px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 16 คู่ซ้อมประลองที่โถงวรยุทธ


 


         สาเหตุการตายที่แท้จริงของผู้เฒ่าหลิ่วถูกเปิดเผยในเวลาต่อมา ท่านผู้เฒ่าทุกข์ทรมานจากโรคร้ายที่รักษาไม่หาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ความรู้สึกผิดในใจเจียงอี้ลดน้อยลง

 

        

         ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ผู้เฒ่าหลิ่วเผชิญกับสถานการณ์เฉียดตายเนื่องจากโรคร้ายมาแล้วถึงสามครั้งแต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง

 

 

         อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการฝืนวิเคราะห์ส่วนผสมของเม็ดยาในช่วงนี้และโชคร้ายที่คืนหนึ่งอาการของเขาก็กำเริบ…
 


         กล่าวตามตรง เกี่ยวกับผู้เฒ่าหลิ่วนั้น เจียงอี้แทบไม่มีความรู้สึกใดๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฆ่าชายชราโดยตรง แต่เขาก็ยังหลงเหลือความรู้สึกผิดอยู่ในใจ

 

 

         เขาไปที่หลุมฝังศพของผู้อาวุโสหลิ่วในตอนกลางคืนและทำความเคารพอยู่หลายครั้งพร้อมกับรินสุราลงในถ้วยที่อยู่หน้าป้ายหลุมศพ

 

 

         ยิ่งไปกว่านั้น เพราะการตายของผู้เฒ่าหลิ่ว เจียงอี้จึงไม่มีโอกาสที่จะได้ปรุงยาอีกต่อไปเนื่องจากห้องปรุงยาได้ถูกปิดตาย

 

 

         เนื่องจากนักปรุงยาเพียงคนเดียวของตระกูลเพิ่งจะด่วนจากไป ทำให้ตอนนี้ตระกูลเจียงจำเป็นต้องซื้อยาจากภายนอกเท่านั้น

 

 

         ส่วนเม็ดยาต่างๆที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บเม็ดยาก็จะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยจะมีการปันส่วนและจัดส่งให้กับส่วนกลางในการควบคุม
 


         สามวันผ่านไปหลังจากการตายของผู้เฒ่าหลิ่ว ตลอดทั้งสามวันเจียงอี้เอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านและบ่มเพาะพลังอยู่ที่ลานบ้านเท่านั้น
 


         เขายังคงมีความกังวลมากมายอยู่ในใจ ตอนนี้เจียงอี้ไม่ได้ทำงานให้กับห้องปรุงยาอีกแล้ว

 

 

         ดังนั้นตระกูลคงจะมอบหมายงานอื่นให้เขาทำและคาดว่าอีกไม่นานหัวหน้าหรงก็คงจะมาที่บ้านเพื่อทวงป้ายคำสั่งของไร่สมุนไพรคืน
 


         เวลา! หากข้ามีเวลามากขึ้น ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเข้ามาข้าก็สามารถจัดการได้!
 


         เจียงอี้นั่งสมาธิอยู่ที่ลานหลังบ้านอย่างเงียบๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาได้ลบอักขระจำนวนมากที่อยู่บนตราประทับซึ่งทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

        

         คาดว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังในตอนนี้เร็วกว่าเดิมเจ็ดถึงแปดเท่า!
 


         แต่ความเร็วระดับนี้ยังคงช้าหากเทียบกับสมาชิกที่โดดเด่นในตระกูล พลังที่กลั่นได้ภายในหนึ่งเดือนเทียบได้กับที่คนอื่นกลั่นในหนึ่งวัน
 


         นี่ก็หมายความว่าความเร็วในการควบกลั่นแก่นแท้พลังของเจียงอี้ช้ากว่าอัจฉริยะที่โดดเด่นของตระกูลถึงสามสิบเท่า

 

 

         เขาเชื่อมั่นว่าตราบใดที่เขาสามารถลบอักขระเหล่านี้ได้มากขึ้น ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาก็จะมีความใกล้เคียงกับสมาชิกระดับทั่วไปของตระกูลและจากนั้นไม่นานเขาก็จะทิ้งห่างคนพวกนั้นไปไกล


         เจียงอี้สามารถสร้างแก่นแท้พลังสีดำได้มากสุดสิบเส้นต่อครั้ง ทำให้ความสามารถในการทำลายอักขระบนผนึกนั้นมีจำกัดและคงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาจะเทียบได้กับผู้โดดเด่นในตระกูล

