px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 13 แทบจะคลานกลับ


 

 

         “ตำลึงทอง! มันคือตำลึงทองจริงๆ! ในที่สุดข้าก็ได้ตำลึงทองมาแล้ว…”


        เจียงอี้กลับไปยังห้องปรุงยาในตำหนักทางใต้ในขณะที่ยังคงรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในความฝัน เขาเก็บแผ่นทองคำไว้ในเสื้อคลุมและลูบคลำมันอยู่หลายครั้งราวกับของรักของหวง


        ในเวลาสองวัน เขาได้รับเงินถึงหนึ่งตำลึงทอง ที่สำคัญก็คือจีทิงยวี่ยังบอกว่านางจะรับซื้อเม็ดยาของเขาทั้งหมดในอนาคต

 

        หากเขาสามารถกลั่นเม็ดยาเพิ่มอีกยี่สิบเจ็ดเม็ด ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถหาเงินได้ถึงสิบตำลึงทองและได้รับป้ายคำสั่งกลับมาหรือ?


        เมื่อนึกถึงจำนวนของเม็ดยาที่กำลังจะปรุงขึ้นใหม่และขายให้กับหอสมบัติ ร่างกายของเจียงอี้ถึงกับสั่นสะท้าน

 

        แม้ว่าเขาจะไม่มีความสามารถในการกลั่นเม็ดยามากนัก แต่เขาก็สามารถพึ่งพาแก่นแท้พลังสีดำเพื่อที่จะกลายเป็นเศรษฐีได้ อย่างน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดิ้นรนจากความยากจนและสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายกับเสี่ยวนู๋ได้ตลอดชีวิต


        ผู้เฒ่าหลิ่วยังคงง่วนอยู่กับการทดลองกลั่นเม็ดยา แต่ตราบใดที่ยังปราศจากพลังของแก่นแท้พลังสีดำ เขาก็ไม่มีทางเลยที่จะกลั่นเม็ดยาระดับพิภพได้


        “โอ้ใช่แล้ว หากข้าใช้แก่นแท้พลังสีดำทั้งหมด ข้าคงจะกลั่นเม็ดยาได้มากขึ้น แต่เมื่อวานดูเหมือนว่าข้าจะใช้มันมากเกินในระหว่างการทดลอง เห็นทีข้าจะต้องรีบเพิ่มจำนวนของแก่นแท้พลังสีดำเสียแล้ว”


        เจียงอี้พยายามระงับความตื่นเต้นไว้ในใจ เขากำจัดความคิดฟุ้งซ่านและเริ่มการนั่งสมาธิ เขาใช้เวลาสามชั่วโมงในการบ่มเพาะบทสวดนิรนามก่อนจะหันไปฝึกฝนวรยุทธวารีตระกูลเจียงเพื่อฟื้นฟูแก่นพลังสีน้ำเงิน

 

        จากนั้นเขาก็นำ “บันทึกสมุนไพร” กลับมาที่บ้านเพื่ออ่านมันตลอดทั้งคืน


        เจียงอี้หวังว่าตัวเองจะได้ทำงานที่ห้องปรุงยาในระยะยาว แต่นั่นก็หมายความว่าเขาไม่กล้าที่จะทำตัวอืดอาดเมื่อได้รับคำสั่งจากผู้เฒ่าหลิ่ว มิฉะนั้นชะตากรรมของเขาก็คงไม่ต่างจากเจียงซงอย่างแน่นอน…

 


        วันรุ่งขึ้น จู่ๆก็มีร่างเงาร่างหนึ่งมาด้อมๆมองๆแถวห้องปรุงยา เมื่อร่างเงานั้นเห็นว่ามีเพียงแค่เจียงอี้ เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


        เจียงซง? เขามาทำอะไรที่นี่กัน?

 


        เจียงอี้ลุกขึ้นยืนเพื่อทักทายเขา แต่เจียงซงกลับรีบโบกไม้โบกมือเพื่อให้เขาเงียบก่อน จากนั้นก็เดินเข้ามาใกล้ๆ

 


        “เจียงอี้” เขากล่าวถามด้วยเสียงต่ำ “เจ้ามาทำอะไรในห้องปรุงยา? แล้วท่านผู้อาวุโสอยู่ข้างในหรือเปล่า?”

