี้ถอนหายใจออกมาและก่อนที่จะกล่าว “มันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากนัก… ข้าแค่ได้รับมอบหมายภารกิจจากโถงวรยุทธซึ่งทำให้ข้าต้องออกจากที่นี่เป็นเวลาสามเดือน แต่ข้ายังกังวลเรื่องที่จะปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียว”



         เจียงเสี่ยวนู๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นรอยยิ้มอันงดงามบนใบหน้าของนางก็กลับคืนมาและกล่าว

 

         “โถ่... นายน้อย ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก ท่านสามารถทำในสิ่งที่ท่านต้องทำได้เลยเจ้าค่ะ ข้าดูแลตัวเองได้ เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องห่วง ข้ารู้อยู่แล้วว่าในอนาคตท่านจะต้องทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นไม่ช้าก็เร็ว ท่านก็จะต้องออกเดินทางอยู่ดี”

        

         “สิ่งที่ยิ่งใหญ่…?!”
 


         เจียงอี้อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยความขมขื่น เขาไม่เคยมีความปรารถนาหรือความทะเยอทะยาน สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงการใช้ชีวิตอย่างสงบร่วมกับเจียงเสี่ยวนู๋เท่านั้น

 

 

         แต่ทำไมหนอสวรรค์… ข้าถึงได้มีชะตากรรมที่ยุ่งเหยิงเช่นนี้?

 

 

         มีศัตรูทั้งภายในและนอกตระกูลที่ต้องการชีวิตเขา ทางเดียวที่จะได้รับหลักประกันในชีวิตและมีความสุขอย่างแท้จริงก็คือฝึกฝนและมีพลังเหนือพวกมันทุกคน

 

 

         “งั้นหรือ? เช่นนั้นก็ประเสริฐ!”



         เมื่อนึกบางอย่างได้ เจียงอี้ก็ล้วงไปที่กระเป๋าและหยิบป้ายคำสั่งออกมา

 

        

         “เสี่ยวนู๋ ดูสิว่าข้าได้อะไรกลับมา”
 


         “เอ๊ะ? นี่มันป้ายคำสั่ง!” เสี่ยวนู๋เผลอหลุดปากร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

 

         “นายน้อย ท่านสามารถแลกมันกลับมาได้แล้วเช่นนั้นหรือ? แต่… แต่มันตั้งสิบตำลึงทองเชียวนะเจ้าคะ?”
 


         “โถงวรยุทธให้ข้ามาน่ะ”


         จากนั้นเจียงอี้ก็นำหนึ่งตำลึงทองออกมาและมอบให้แก่เสี่ยวนู๋

 

 

         “เจ้าเก็บตำลึงทองนี้ไว้และใช้มันดูแลตัวเองในช่วงสามเดือนนี้ แต่จำคำของข้าไว้ให้ดี ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดที่ทำให้เจ้าต้องออกจากตระกูลเจียง เจ้าต้องระวังพวกหอนางโลมเฟิงเยว่ไว้ให้ดี แต่ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในบริเวณอาณาเขตของตระกูล เจ้าก็จะปลอดภัย”

 

 

         “แล้วถ้าหากมีใครมาถามถึงข้า ก็แค่บอกพวกมันไปว่าข้าออกเดินทางเป็นเวลาสามเดือน ไม่ก็บอกว่าข้าทำงานให้กับโถงวรยุทธ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
 


         “อื้ม!” ขณะที่ถือแผ่นทองคำไว้ในมือ เสี่ยวนู๋ก็พยักหน้าและกล่าวอย่างว่าง่าย

 

 

         “ท่านไม่ต้องห่วงนายน้อย ข้าสัญญาว่าจะไม่ไปไกลกว่าบริเวณนี้”
 


         เจียงอี้ค่อนข้างโลงใจเมื่อได้ยินคำสัญญาของเสี่ยวนู๋ เขายังคงเชื่อถือในกฎแห่งยุทธภพที่ว่าความขัดแย้งส่วนบุคคลไม่เกี่ยวข้องกับคนในครอบครัว ดังนั้นเจียงหยูหู่จึงควรที่จะมาลงความแค้นทั้งหมดกับตัวเขาและไม่อาจที่จะแตะต้องเจียงเสี่ยวนู๋ได้ เพราะหากเขาทำเรื่องสกปรกเช่นนี้และตระกูลรับรู้ ผลที่ตามมาก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถจินตนาการได้เช่นกัน
 


         เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรที่จะต้องห่วงแล้ว เจียงอี้ก็ลุกขึ้นและกล่าว “เอาล่ะ งั้นข้าจะไปแจ้งให้กับหัวหน้าหรงทราบ ส่วนเจ้าก็รอการกลับมาของข้าที่นี่”
 


         เจียงเสี่ยวนู๋พยักหน้าและยิ้ม แม้ว่านางจะยังคงกังวลถึงความปลอดภัยของนายน้อยของนางอยู่บ้าง แต่นางก็ไม่อาจที่จะแสดงมันออกมาทางสีหน้าได้

 

 

         “โปรดรักษาตัวด้วยนะเจ้าคะนายน้อย เมื่อท่านกลับมาข้าจะทำเกี๊ยวอร่อยๆให้ท่านทาน”



         เจียงอี้หันหลังและจากมาพร้อมกับความเจ็บปวด เขาเดินต่อไปโดยไม่คิดที่จะเหลียวกลับมามองเสี่ยวนู๋ เพราะเขากลัวว่า… หากมองไปที่นางอีกครั้งจะทำให้เขาไม่อาจตัดใจจากไปได้

        

         “นายน้อย พยายามเข้านะเจ้าคะ!”
 


         เจียงเสี่ยวนู๋ยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูและโบกมือให้ด้วยรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้าเล็กๆของนาง
 


         จนกระทั่งร่างของเจียงอี้หายลับไป มือของเจียงเสี่ยวนู๋ที่ก่อนหน้านี้ยังคงโบกไปมาก็หยุดชะงัก จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยหยดน้ำตาที่ไหลบ่าออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างเงียบๆ

 

 

         นางยังคงทอดมองไปยังทิศทางที่เจียงอี้จากไปและพึมพำกับตัวเอง

 

 

         “นายน้อย ข้าไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน แต่มันคงเป็นสิ่งที่ร้ายแรงมากเพราะไม่เช่นนั้นท่านคงไม่จากข้าไปเช่นนี้! แต่ท่านอย่าได้เป็นกังวลเกี่ยวกับข้าเลยนะเจ้าคะ ได้โปรดทำในสิ่งที่ใจท่านปรารถนา”

 

 

         “ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ข้าก็จะรอท่านอยู่ที่นี่เสมอ… แต่หากว่าท่านต้องสิ้นใจไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ข้าก็คงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน ข้าจะตามไปปรนนิบัติรับใช้ท่านในปรโลก”

 


         ……….


         “อะไรนะ?! เจ้ากำลังจะลาออก? และยังจะออกเดินทางเป็นเวลาสามเดือน?”

 


         หัวหน้าหรงระเบิดความโกรธออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่เจียงอี้พูด เขาตบไปที่โต๊ะอย่างรุนแรงและกำลังจะก่นด่าออกมาด้วยโทสะ แต่ทันใดนั้นแผ่นทองสองแผ่นก็ถูกโยนมาตรงหน้าเขา ทำให้เขาต้องหุบปากลงในทันที
 


         เจียงอี้มองไปที่หัวหน้าหรงด้วยความรังเกียจ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยโทนเสียงต่ำ

 

 

         “หัวหน้าหรง นี่คือข้อเสนอที่ข้ามีให้ท่าน! ข้าจะออกเดินทางเพื่อตามหาและเก็บเกี่ยวสมุนไพร หากข้าพบสิ่งดีๆ บางทีอาจจะมีของฝากให้ท่านเช่นกัน ดังนั้นก่อนที่ข้าจะกลับมา… โปรดช่วยข้าจัดการเรื่องภายในตระกูลด้วย”
 


         “เก็บเกี่ยวสมุนไพร?”
 


         หัวหน้าหรงที่ถูกติดสินบนด้วยเงินสองตำลึงทองก็แสดงท่าทีอ่อนโยนลง จากนั้นเขาก็ตบไหล่เจียงอี้และกล่าว

 

 

         “ดีมากเจียงอี้! ข้าเข้าใจเด็กหนุ่มอย่างเจ้า… มันเป็นเรื่องดีที่เจ้าจะออกหาประสบการณ์และเผชิญกับความยากลำบาก แต่เจ้าต้องระวังตัวและกลับมายังตระกูลภายให้ได้ภายในเวลาสามเดือนเหมือนที่เจ้ากล่าว มิฉะนั้นหากคนในตระกูลตรวจสอบเรื่องนี้ขึ้นมา เจ้าอาจจะกลายเป็นผู้ทรยศของตระกูลได้”
 