 


         ความจริงแล้วเจียงอี้เคยคิดที่จะเปิดเผยเรื่องที่ตัวเองกำลังอยู่ในระหว่างการทำลายผนึกในจุดตันเทียนและแก่นแท้พลังสีดำให้กับคนในตระกูลได้รับรู้
 


         เขาหวังว่าจะได้รับการยอมรับจากตระกูลและสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ในคราวเดียว

 

 

         อย่างไรก็ตามเมื่อเจียงอี้ตระหนักได้ว่าไม่มีใครที่จริงใจต่อเขา ยิ่งเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เฒ่าหลิ่ว เขาก็กลัวว่าจะทำให้ตระกูลโกรธแค้นเขาเสียมากกว่า
 

 

         เพราะแบบนี้เจียงอี้ถึงตัดสินใจที่จะรักษาความลับต่อไป ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยด้วยตัวของมันเองเมื่อพลังของเขาสูงมากพอ
 


         “เจียงอี้! ออกมาเดี๋ยวนี้!” ทันใดนั้นเองเสียงคำรามก็ดังมาจากลานหน้าบ้าน
 


         เมื่อได้ยินเสียง เจียงอี้ก็ทราบทันทีว่าปัญหาได้มาเยือนแล้ว หัวหน้าหรง! เขารีบหลบซ่อนตัวอยู่ในกองวัชพืชหลังบ้านและไม่กล้าหายใจแรง
 


         ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้ยินเสียงเจียงเสี่ยวนู๋พยายามอธิบายบางอย่างด้วยเสียงเบาซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อกรกับเสียงที่ดังราวกับสัตว์ป่าของหัวหน้าหรง
 


         หลังจากนั้นไม่นาน เจียงเสี่ยวนู๋ก็วิ่งมาที่ลานหลังบ้าน

 

         “นายน้อย หัวหน้าหรงไปแล้ว แต่เขาฝากบอกว่าในวันพรุ่งนี้ให้ท่านไปหาเขาในตอนเช้าและอธิบายเกี่ยวกับไร่สมุนไพรในเขาซีชาน”
 

 

         “เห้ออ…”
 


         ใบหน้าของเจียงอี้มืดมน เขาถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้และกล่าว

 

 

         “เสี่ยวนู๋ เจ้าอยู่เฝ้าบ้านไปก่อน ข้าจะออกไปข้างนอกสักพัก”
 


         จากนั้นเขาก็กลับเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบชุดคลุมสีดำที่ซื้อไว้เมื่อครั้งก่อน หลังจากที่สวมชุดคลุม เขาก็รีบออกจากบ้านในทันที
 


         เจียงอี้ออกจากบ้านไปได้ไม่นาน จู่ๆเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างก่อนจะหันหลังกลับไปมองและสังเกตเห็นอะไรบางอย่างซึ่งทำให้ใบหน้าของเขาถูกปกคลุมไปด้วยความเย็นชา
 


         “เจียงหยูหู่ส่งคนสะกดรอยตามข้า!”
 


         เขารีบโคจรแก่นแท้พลังไปยังขาทั้งสองข้างและวิ่งไปทางประตูตะวันตกด้วยความเร็วทั้งหมดที่มีพร้อมกับเพ่งสมาธิไปที่หูของเขาเพื่อที่จะจับสังเกตเสียงฝีเท้าที่กำลังไล่ตามมา



         เจียงอี้วิ่งราวกับคนบ้าก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทางและพุ่งเข้าไปในตรอกเล็กๆด้านหน้าในทันที หลังจากที่หยุดเพื่อซ่อนตัวและรอให้คนที่สะกดรอยตามวิ่งผ่านไป เขาก็เริ่มวิ่งไปทางลานทางใต้ของตำหนักตระกูลเจียง
 


         จากนั้นก็ออกมาทางประตูทิศใต้ เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีใครตามมา เขาก็รีบดึงเสื้อคลุมมาปิดหน้าและเดินตรงไปยังจัตุรัสใจกลางเมือง

 

 

         เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เจียงอี้ก็มาถึงร้านขายยาขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของจัตุรัสกลางเมือง
 


         เขาเสแสร้งโดยทำเป็นเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทีภูมิฐาน จากนั้นก็หยิบแผ่นตำลึงทองออกมาและกล่าว

 

 

         “ผู้ดูแลร้าน เอาเม็ดยาวิญญาณมาให้ข้าสิบเม็ด!”
 