 


        การเข้ามารับตำแหน่งแทนผู้อื่นในห้องปรุงยาแห่งนี้… แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจแต่มันก็ทำให้เจียงอี้รู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย

 


        “ผู้เฒ่าหลิ่วไม่อยู่ที่นี่” เจียงอี้กล่าวตอบ “เอิ่ม… เมื่อวานหลังจากที่เจ้าจากไป ข้าก็คิดที่จะตามเจ้าออกไปเช่นกัน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกเรียกกลับมาโดยท่านผู้เฒ่าหลิ่ว และเขาก็ให้ข้าอยู่ที่นี่เพื่อช่วยงานเขา”

 


        “เจ้าว่าอะไรนะ?”

 


        สีหน้าของเจียงซงเปลี่ยนไปในทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อวานเขาถูกผู้เฒ่าหลิ่วซัดจนลอยกระเด็นไปไกล ที่แย่กว่านั้นก็คือเมื่อกลับถึงบ้านและฟ้องบิดาของเขา บิดาของเขากลับให้เขารีบกลับมาที่นี่เพื่อขออภัยผู้เฒ่าหลิ่วให้เขายกโทษให้และอนุญาตให้เขาทำงานให้ห้องปรุงยาต่อไป

 


        ถึงเจียงซงจะเป็นลูกหลานตระกูลเจียง แต่เขาก็ขาดพรสวรรค์และเกียจคร้านอย่างมาก เขามีระดับพลังเพียงแค่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สองเท่านั้น

 

 

        บิดาของเขาขอร้องผู้เฒ่าหลิ่วหลายต่อหลายครั้งก่อนที่จะสามารถทำให้ลูกชายของเขาทำงานอยู่ที่นั่นได้สำเร็จ เป้าหมายของบิดาเจียงซงก็คือต้องการให้เขาได้เรียนรู้ทักษะการปรุงยามาบ้างเพื่อที่อย่างน้อยก็จะสามารถเอาตัวรอดได้ในอนาคต

 


        ก่อนมานี่ เจียงซงก็ถูกบิดาทุบตีและก่นด่าอยู่นาน นอกจากนี้เขายังเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างน้อย… การทำงานอยู่ในห้องปรุงยาก็หมายความว่าเขาสามารถกลั่นเม็ดยาเพื่อนำพวกมันไปขายข้างนอกได้

 

 

        ดังนั้นหลังจากที่ไตร่ตรองอย่างหนัก เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะกลับมาเพื่อขอโทษแม้มันจะหมายถึงการต้องคุกเข่าอยู่ต่อหน้าผู้เฒ่าหลิ่วก็ตาม

 


        แต่เขากลับไม่คาดคิดเลยว่าเขาจากไปเพียงไม่นาน ผู้เฒ่าหลิ่วก็หาคนอื่นมาแทนที่เขาเสียแล้ว…

 


        เมื่อคิดถึงการที่จะไม่ได้กลั่นเม็ดยาอีกต่อไปและนึกถึงโทสะของบิดาหากรู้ข่าวนี้… เขาจินตนาการได้เลยว่าเขาจะต้องถูกลงโทษหนักขนาดไหน เพียงแค่คิดร่างของเขาก็เริ่มสั่นเทาอย่างไม่อาจที่จะควบคุมได้ ตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าควรที่จะโกรธหรือกังวลกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นดี

 


        เมื่อเห็นการแสดงออกของเจียงซง มันก็ทำให้เจียงอี้รู้สึกผิดเล็กน้อยและพยายามที่จะปลอบ

 

 

        “เจียงซง ข้าขอโทษแต่ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะ…”

 


        “ไม่ได้ตั้งใจ?!”

 


        เจียงซงหันมามองเจียงอี้ด้วยความเดือดดาล จากนั้นเขาก็ชี้หน้าและกล่าวด้วยความโกรธ

 

 

        “มันเป็นเพราะเจ้า! เจ้าอาศัยช่วงที่ข้าไปห้องน้ำมาที่นี่และกล่าววาจาใส่ร้ายข้าให้ท่านผู้เฒ่าหลิ่วฟัง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเมื่อวานท่านผู้เฒ่าถึงโกรธข้านัก! เจียงอี้ เจ้ามันคนชั่วช้า! ข้าไม่คิดเลยว่าคนที่ดูซื่อสัตย์เช่นเจ้าจะหน้าซื่อใจคดได้เช่นนี้!”