         เจียงอี้พยักหน้า ความจริงแล้วเขาไม่เต็มใจที่จะจ่ายถึงสองตำลึงทอง แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด เขาจึงต้องใช้มันเพื่อติดสินบนหัวหน้าหรง

 

 

         ตระกูลเจียงมีกฎอันเข้มงวดอยู่ข้อหนึ่ง : สมาชิกคนใดก็ตามที่ออกจากตระกูลโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถูกประกาศว่าเป็นคนทรยศ

 

 

         สำหรับเจียงอี้แล้วมันคงจะดีกว่าหากเขาตายระหว่างทางแทนที่จะถูกจับโดยตระกูลและถูกทรมานทั้งเป็น
 


         เรื่องนี้ทำให้หัวหน้าหรงย้ำนักย้ำหนาว่าให้เจียงอี้กลับมาให้ทันเวลา เมื่อได้ข้อสรุปแล้วเจียงอี้ก็รีบออกจากตระกูลโดยผ่านทางประตูทิศเหนือและปิดบังตัวตนด้วยเสื้อคลุม
 


         เขามาถึงโถงวรยุทธในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ตลอดทางเขายังคงตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ถูกใครตามมา
 


         ผู้ดูแลหยางไม่ได้แสดงความไม่พอใจที่เจียงอี้เลือกที่จะเข้ามาเก็บตัวในโถงวรยุทธเป็นเวลาสามเดือน นอกจากนี้เขายังงดเว้นค่าธรรมเนียมให้กับเจียงอี้อย่างใจกว้าง

 

 

         เพราะอย่างนี้ เจียงอี้จึงสามารถทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ให้เร็วที่สุด สิ่งนี้ถือเป็นผลดีกับโถงวรยุทธด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขากำลังจะได้คู่ซ้อมระดับป้ายทองเพิ่มอีกหนึ่งคนซึ่งจะช่วยให้พวกเขาได้รับกำไรอีกมาก
 


         ห้องที่ถูกจัดไว้ให้กับเจียงอี้เป็นห้องเล็กๆที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ นอกจากเวลาที่ต้องออกมาเป็นคู่ซ้อมประลองยุทธในทุกๆวันแล้ว เขาก็สามารถใช้เวลาที่เหลือเพื่อบ่มเพาะพลังอยู่ในห้องที่ถูกจัดไว้
 


         อี้หลิงเสวี่ยเป็นหญิงสาวที่แปลกนัก นางจะมาที่ห้องฝึกซ้อมในทุกบ่ายและขอให้เจียงอี้เป็นคู่ซ้อมให้ แม้จะแพ้ทุกครั้งแต่นางก็ไม่เคยรู้สึกท้อแท้ สิ่งนี้เองทำให้คู่ซ้อมประลองคนอื่นๆหรือแม้แต่ผู้ดูแลหยางเริ่มสงสัยว่าแท้จริงแล้ว… เป็นไปได้ไหมว่านางกำลังสนใจในตัวเจียงอี้?
 


         “เอ๊ะ… หมาป่าเดียวดาย พลังของเจ้ากำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและเกือบจะทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เจ้าเพิ่งทะลวงขั้นที่สองได้ไม่นาน”

 

 

         “ด้วยความเร็วระดับนี้ทำไมเจ้าถึงยังอยู่เพียงแค่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สอง ด้วยพรสวรรค์ที่เจ้าแสดงออกมา เจ้าควรจะมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่านี้สิถึงจะถูก?”
 


         วันที่สิบสามของการเก็บตัวอยู่ในโถงวรยุทธ เจียงอี้เพิ่งจะเสร็จสิ้นการซ้อมประลองกับอี้หลิงเสวี่ย อย่างไรก็ตามแทนที่จะจากไป นางกลับหันมาถามคำถามเจียงอี้แทน
 


         “ฮ่าๆ นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้ตัวข้าไม่ได้มีความสนใจในการบ่มเพาะพลัง แต่ท่านอย่าลืมสิว่าที่นี่คือโถงวรยุทธที่ช่วยให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของผู้ฝึกยุทธนั้นเร็วขึ้นและข้ายังได้รับความช่วยเหลือจากเม็ดยาวิญญาณ…”
 


         เจียงอี้เลือกจะอธิบายแบบส่งๆ ในช่วงสิบกว่าวันที่ผ่านมา เขาใช้ทุกวินาทีให้การบ่มเพาะพลังและลบตัวอักขระที่อยู่บนตราประทับได้เกือบร้อยตัวซึ่งทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขายกระดับขึ้นอีกครั้ง

 

 

         เมื่อรวมกับเม็ดยาวิญญาณที่ผู้ดูแลหยางจัดหาไว้ให้ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาจะเชื่องช้าได้เยี่ยงไร?