         “ขอรับนายท่าน!”

 

         “ใครก็ได้! เอาเม็ดยาวิญญาณมาให้ข้าสิบเม็ดที!”
 


         เจ้าของร้านเป็นชายอ้วนวัยกลางคน เมื่อเห็นเงินตำลึงทองที่เจียงอี้นำออกมา ดวงตาของเขาก็ลุกวาวและแสดงออกถึงการประจบประแจง
 


         เขายิ้มออกมาและพยายามเอื้อมไปหยิบแผ่นตำลึงทองจากมือของเจียงอี้

 

 

         “ฮิฮิ… ท่านลูกค้าที่เคารพรัก เม็ดยาวิญญาณมีราคาสิบตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ด ทั้งหมดก็รวมเป็นหนึ่งตำลึงทองพอดีขอรับ”
 


         “หึ่ม!” เจียงอี้เค้นเสียงอย่างเย็นชาและยังคงกำแผ่นตำลึงทองไว้แน่น
 


         สีหน้าของผู้ดูแลร้านซีดลง เขาหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนที่จะเปลี่ยนคำพูด

 

 

         “เอ่อ ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นลูกค้าประจำของทางร้าน เช่นนั้นเอาเป็น… เก้าสิบตำลึงเงินเป็นไงขอรับ?”
 


         ข้อเสนอนี้ทำให้เจียงอี้พยักหน้าอย่างเงียบๆ แต่ภายในใจของเขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดและในที่สุดก็ยอมคลายมือที่กำแผ่นตำลึงทองไว้

 

        

         มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกเศร้าใจเนื่องจากเพิ่งได้รับตำลึงทองมาไม่กี่วัน แต่ตอนนี้มันก็ไปอยู่ในกระเป๋าคนอื่นเสียแล้ว
 


         อย่างไรก็ตาม เจียงอี้ไม่มีทางเลือกอีกต่อไป หากเขาไม่มีเม็ดยาคุณภาพสูงและพึ่งพาเพียงความเร็วในการบ่มเพาะอย่างเดียว มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทะลวงไปสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สองได้ในเวลาสั้นๆ
 


         ถ้าหากเขายังกล้าไปเขาซานชีด้วยพลังเพียงเท่านี้ มีโอกาสสูงมากที่เขาจะต้องคลานกลับมาอย่างหมาข้างถนน

 

 

         นอกจากนี้เจียงอี้ยังต้องเผชิญหน้ากับเจียงหยูหู่ในอีกสิบวัน หากได้พลังจากเม็ดยารวมกับแก่นแท้พลังสีดำ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมาก…
 


         หลังจากที่ทำการซื้อเม็ดยาวิญญาณเสร็จเรียบร้อย เขาก็รีบตรงไปยังหอสมบัติซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของจัตุรัสกลางเมือง
 


         คนแรกที่ทำการทักเจียงอี้ก็คือผู้ดูแลหลิว จากนั้นเขาก็พาเจียงอี้ไปยังจุดให้บริการที่ดูหรูหรา
 


         จากนั้นก็ให้สาวใช้นำน้ำชามาบริการ เขายิ้มเล็กน้อยและกล่าว

 

 

         “นายน้อย เป็นไปได้ไหมว่าท่านมาที่นี่เพื่อที่จะขายเม็ดยาให้กับทางเราอีกครั้งหรือขอรับ?”
 


         ปรากฏรอยยิ้มที่ดูอึดอัดใช้บนใบหน้าของเจียงอี้ เขาเพิ่งซื้อเม็ดยาวิญญาณมาเมื่อครู่ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะนำพวกมันมาขาย

 

        

         โชคดีที่ใบหน้าของเขาถูกปิดไว้โดยเสื้อคลุมทำให้ผู้ดูแลหลิวไม่อาจมองเห็นสีหน้าเขาได้
 


         เจียงอี้ยืนขึ้นพร้อมกับกุมมือเล็กน้อย “ผู้ดูแลหลิว ข้าอยากจะขอเข้าพบคุณหนูของพวกเจ้า ข้ามีบางอย่างจะถามนาง!”
 


         เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของผู้ดูแลหลิวก็เปลี่ยนไปด้วยความเคอะเขินและอึดอัด
 


         “ทางเราต้องขออภัยเป็นอย่างสูงขอรับนายน้อย”

 

 

         “แต่ว่าคุณหนูได้ออกเดินทางไปโถงวรยุทธตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้วขอรับ หากท่านมีเรื่องเร่งด่วนอันใด… บางที ข้าอาจจะสามารถพูดกับหัวหน้าผู้ดูแลให้ก่อนได้”
 


         “โถงวรยุทธ?”
 


         เจียงอี้รู้สึกตกใจและสับสนเล็กน้อย หรือว่าจะมีเหตุการณ์สำคัญบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นในเมืองเทียนอวี่?

 

 

         ทำไมเหล่าบุตรและธิดาของตระกูลใหญ่ต่างก็ต้องไปฝึกฝนในโถงวรยุทธ?
 


         ในความเป็นจริง เจียงอี้ไม่จำเป็นที่จะต้องพบกับจีทิงยวี่ เพียงแต่ว่าครั้งก่อน เขามีความรู้สึกว่านางดูให้ความสำคัญกับเขามาก

 

 

         เช่นนั้นเขาจึงลองเสี่ยงดวงมาที่นี่เพื่อหวังว่าจะได้พบกับนางเพื่อยืมเงินสิบตำลึงทอง จากนั้นเขาก็จะกลับไปยังหอนางโลงเฟิงเยว่และไถ่ป้ายคำสั่งคืนมา

 

 

         ในมุมมองของเจียงอี้ ด้วยฐานะของจีทิงยวี่ที่เป็นถึงคุณหนูแห่งตระกูลจีและด้วยความมั่งคั่งของหอสมบัติ เงินเพียงแค่สิบตำลึงทอง มันคงจะเล็กน้อยมากสำหรับนาง



         แต่ถึงกระนั้นเขาก็คาดไม่ถึงว่านางจะไม่อยู่ที่นี่

 


         “ไม่เป็นไร ข้าจะกลับมาอีกครั้ง”
 


         ในเมื่อเจ้านายไม่อยู่ เหล่าคนใช้จะกล้าให้คนนอกยืมเงินพวกเขาได้เยี่ยงไร?
 


         หากพวกเขาไปถามความเห็นจากหัวหน้าผู้ดูแลและถูกปฏิเสธกลับมา แล้วเช่นนี้เจียงอี้จะไม่ต้องอับอายขายขี้หน้าหรือ?
 


         เจียงอี้เดินออกจากหอสมบัติด้วยความผิดหวังและยืนอยู่ที่จัตุรัสกลางเมืองด้วยความรู้สึกหว่าเว้
 


         ด้วยเม็ดยาวิญญาณเหล่านี้ เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวเจียงหยูหู่และลูกสมุนของมัน

 

 

         แต่ปัญหาจริงๆที่เขากำลังเผชิญอยู่ก็คือการปิดตัวลงของห้องปรุงยาและไม่มีเม็ดยาที่ถูกโละทิ้งจากผู้เฒ่าหลิ่วให้เขาได้ใช้อีกต่อไป แล้วอย่างนี้เขาจะหาแหล่งทำเงินจากที่ไหนได้อีก?
 


         เขากวาดสายตาไปทั่วทั้งจัตุรัสและทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ ที่ตั้งอย่างสง่างามอยู่ทางเหนือของจัตุรัสใจกลางเมือง

 

 

         สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาก็คือโถงขนาดใหญ่ที่ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน พร้อมทั้งเสียงดังเจื้อยแจ้วของฝูงชนที่กำลังสนทนาอย่างออกรส
 


         โถงวรยุทธ!

 


         เจียงอี้รู้เกี่ยวกับโถงแห่งนี้เพียงเล็กน้อย ในความเป็นจริง ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่อยู่ในเมืองเทียนอวี่ที่จะไม่รู้จักโถงวรยุทธ
 


         โถงสีดำขนาดใหญ่ใหญ่ที่ดูเรียบง่ายและไม่มีการตกแต่ง สามารถพบเห็นได้ในทุกๆใจกลางเมือง นอกจากนี้การมีอยู่ของโถงวรยุทนั้นมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาก
 


         ดูเหมือนว่าโถงวรยุทธนั้นจะมีมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของมนุษย์
 


         โถงวรยุทธนั้นไม่ใช่กลุ่มองค์กรของฝ่ายใด ไม่ใช่ทั้งกลุ่มอิทธิพลและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขัดแย้งทั่วทั้งทวีป
 