 


        "…"

 


        เจียงอี้ถึงกับพูดไม่ออก เจียงซงเป็นที่รู้กันดีว่ามีนิสัยขี้เกียจและไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้เฒ่าหลิ่วอีกต่อไป มันชัดเจนอยู่แล้วว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา! แม้ว่าเจียงอี้จะไม่ได้มารับตำแหน่งผู้ช่วยในห้องปรุงยา แต่ก็ยังมีคนอื่นอีกนับไม่ถ้วนที่จะเข้ามาแทนที่เขา

 


        เขาเกียจคร้านเกินไปที่จะเสวนากับเจียงซงต่อ เขาหันหลังและเดินกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างเย็นชา

 

        “เจียงซง เจ้ากลับไปเสียเถอะ ข้าไม่อยากจะเถียงกับเจ้าแล้ว หากเจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นไม่เป็นธรรมกับเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ไปที่ตำหนักลงทัณฑ์เพื่อร้องเรียนได้เลย”

 


        “ดี! เจ้าเพิ่งมาทำงานในห้องปรุงยาได้เพียงวันนี้ก็นึกว่าตัวเองเก่งกล้าแล้วใช่ไหม?!”

 


        เจียงซงสั่นไปด้วยความโกรธ กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาส่องประกายความชั่วร้ายออกมา

 


        “มาดูกันว่าผู้เฒ่าหลิ่วจะยังใช้งานเจ้าอยู่หรือไม่เมื่อข้าทำให้เจ้ากลายเป็นคนพิการ!” เขาคำราม “หึ่ม! เมื่อถึงเวลา ข้าจะให้ท่านพ่อมาเพื่อขอร้องผู้เฒ่าหลิ่วเพื่อคืนตำแหน่งให้กับข้า”

 


        หลังจากกล่าวจบ แววตาของเจียงซงก็ดูดุดันขึ้นพร้อมทั้งตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

 

 

        “ฝ่ามือทรายดำแถบแดง!”

 


        ฝ่ามือทั้งคู่ของเขาสร้างคลื่นพลังคล้ายจานสีดำออกมาและพุ่งเข้าไปที่ด้านหลังของเจียงอี้อย่างรวดเร็ว

 


        เจียงอี้ได้ยินเสียงลมกระโชกจากข้างหลังจึงทำให้เขาหันกลับมาในทันทีและทำให้ความโกรธปะทุออกมา ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาในฐานะนายน้อยของตระกูลเจียง ทำให้เขาเคยเห็นทักษะการต่อสู้ของตระกูลมามากมาย ดังนั้นเขาจึงสามารถจดจำกระบวนท่าของเจียงซงได้ในทันที

 


        ฝ่ามือทรายดำแถบแดง!

 


        การโจมตีโดยใช้พิษของงูพิษแถบแดงและตามด้วยทรายดำ หากโดยโจมตีด้วยทักษะนี้ การไหลเวียนโลหิตจะถูกทำให้ช้าลงเนื่องจากถูกพิษ ร่างกายของพวกเขาจะเริ่มถูกทำลายโดยเม็ดทรายสีดำคล้ายโลหะ

 

 

        มันคือทักษะการต่อสู้ระดับมนุษย์ขั้นกลางที่เอาไว้ใช้เผด็จศึกในทันที

 


        ทักษะนี้ชั่วร้ายมาก หากเหยื่อไม่สามารถรักษาได้ทันเวลาก็อาจจะกลายเป็นคนพิการหรือตายเพราะได้รับบาดเจ็บที่รุนแรง

 

 

        ลูกหลานตระกูลเจียงส่วนใหญ่มองว่าตัวเองนั้นมีศักดิ์ศรีและจะเอาจริงเมื่อต้องต่อสู้เท่านั้น แต่เจียงซงกลับลงมือสุดกำลังเพียงเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆ เขาถึงกับต้องการให้เจียงอี้กลายเป็นคนพิการหรืออาจถึงขั้นต้องการชีวิตเขาโดยตรง

 


        แก่นแท้พลังสีดำ!