 

 

         จากการคำนวณ เจียงอี้คาดว่าเขาจะสามารถทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามได้ในสามถึงห้าวันนี้
 


         อี้หลิงเสวี่ยดึงเสื้อคลุมขึ้นและกล่าวด้วยความขัดใจเล็กน้อย “ช่างเถอะๆ… แต่หากเจ้าทุ่มเทความพยายามให้การบ่มเพาะพลังให้มากกว่านี้ บางทีเจ้าอาจจะมีโอกาสติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของอัจฉริยะในเมืองเทียนอวี่ก็ได้”
 


         “อัจฉริยะสิบอันดับแรก? มันเรื่องอะไรกันหรือ?” เจียงอี้เอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
 


         “เจ้าไม่รู้?” อี้หลิงเสวี่ยถามกลับด้วยความประหลาดใจ แต่ด้วยการที่นางยังคงสวมเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อซึ่งเผยให้เห็นเรือนร่างอันเย้ายวน มันทำให้เจียงอี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลนลานและต้องเบี่ยงความสนใจไปทางอื่น
 


         อี้หลิงเสวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มอธิบาย

 

 

         “คุณชายสองแห่งตระกูลจี, จีฉางเกอ และคุณหนูสามแห่งตระกูลจี, จีทิงวยี่”

 

 

         “คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหม่า, หม่าเฮยฉี”

 

 

         “คุณชายใหญ่ตระกูลเจียง, เจียงเฮิ่นซุ่ย และ เจียงหยูหู่ ที่มาจากตระกูลสาขา”

 

 

         “คุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่ง, เหลิ่งเชียนจวิน และคุณหนูสี่แห่งตระกูลเหลิ่ง, เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยน”

 

 

         “คุณชายสามแห่งตระกูลหลิ่ว, หลิ่วเหอ และ หลิ่วจ้าน จากตระกูลสาขา”

 

 

         “และคนสุดท้ายคือคุณชายใหญ่จากตระกูลหยาง, หยางจงเทียน”

 

 

         “พวกเขาทั้งสิบคนล้วนแต่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีทั้งสิ้น แต่ระดับการบ่มเพาะพลังที่ต่ำที่สุดในบรรดาพวกเขาก็อยู่ที่ขั้นที่เจ็ดของขอบเขตฉูติ่งแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะสิบอันดับแรกของเมืองเทียนอวี่”
 


         เจียงอี้ผู้ซึ่งไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเจียงและไม่ได้สนทนากับคนนอกบ่อยนัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะไม่รู้เรื่องนี้

 

 

         สมาชิกรุ่นเยาว์สองคนจากตระกูลเจียงรวมไปถึงจีทิงยวี่ต่างก็มีชื่อติดอยู่ในอันดับ แน่นอนว่ามันเป็นเพราะความแข็งแกร่งของพวกเขา โดยเฉพาะเจียงเฮิ่นซุ่ยและจีทิงยวี่ที่บรรลุถึงขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปด

 

 

         หากพวกเขาทะลวงไปอีกหนึ่งระดับก็จะเหลือเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นก่อนที่จะไปถึงขอบเขตจื่อฝู่

 

 

         อย่างไรก็ตามเจียงอี้หาได้สนใจไม่ ตัวเขากับเหล่าทายาทตระกูลใหญ่เหล่านั้นมีชีวิตที่แตกต่างกันมากเกินไปและเขายังไม่ต้องการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง เขาเพียงมองไปที่อี้หลิงเสวี่ยและกล่าว

 

 

         “คุณหนูอี้เองก็ไม่ธรรมดา ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของท่านที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา นี่ยังไม่รวมถึงทักษะการต่อสู้ต่างๆที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด อีกอย่างท่านเองก็กำลังจะทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้าไม่ใช่หรือ?”