         หากจะให้พูดอีกอย่างก็อาจจะเรียกได้ว่ามันคือธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนอวี่! เพราะอย่างไรเสีย กลุ่มเป้าหมายของพวกเขาก็คือผู้ฝึกวรยุทธและเหล่ารุ่นเยาว์จากตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่งและทรงอิทธิพล
 


         หากผู้ใดต้องการที่จะเข้าไปยังโถงวรยุทธโดยที่ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตจื่อฝู่ พวกเขาจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมถึงหนึ่งตำลึงทอง
 


         เจียงอี้เคยได้ยินเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็ก มันคือสรวงสวรรค์แห่งการบ่มเพาะพลังเลยก็ว่าได้
 


         ภายในนั้นมีกลิ่นอายวิญญาณเข้มข้นซึ่งช่วยให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า

 

         นอกจากนี้ยังมีอาหารที่จะช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะซึ่งถูกปรุงเป็นพิเศษ
 


         อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ประสบกับความยากจนเช่นเจียงอี้ การที่จะได้รับอาหารเช่นนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เกินตัวไปมาก
 


         เมื่อมองจากภายนอกโถงวรยุทธที่ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนและคิดถึงเรื่องเจียงเฮิ่นซุ่ยและจีทิงยวี่ซึ่งเข้าไปภายในนั้นเพื่อบ่มเพาะพลัง เจียงอี้ก็ยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
 


         ดังนั้นเขาจึงเดินไปยังขอบนอกของโถงวรยุทธ
 


         ประตูหลักของโถงยังคงถูกปิดไว้ ในขณะที่ประตูด้านข้างนั้นยังเปิดอยู่ แต่ก็มีทหารยามในชุดเกาะสีดำสองคนยืนอารักขาอยู่เช่นกัน
 


         เจียงอี้มองตามฝูงชนและสังเกตเห็นบางสิ่งด้านนอกโถงวรยุทธ
 


         หลังจากที่เพ่งดู เจียงอี้ก็หมดความสนใจอย่างรวดเร็ว โถงวรยุทธกำลังป่าวประกาศเพื่อที่จะหาคู่ซ้อมประลองยุทธ  ที่น่าสนใจก็คือค่าตอบแทน

 

 

         คู่ซ้อมประลองยุทธในระดับป้ายทองแดงจะได้รับเงินหนึ่งตำลึงเงินต่อวัน

 

 

         คู่ซ้อมประลองยุทธในระดับป้ายเงินจะได้รับสิบตำลึงเงินต่อวัน

 

 

         และคู่ซ้อมประลองยุทธระดับป้ายทองคำจะได้รับเงินถึงหนึ่งตำลึงทองต่อวัน
 


         ในฐานะคู่ซ้อมประลองยุทธ พวกเขาจะต้องต่อสู้กับผู้อื่นเพื่อให้อีกฝ่ายสามารถเพิ่มพูนประสบการณ์การต่อสู้จริง
 


         ให้พูดอีกอย่างก็คือ คนอื่นสามารถเอาชนะพวกเขาได้ตามที่ต้องการและคู่ซ้อมประลองยุทธสามารถตอบโต้ได้ตลอดเวลาแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำร้ายอีกฝ่าย

 

 

         พูดง่ายๆก็คือพวกเขาจะกลายเป็นกระสอบทรายมีชีวิต
 


         พลังของเจียงอี้ถือว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หากเขาอยากที่จะสมัครเพื่อให้คนอื่นทุบตี เขาจะกลายเป็นคู่ซ้อมระดับป้ายทองแดงที่อ่อนแอที่สุดอย่างแน่นอน

 

 

         สำหรับเขาในตอนนี้ที่มีหนี้สินมหาศาล ด้วยค่าจ้างเพียงหนึ่งตำลึงเงินต่อวันนั้นไม่สามารถดึงดูดเขาได้ เขาเกียจคร้านเกินไปที่จะมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่
 


         หลังจากที่ฟังการสนทนาของผู้คนรอบด้าน เจียงอี้ก็จับใจความที่น่าสนใจอย่างหนึ่งได้

 

 

         คนของสำนักวรยุทธที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งกำลังจะเดินทางมาที่เมืองเทียนอวี่เพื่อรับสมัครศิษย์ใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า


         นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเหล่าอัจฉริยะในเมืองจึงเลือกที่จะเข้าไปเก็บตัวในโถงวรยุทธเพื่อหวังว่าจะสามารถไต่ขึ้นไปอยู่ในระดับสูงของการประลองคัดเลือกศิษย์ใหม่ของสำนักแห่งนั้น

 

 

         ดังนั้นเหล่ารุ่นเยาว์จำนวนมากที่เข้ามาฝึกในโถงวรยุทธจึงขาดแคลนคู่ซ้อม…
 


         “ข้าต้องกลับไปฝึกบ้างแล้ว!”
 