 


        เจียงอี้โคจรแก่นแท้พลังสีดำไปยังดวงตาข้างซ้ายเพื่อใช้จัดการกับลูกหลานไร้ค่าของตระกูลเจียงที่มีระดับการบ่มเพาะเพียงแค่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สองอย่างเจียงซง เขาคิดว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะใช้แก่นแท้พลังสีดำเพื่อเพิ่มความสามารถในการโจมตี

 

 

        แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเขาสามารถเพิ่มพลังโจมตีให้กับตัวเองได้ หากเทียบกันเรื่องวรยุทธแล้ว เจียงซงยังห่างชั้นกับเขาอยู่หลายขุม

 


        ฟึบบ!

 

 

        ประกายแสงแวบผ่านดวงตาจองของเจียงอี้ ทัศนวิสัยของเขาเปลี่ยนไป ฝ่ามือที่ค่อนข้างรวดเร็วของเจียงซงก่อนหน้านี้กลับดูช้าลงในทันที

 


        “ฝ่ามือม้วนอาภรณ์!”

 


        ในขณะที่หันกลับมา แทนที่จะถอยหลบแต่เจียงอี้กลับก้าวไปด้านหน้าแทน ร่างของเขาโค้งไปด้านหลังในขณะที่มือของเขาเคลื่อนไปทางฝ่ามือของเจียงซงและปัดป้องพวกมันไว้

       

 

        ด้วยความช่วยเหลือจากแก่นแท้พลังสีดำ จึงทำให้เจียงอี้สามารถคาดเดาวิถีการโจมตีและความเร็วของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหลบหลีกหรือโต้กลับการโจมตี
 


        “ปัก! ปัก!”

 


        เนื่องจากถูกเบี่ยงวิถีการโจมตีและร่างของเจียงอี้ก็ยังคงโน้มไปด้านหลัง ฝ่ามือของเจียงซงจึงสัมผัสได้เพียงอากาศอันว่างเปล่าเท่านั้น

 

 

        ในขณะที่กำลังจะเปลี่ยนวิถีการโจมตีอีกครั้ง เจียงอี้ก็ใช้โอกาสนี้เหยียดมือของไปและคว้าแขนของเจียงซงไว้อย่างง่ายดาย
 

 

        “ฮึ่ม!”

 


         แม้ว่าเจียงซงจะประหลาดใจอยู่บ้านแต่ก็ไม่ได้ถึงกับสับสน อย่างที่เห็น เจียงอี้เป็นเพราะแค่ขอบเขตฉูติ่งขั้นแรกเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะมีกระบวนท่าหรือทักษะที่ยอดเยี่ยมอย่างไร แต่ระดับพลังขอบเขตก็ยังคงต่ำกว่าเจียงซงถึงหนึ่งระดับ

 

 

        แม้ว่าจะต่างกันแค่หนึ่งระดับแต่ระยะห่างระหว่างของความเร็วและพละกำลังก็ไม่ใช่สิ่งที่ปัจจัยอื่นจะเข้ามาแทนที่ได้โดยง่าย

 


        ข้าจะแพ้ได้ยังไง? เจียงซงหัวเราะด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือก เขาไม่สนใจมือที่ถูกจับไว้ ในทางกลับกันเขาโคจรแก่นแท้พลังไปยังหัวเขา จากนั้นก็แทงเข่าออกไปโดยมีเป้าหมายอยู่ที่กล่องดวงใจของเจียงอี้

 


        แม้ว่ากลยุทธ์ของเจียงซงนั้นจะไม่นับว่าผิดในทางทฤษฎี แต่ที่เขาไม่ทราบก็คือตาซ้ายของเจียงอี้นั้นถูกหล่อเลี้ยงด้วยพลังของแก่นแท้พลังสีดำซึ่งทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของเขาถูกจับจ้องมาตั้งแต่แรก

 

 

        ความจริงเจียงอี้ได้คาดเดาการเคลื่อนไหวของเจียงซงทั้งหมดไว้แล้ว แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันด้านความเร็วและพละกำลัง… แต่ปฏิกิริยาการตอบสนองของเจียงอี้นั้นเร็วกว่ามาก

 


        “อสรพิษฟาดหาง!”

 


        เจียงอี้ตวัดขาหวดออกไปอย่างรวดเร็วและปิดกั้นการโจมตีของเจียงซงที่พุ่งเข้ามา

 


        ปัก! ปัก! ปัก!