 

         “ฮิฮิ”
 


         อี้หลิงเสวี่ยรู้สึกดีกับคำพูดของเจียงอี้อยู่ไม่น้อย

 

 

         “หมาป่าเดียวดาย หากให้กล่าวด้วยความสัตย์จริง ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเจ้า ข้าตระหนักถึงศักยภาพของตัวเองดีและนี่คือเหตุผลที่ข้ายังอยู่ที่นี่”
 

 

         “เพราะข้า?”
 


         ดวงตาของเจียงอี้เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ เขาสามารถยกระดับทักษะต่อสู้ให้กับคนอื่นได้ด้วยการซ้อมประลอง? นี่มันจะไม่ฟังดูแปลกเกินไปหรือ?

 

 

         หรือว่า… ความก้าวหน้าอันรวดเร็วของคุณหนูอี้ในช่วงนี้แท้จริงแล้วเป็นเพราะข้า?

        

         “หมาป่าเดียวดาย!”
 


         ในขณะที่เจียงอี้ยังคงอยู่ในความสับสน อี้หลิงเสวี่ยก็ล้วงป้ายคำสั่งบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของนางและกล่าว

 

 

         “ในนามของตระกูลอี้ ข้า อี้หลิงเสวี่ย ขอเชิญเจ้าเข้าร่วมกับตระกูลอี้ในฐานะผู้อาวุโสสองแห่งตำหนักฝึกฝนวรยุทของตระกูล ส่วนเรื่องค่าตอบแทนนั้น…”
 


         “เดี๋ยวก่อน! ท่านหมายความว่ายังไง ผู้อาวุโสสองแห่งตำหนักฝึกฝนวรยุทธ?”
 


         เจียงอี้อยู่ในความตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ เขาเป็นเพียงแค่เด็กน้อยอายุสิบหกปีเท่านั้น ตำแหน่งผู้อาวุโสสองแห่งตำหนักฝึกฝนวรยุทธอย่างนั้นรึ? อี้หลิงเสวี่ยกำลังล้อเขาเล่นหรือเป็นผู้นำตระกูลอี้ที่กลายเป็นบ้าไปแล้ว?

 

 

         เจียงอี้ยังคงไม่อาจสงบใจได้และเริ่มถามต่อ “คุณหนูอี้กำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือไม่?”
 


         ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆอี้หลิงเสวี่ยก็ดูเหมือนจะโกรธขึ้นมาและกล่าว

 

 

         “นี่คือป้ายคำสั่งของท่านพ่อของข้าและข้าไม่ได้กำลังล้อเล่น หมาป่าเดียวดาย… บางทีเจ้าอาจจะไม่ได้ตระหนักถึงมัน แต่เจ้ามีความสามารถที่จะช่วยผู้อื่นยกระดับทักษะต่อสู้จนสำเร็จขั้นบรรลุได้”

 

 

         “ตระกูลอี้ของข้าสังเกตเห็นสิ่งนี้ในตัวเจ้า ดังนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะเชิญเจ้าให้มาเข้าร่วมกับตระกูล เจ้าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดนอกจากฝึกฝนให้กับเหล่าลูกหลานของตระกูลและช่วยให้พวกเขาพัฒนาความสามารถให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
 


         ตลอดทั้งชีวิตนับตั้งแต่ที่ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลเจียงจากไปก็ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเจียงอี้มาก่อน… เป็นไปได้ไหมว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพราะแก่นแท้พลังสีดำ?

 

 

         เจียงอี้ยังคงอยู่ในภวังค์แห่งความสับสน การเข้าร่วมกับตระกูลอี้นำมาซึ่งปัญหามากมาย นอกเหนือจากข้อตกลงระหว่างเขากับโถงวรยุทธแล้ว หากตระกูลเจียงพบว่าเขาไปเข้าร่วมกับตระกูลอื่น เขาจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศและมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต
 

 

         อี้หลิงเสวี่ยรู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีลังเลของเจียงอี้ นางก้าวมาข้างหน้าจนอยู่ห่างจากเขาเพียงหนึ่งเมตรและกล่าวเบาๆ “หมาป่าเดียวดาย จงเลือกในสิ่งที่เจ้าเห็นควรว่ามันเหมาะสม หรือสิ่งที่เจ้ากังวลอยู่คือเรื่องที่เจ้าเป็นทายาทจากตระกูลอื่น มันก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นกัน เจ้าสามารถแต่งเข้ามาในตระกูลอี้ ความจริงแล้วข้ายังมีลูกพี่ลูกน้องบางคนที่งดงามกว่าข้าเสียอีก…”
 

รีวิวผู้อ่าน