         เจียงอี้ไม่ได้ให้ความสนใจสำนักวรยุทธเท่าไหร่เพราะเขารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อม
 


         แต่ในขณะที่เขากำลังจะกลับไปยังตำหนักตระกูลเจียง จู่ๆความสนใจของเขาก็ถูกดึงดูดโดยบทสนทนาของผู้ฝึกวรยุทธรุ่นเยาว์สองคน


         “หนึ่งตำลึงทองต่อวัน! เงินมากขนาดนี้ทำให้ข้าสามารถไปยังหอนางโลมเฟิงเยว่และสนุกไปกับสาวงามได้ถึงสิบวันสิบคืน!”

 

 

         “น่าเสียดายที่ทักษะของข้านั้นไม่ดีพอ ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจะเข้าไปสมัครเป็นคู่ซ้อมระดับป้ายทองคำแล้ว!”
 


         “ข้าว่าก็ไม่แน่นักหรอก ทั้งสองฝ่ายจะถูกผนึกแก่นแท้พลังในระหว่างซ้อมประลอง ในบรรดานายน้อยและคุณหนูเหล่านั้น… ข้าว่าคงหายากที่จะมีใครมีพลังสูงกว่าขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้าหรือหก”
 


         “แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช้แก่นแท้พลัง แต่ข้าว่าพวกเขาก็สามารถเอาชนะเจ้าได้อย่างง่ายดายด้วยความเร็วในการตอบสนองและวิทยายุทธของพวกเขา”

 

 

         “ดูอย่างลูกพี่ลูกน้องของข้าเมื่อวาน เขามีพลังอยู่ในขั้นที่สามของขอบเขตฉูติ่งและเข้ามาเป็นคู่ซ้อมประลองยุทธ แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ต้องคลานกลับบ้าน”
 


         “ในเวลานี้ เขาก็ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน! เหอะ! พวกนายน้อยและคุณหนูพวกนั้นช่างไร้ความปรานียิ่งนัก! แต่ว่าก็ว่าเถอะ เงินนี่มันช่างหายากจริงๆ…”
 


         แก่นแท้พลังจะถูกปิดผนึก?
 


         เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงอี้ก็เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจัง

 

 

         ถ้าหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถใช้แก่นแท้พลังได้และจะต้องพึ่งพาเพียงแค่ความเร็วในการตอบสนองกับวิทยายุทธ…

 

 

         บางทีเจียงอี้อาจจะสามารถใช้แก่นแท้พลังสีดำเพื่อเพิ่มความสามารถในการมองเห็นและยกระดับความเร็วในการตอบโต้
 


         ด้วยสิ่งนี้ เขาอาจจะก้าวไปถึงคู่ซ้อมระดับป้ายทองคำและได้รับตำลึงทองมาก็เป็นได้
 


         “หึ! หากปราศจากแก่นแท้พลัง ไอ้พวกนายน้อยและคุณหนูเหล่านั้นจะเร็วได้สักเท่าไหร่กันเชียว? หากเทียบกันในเรื่องวิทยายุทธ ข้าก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น!”
 


         หนึ่งตำลึงทองต่อวัน? ข้าจะลองเสี่ยงดู!
 


         ยิ่งเจียงอี้นึกถึงมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งฮึกเหิมมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้ตามที่หวัง แต่มันก็เป็นเพียงแค่การถูกผู้อื่นทุบตีเท่านั้น

 

         หลังจากที่ระงับความตื่นเต้น เขาก็เดินไปที่ประตูทางด้านข้างโถงวรยุทธ จากนั้นก็ป้องมือและกล่าวกับทหารยามทั้งสองที่อยู่ในชุดเกราะสีดำ

 

 

         “ข้ามาเพื่อสมัครเป็นคู่ซ้อมประลองยุทธ!”
 

 

รีวิวผู้อ่าน