 


        โดยไม่รอช้า เสียงหวดของท่อนขาก็ดังติดต่อกันถึงสามครั้ง ก่อนที่เจียงซงจะได้ทันตอบสนอง ท่อนขาช่วงล่างของเขาก็ถูกเตะไปแล้วถึงสามครั้ง เมื่อตระหนักได้ถึงความเจ็บปวดและรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาก็รีบดึงขาขวากลับและเตรียมจะล่าถอยชั่วคราว

 


        อย่างไรก็ตาม

 


        เขากลับลืมไปว่ามือของเขาถูกพันธนาการไว้โดยทักษะม้วนอาภรณ์ของเจียงอี้ ในขณะที่พยายามจะถอยห่าง มือของเขาก็ยังคงถูกจับไว้ซึ่งทำให้เขาถูกเหวี่ยงออกจากจุดศูนย์ถ่วงและเสียสมดุลจนเกือบล้มหน้าคะมำ

 

 

        สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ความคิดของเขาปั่นป่วนอย่างสมบูรณ์

 


        สีหน้าของเจียงอี้เปลี่ยนไปแต่เขาก็ยังคงจับมือของเจียงซงไว้แน่น เขาเคลื่อนเศษเสี้ยวแก่นแท้พลังบางส่วนเพื่อทำให้เขาสามารถควบคุมจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายไว้ได้ จากนั้นขาของเขาก็หวดไปยังขาขวาของเจียงซงอย่างเต็มแรงและรวดเร็วราวกับสายฟ้า

 


        กร็อบ!

 


        “อ๊ากกกก!”

 


        การโจมตีครั้งที่หกของเจียงอี้ทำให้ขาขวาของเจียงซงถึงกับหัก เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดดังไปทั่วทั้งบริเวณนั้น

 

 

        เมื่อไม่สามารถรับน้ำหนักตัวได้ ร่างของเจียงซงก็ล้มลงกับพื้น เขากุมไปที่ขาขวาและร้องออกมาด้วยความทรมาน

 


        ครั้งนี้ เจียงอี้ไม่ได้โจมตีซ้ำ เขาเพียงแค่จ้องมองไปยังร่างอันน่าสมเพชด้วยสายตาอันเย็นชาซึ่งปราศจากความเห็นใจ

 

 

        หากว่าเขาไม่ได้ครอบครองแก่นแท้พลังสีดำ มันก็คงจะเป็นเขาเองที่ต้องนอนกองอยู่บนพื้นและร้องคร่ำครวญออกมาอย่างน่าเวทนาเช่นนี้

 

        นี่เป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ ผู้อ่อนแอมีแต่จะถูกรังแกและต้องอับอายขายขี้หน้าเท่านั้น!

 


        เจียงซงยังคงกรีดร้องออกมาอยู่พักใหญ่ หน้าผากของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบ ขณะที่กำลังพยายามพยุงตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว

 


        แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเขาจะถูกสยบโดยคนไร้ประโยชน์ที่บรรลุเพียงขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หนึ่งอย่างเจียงอี้

 


        อย่างไรก็ตามเจียงซงยังไม่ใช่คนโง่เขลามากนัก เขาตระหนักได้ว่าเขาจะต้องรีบจากไป มิฉะนั้นบาดแผลของเขาจะต้องร้ายแรงขึ้นอย่างแน่นอน และเมื่อนึกถึงว่าจะต้องพึ่งพาขาเพียงข้างเดียวในการหลบหนี เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ

 


        เมื่อเดินมาถึงประตูและเห็นว่าเจียงอี้ไม่ได้ไล่ตามมา เขาก็ขบฟันแน่นและตะโกนออกไปด้วยความแค้น

 

 

        “เจียงอี้! เจ้ากล้าทำร้ายข้า เจ้าตายแน่ พี่หู่ไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้! ถ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่ก็อย่าได้คิดหนี ไอ้เศษ…”

 


        “หากข้านับถึงสามแล้วเจ้ายังไม่ไสหัวไป.. ข้าจะหักขาอีกข้างของเจ้าทิ้งเสีย”

 


        ก่อนที่เจียงซงจะได้กล่าวจบ เจียงอี้ก็กล่าวแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา เมื่อเห็นเช่นนั้นใบหน้าของเจียงซงก็ซีดขาวลงในทันที

 

 

        โดยไม่รอให้เจียงอี้เริ่มนับถอยหลัง เขาก็รีบใช้ขาซ้ายทีเหลืออีกข้างพยุงร่างของตนและรีบเดินหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

 


        อีกด้านหนึ่ง เจียงอี้ก็ไม่คิดที่จะไล่ตามไป ไม่ว่ายังไงที่นี่ก็ยังคงอยู่ในอาณาเขตของตระกูลเจียง หากเรื่องที่เกิดขึ้นไปเข้าถึงหูตำหนักลงทัณฑ์ ทั้งตัวเขาและเจียงซงจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน

 


        ตระกูลเจียงอาจจะทำเป็นมองไม่เห็นกับการต่อสู้ในที่ลับระหว่างลูกหลานในตระกูล แต่หากมันโจ่งแจ้งเกินไป พวกเขาก็ยังคงต้องใช้มาตรการบางอย่างเพื่อรักษากฎของตระกูลไว้

 

 

        เมื่อร่างของเจียงซงหายลับไปอย่างสมบูรณ์ เจียงอี้ก็สงบลง อย่างไรก็ตามดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นความกังวลออกมา

 


        “พี่หู่” ที่เจียงซงเพิ่งกล่าวถึงนั้นแทนจริงแล้วก็คือเจียงหยูหู่ เขาเป็นผู้นำในหมู่ทายาทชั้นสองของตระกูล! บิดาของเจียงหยูหู่คือเจียงหยุนเฉอ ผู้ซึ่งเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายกิจการภายในหรือก็คือหัวหน้าพ่อบ้าน

 


        นอกจากนี้เขายังมีพี่ชายที่ชื่อเจียงหยูหลงซึ่งอยู่ในอันดับสองของบุคคลที่ทรงพลังที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ของตระกูล ตำแหน่งของเขาด้อยกว่าเพียงแค่คุณชายใหญ่ของตระกูลเจียง, เจียงเฮิ่นซุ่ย เท่านั้น

 

 

        ด้วยความที่มีพ่อและพี่ชายคอยปกป้อง รวมถึงมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ เจียงหยูหู่จึงมีตำแหน่งที่น่าเคารพยกย่องและมีค่อนข้างมีชื่อเสียง

 

 

        ลูกหลานของตระกูลเจียงทั้งสายหลักและสายรองหลายคนเช่นเจียงเป่าและเจียงซงต่างก็มองเขาในฐานะผู้นำ

 


        สองวันก่อนเจียงอี้เพิ่งเอาชนะเจียงเป่าไปและในตอนนี้เขาก็ยังมีชัยเหนือเจียงซง แน่นอนว่าหากเรื่องนี้ไปถึงหูเจียงหยูหู่ ก็ไม่มีอะไรรับประกันเลยว่าเขาจะปล่อยเขาไป

 


        “เจียงหยูหู่…”

 


        เจียงอี้ยังคงมีหลงเหลือศักดิ์ศรีในฐานะที่เคยเป็นนายน้อยของตระกูล สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คือพลัง หากมีพลังมากพอเขาก็จะไม่ถูกกลั่นแกล้งหรือถูกทำให้อับอายอีกต่อไป

 


        เขาส่ายหัวและกลับเข้าไปนั่งสมาธิอย่างเงียบๆ

 

 

        “เห้อ… ข้าควรที่จะฝึกฝนวรยุทธวารีตระกูลเจียงก่อนเป็นอันดับแรก ช่วงนี้ก็คงต้องพยายามเลี่ยงเจียงหยูหู่และพวกลูกสมุนของมัน”
 

 

        “เมื่อสะสมเงินได้มากพอ ข้าก็จะสามารถซื้อเม็ดยาระดับสูงและเพิ่มความเร็วการบ่มเพาะพลัง! หึ หากข้าทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สองและรวมกับแก่นแท้พลังสีดำ ต่อให้เจียงหยูหู่มาปรากฏตัวต่อหน้าข้า ข้าก็ไม่กลัว! มาดูสิว่าทีนี้ข้าจะจัดการพวกมันยังไง?!”

รีวิวผู้อ่าน